อาเหม็ดยอมแพ้เรื่องโต้เถียง เขาเข้าใจแล้วว่าตัวเองเอาชนะเสี่ยวเชี่ยนไม่ได้ เธอจงใจทุกอย่าง เขาจะทน
บทสนทนาของโต๊ะข้างๆยังคงดำเนินต่อ
“นี่ตั้งกี่โมงแล้วทำไมเขายังไม่มาอีก” สาวตาโปนมองนาฬิกาพลางบ่น
“ไร้มารยาท ผู้หญิงที่มาจากเมืองเล็กๆบ้านนอกๆไม่ไหวเลยจริงๆ” หญิงสูงวัยพูดจาเหมือนตัวเองมาจากเมืองใหญ่
“ได้ยินว่าเขาไปฝึกวิชาบนภูเขาตั้งแต่ยังเด็ก เด็กผู้หญิงคนเดียวไปอยู่รวมกับผู้ชายเป็นฝูง คนแบบนี้ไม่ควรเอาเข้าบ้าน นี่พี่ชอบเขาตรงไหนกัน…”
บนภูเขา…ฝึกวิชา
สุ่ยเซียนมองเสี่ยวเชี่ยนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย เชี่ยนเอ๋อ คงไม่บังเอิญขนาดนั้นมั้ง
เสี่ยวเชี่ยนเบ้ปาก มันบังเอิญขนาดนั้นนั่นแหละ
ในที่สุดปสุ่ยเซียนก็เข้าใจแล้วว่าทำไมประธานเชี่ยนถึงดูสนใจเรื่องของคนแปลกหน้า ที่แท้โต๊ะข้างๆก็เป็นครอบครัวของแฟนหลิวเหมย
ประธานเชี่ยนไม่ใช่คนที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน ต่อให้เป็นเรื่องของเธอประธานเชี่ยนก็ขี้เกียจยุ่ง แต่ถ้าใครกล้ามาหาเรื่องประธานเชี่ยนถึงที่ กล้ารังแกคนของประธานเชี่ยน ประธานเชี่ยนก็กล้าเล่นงานถึงขั้นต้องปลุกบรรพบุรุษขึ้นมาถาม—เอ๊ะ คำพูดนี้ไม่เลว สุ่ยเซียนแอบกดไลค์ให้ตัวเอง
“เป็นผู้หญิงแต่ทำตัวไม่เหมือนผู้หญิง วันๆเอาแต่ใช้กำลัง ผู้หญิงแบบนี้ฉันไม่ชอบเลยจริงๆ ไม่รู้ว่าครอบครัวแบบไหนกันที่เลี้ยงลูกออกมาเป็นแบบนี้ ฉันล่ะไม่กล้าไปบอกญาติๆเลยว่าลูกชายได้ผู้หญิงแบบนี้มาเป็นเมีย” ภายในช่วงเวลาสั้นๆไม่กี่นาที หญิงสูงวัยโต๊ะข้างๆเน้นย้ำเหลือเกินถึงความไม่ชอบว่าที่ลูกสะใภ้คนนี้
อายที่จะบอกว่าเขาเป็นลูกสะใภ้ แต่กลับไม่อายที่จ้องจะยึดบ้านเขา
“คนแบบนี้จิตใจมีปัญหาหรือเปล่า” สุ่ยเซียนถามเสี่ยวเชี่ยน
เสี่ยวเชี่ยนส่ายหน้า “คนนิสัยแย่ไม่เท่ากับเป็นโรคจิตเวชหรอก พวกเขาไม่ได้ป่วย แต่ผู้ป่วยจิตเวชหลายคนถูกคนประเภทนี้นี่แหละทำให้ป่วย”
สุ่ยเซียนอยากให้บอดี้การ์ดตัวเองไปถีบคนพวกนั้นจริงๆ แต่คิดได้ว่าอาเหม็ดเป็นของเก๊ จึงทำได้แค่ระงับความโกรธแล้วนั่งฟังต่อ
ยิ่งฟังยิ่งโมโห หลิวเหมยเป็นเพื่อนที่ดีของพวกเธอ แต่ทำไมพอตกเป็นขี้ปากของคนพวกนี้ถึงได้กลายเป็นคนต่ำต้อย
นั่งกินข้าวกับคนแบบนี้ทำให้หมดอารมณ์ สุ่ยเซียนลุกขึ้นไปเติมหน้า เสี่ยวเชี่ยนเดินตามไปด้วย อาเหม็ดเองก็ไป เสี่ยวเชี่ยนมองเขาเป็นอากาศ แสร้งทำเป็นไม่เห็น
ภายในห้องน้ำ สุ่ยเซียนยืนล้างมือข้างๆเสี่ยวเชี่ยน
“ฉันกินไม่ลงแล้ว น่าขยะแขยงมาก พวกเขาคงไม่ใช่ครอบครัวว่าที่สามีของหลิวเหมยจริงๆหรอกใช่ไหม” สุ่ยเซียนถามเสี่ยวเชี่ยน
“เป็นครอบครัวแฟนหลิวเหมยจริงแท้แน่นอน แต่ไม่ใช่ว่าที่สามี” ประธานเชี่ยนไม่พยักหน้า งานแต่งนี้ไม่สำเร็จหรอก
“มาอาศัยบ้านของผู้หญิงแล้วยังจะวิจารณ์เขาแบบนี้อีก ไม่รู้สึกละอายบ้างเลยหรือไง”
“ในสายตาของคนพวกนี้ ลูกชายของพวกเขาเก่งเลิศเลอเพอร์เฟค เสน่ห์แรงดึงดูดผู้หญิงได้ การได้อยู่บ้านใหญ่ๆไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องที่ผู้หญิงออกเงินเลยแม้แต่น้อย เป็นเพราะเสน่ห์อันล้นเหลือของลูกชายพวกเขาเอง สุ่ยเซียน ตอนนี้เรื่องที่เธอควรใส่ใจไม่ใช่เรื่องหลิวเหมย แต่เป็นเรื่องอะไรเธอรู้ดี”
เสี่ยวเชี่ยนพูดแบบนี้สุ่ยเซียนถึงได้นึกออก ยังมีอาเหม็ดจากตระกูลใหญ่อยู่ข้างกายเธอ มัวแต่สนใจเรื่องครอบครัวที่น่าอัศจรรย์ของแฟนหลิวเหมยจนลืมเรื่องใหญ่ไปเลย
“ตอนนี้เรื่องกวนใจเธอน่ารำคาญพอๆกับครอบครัวที่อยู่ข้างนอกนั่น”
สุ่ยเซียนเดาได้ว่าอาเหม็ดต้องติดเครื่องดักฟังที่ตัวเธอ ต่อให้เวลานี้อยู่ในห้องน้ำหญิงก็ใช่ว่าจะปลอดภัย เธอไม่รู้ว่าจะตอบเสี่ยวเชี่ยนอย่างไรดีจึงมองหน้าเสี่ยวเชี่ยนเงียบๆ
“สุ่ยเซียน เธอโกรธพฤติกรรมของครอบครัวแฟนหลิวเหมยใช่ไหม”
“ใช่ ฉันอยากจะเข้าไปตบพวกเขาให้หน้าหันเลย”
“งั้นเดี๋ยวเธอจำเรื่องที่ฉันจะทำต่อไปให้ขึ้นใจนะ พอเธอเข้าใจจุดประสงค์ของฉันแล้วเธอก็จะรู้ว่าควรทำยังไงกับเรื่องชเรอดิงเงอร์”
เสี่ยวเชี่ยนพูดจาสองความหมาย คำพูดของเธอแฝงความหมาย แต่เธอเชื่อว่าคนฉลาดอย่างสุ่ยเซียนเข้าใจ
ถึงตอนนี้จะไม่เข้าใจว่าเสี่ยวเชี่ยนหมายถึงอะไร แต่สุ่ยเซียนรู้ว่าแค่ทำตามที่เสี่ยวเชี่ยนบอก เธอจะต้องรู้ได้แน่ว่าอาเหม็ดมาเป็นบอดี้การ์ดเธอทำไม
ระยะห่างที่ไกลที่สุดบนโลกนี้ไม่ใช่ความเป็นกับความตาย แต่เป็นการที่อาเหม็ดได้ยินชัดๆว่าเสี่ยวเชี่ยนกับสุ่ยเซียนคุยอะไรกัน แต่กลับไม่เข้าใจถึงความหมาย อาเหม็ดได้ยินบทสนทนาระหว่างทั้งสองคน แต่กลับตีความไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เขาจึงไม่เก็บเอามาใส่ใจ
ซึ่งนี่ก็ได้เป็นตัวกำหนดแล้วว่าหลังจากนี้เขาจะกลายเป็นของเล่นของเสี่ยวเชี่ยนและมีจุดจบที่น่าเศร้า แต่นี่ก็เป็นเรื่องในภายหลัง
สุ่ยเซียนกับเสี่ยวเชี่ยนเตรียมจะเดินกลับไปที่โต๊ะ แต่ทันใดนั้นแม่กับน้องสาวตาโปนของแฟนหลิวเหมยกำลังเดินมาทางนี้ พอเห็นเสี่ยวเชี่ยนกับสุ่ยเซียนควงแขนกัน แต่งตัวดูดี แม่ของสาวตาโปนก็จ้องอยู่สักพักแล้วหันไปกระซิบกับลูกสาวด้วยภาษาถิ่น ตีความได้ประมาณว่า นี่เมียน้อยของเสี่ยใหญ่ที่ไหนเนี่ย
สาวตาโปนหันไปมองเสี่ยวเชี่ยนกับสุ่ยเซียน สายตาแบบนั้นสร้างความอึดใจให้กับอีกฝ่ายมาก จากนั้นก็พูดอะไรสักอย่างออกมา
สาวตาโปนแน่ใจแล้วว่าพวกเสี่ยวเชี่ยนฟังภาษาถิ่นไม่ออก ดังนั้นจึงไม่ได้พูดกระซิบ ใช้น้ำเสียงธรรมดาพูด
หึหึ คิดจะรังแกกันด้วยภาษาถิ่นที่ฟังไม่เข้าใจ เสี่ยวเชี่ยนเลิ่กคิ้วแล้วพูดภาษาอังกฤษกับสุ่ยเซียนอย่างคล่องแคล่ว”เธอฟังสองคนนั้นเข้าใจไหม”
“ดูท่ากำลังนินทาพวกเราอยู่ คงไม่ใช่เรื่องดีแน่” สุ่ยเซียนเองก็ใช้ภาษาอังกฤษตอบกลับเสี่ยวเชี่ยน
พวกเธอพูดพลางมองสาวตาโปน ทำให้สาวตาโปนรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกนินทาอยู่
สาวตาโปนไม่ยอม วิจารณ์เสี่ยวเชี่ยนกับสุ่ยเซียนด้วยภาษาถิ่นต่อ
“อาเหม็ด นายมาจากตระกูลคาร์เตอร์อันสูงศักดิ์ไม่ใช่เหรอ ฟังเข้าใจไหม” เสี่ยวเชี่ยนถามอาเหม็ด
อาเหม็ดส่ายหน้าแบบเคืองๆ บ้านเขาค้าอาวุธไม่ใช่เครื่องแปลภาษาเสียหน่อย ฟังภาษาจีนออกก็เก่งแล้วใครจะไปเข้าใจภาษาถิ่น
“แล้วชอบทำเท่ห์เหมือนมีลูกbasketball งอกออกมาด้วย แม้แต่คำง่ายๆแบบนี้ก็ไม่รู้ นายไม่รู้สึกผิดต่อตระกูลอันสูงศักดิ์บ้างเหรอ” ครั้งนี้เสี่ยวเชี่ยนพูดภาษาจีนปนภาษาอังกฤษ คำพูดพวกนี้เธอพูดกับอาเหม็ด
“คนบางคนชอบทำเป็นอวดดี ทำเหมือนคนอื่นไม่รู้ภาษาอังกฤษ คำว่า basketballเรียนมาตั้งแต่มอต้นแล้ว พูดจีนคำอังกฤษคำเก่งตายแหละ” สาวตาโปนคิดว่าที่เสี่ยวเชี่ยนพูดภาษาอังกฤษออกมายืดยาวเพราะตั้งใจจะประชดเธอ จึงพูดด้วยน้ำเสียงไม่เกรงใจ จงใจพูดเสียงดังโต้กลับ
ระดับภาษาอังกฤษของสาวตาโปนก็ฟังออกแค่บาสเก็ตบอลแค่นั้น ส่วนประโยคยาวๆฟังไม่ออก แต่เสี่ยวเชี่ยนก็ประสบความสำเร็จในการใช้สายตาเหยียดหยามมองสาวตาโปนแล้ว ทำให้สาวตาโปนคิดว่าเสี่ยวเชี่ยนใช้ภาษาอังกฤษนินทาเธออยู่ ดังนั้นถึงได้พูดจาประชดกลับอยากจะแสดงให้เห็นว่าตัวเองก็มีความรู้ภาษาอังกฤษ
“พูดจาแทรกบทสนทนาของคนอื่นไม่ใช่เรื่องดี โดยเฉพาะแม้แต่คำพูดของฉันก็ไม่เข้าใจ basketballตัดคำว่าballทิ้งแปลว่าอะไร” เสี่ยวเชี่ยนถามสาวตาโปน
“ตะกร้า”
“งั้นbasketเติม ballเข้าไปแปลว่าอะไร”
“บอลตะกร้า” สาวตาโปนพูดออกไปด้วยความมาดมั่น
“อุ๊บ” สุ่ยเซียนเก็ทมุกแล้ว ฮ่าๆๆ ขำจนปวดท้อง