บทที่ 260 การต่อสู้ที่มิอาจหลีกเลี่ยง

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD

ตู้ม!

หลังคากระเบื้องสีดำขลับพังทลายลงในพริบตา รัศมีที่แผ่ซ่านออกมาจากกายเจ้าขาวเปลี่ยนเป็นสีม่วงประหลาด มันส่องประกายเจิดจ้าจนทำให้ร่างของผู้ที่ได้เห็นชาไปทั้งตัว

เซียวเยียนอวี่เสียการทรงตัวเพราะหลังคาที่ถล่มลงมา นางคว้าตัวเซียวอวี่ไว้ได้ก่อนจะรีบกระโจนไปบนหลังคาที่อยู่ใกล้ๆ นัยน์ตาจ้องเขม็งไปยังตำแหน่งที่เจ้าขาวยืนอยู่

“นี่มันเรื่องอะไรกัน หุ่นเชิดของศิษย์พี่… ทำไมถึงได้ดูแปลกไป” เซียวอวี่จ้องมองเจ้าขาวที่กำลังห้อตะบึงไปข้างหน้าด้วยความงุนงง ใบหน้าตื่นตะลึง

เซียวเยียนอวี่ปรายตามองเด็กหนุ่ม พลางตอบน้ำเสียงเยือกเย็น “เจ้าจะได้รู้ในไม่ช้าแล้วว่าเหตุใดเถ้าแก่ปู้ถึงบอกว่าเจ้าเก็บเจ้าขาวไว้ไม่ได้…”

เจ้าขาวน่าสะพรึงกลัวเพียงใด ตัวนางรู้ดีอยู่แก่ใจเพราะเคยประสบมาด้วยตนเอง ตอนนั้นแค่แรงกระแทกที่เป็นผลพวงจากการต่อสู้ของเจ้าขาวก็ทำให้นางได้รับบาดเจ็บแล้ว ดังนั้นอย่าปล่อยให้พุงอ้วนกลมน่ารักนั่นหลอกเอาเด็ดขาด เพราะเมื่อใดก็ตามที่มันเริ่มต่อสู้ ต่อให้เป็นระดับแปดขั้นเทพแห่งสงครามก็เอาชนะมันไม่ได้

ลำแสงสีม่วงสองสายที่พุ่งสูงขึ้นไปราวกับจะผ่าแยกท้องฟ้าเคลื่อนที่ไปพร้อมเสียงแหลมสูง ดังก้องกัมปนาทไปตลอดทาง

ปู้ฟางนั่งอยู่กับพื้นพลางหอบหายใจ ตอนนี้เขาใช้พลังปราณเที่ยงแท้ที่อยู่ในกายไปแทบหมดสิ้นแล้ว ชายหนุ่มพยายามรีดเอาพลังปราณเที่ยงแท้จากจุดตันเถียนที่กำลังหมุนวนไม่หยุดออกมา เพื่อไปหล่อเลี้ยงเส้นปราณในร่าง

เมื่อไร้ซึ่งพลังปราณเที่ยงแท้มาหล่อเลี้ยง มีดทำครัวกระดูกมังกรทองก็กลายเป็นควันสีเขียว ก่อนกลับไปอยู่ในรอยสลักบนข้อมือขวาของชายหนุ่มในพริบตา

ริมฝีปากของปู้ฟางยกขึ้นเล็กน้อยขณะกวาดตามองซากศพมหึมาของปลาอสูรมังกรพินาศ

ไกลออกไปเงาที่ในชุดคลุมสีดำและหมวกไม้ไผ่ห้าเงากำลังเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว รัศมีและระดับพลังปราณของคนทั้งห้าต่างรุนแรงเหลือร้าย พวกเขาล้วนอยู่ในระดับหกขั้นจักรพรรดิยุทธการ

“ปลาอสูรมังกรพินาศถูกบั่นคอแล้ว ภารกิจป่วนเมืองนครใต้เป็นอันล้มเหลว หากกลับไปตอนนี้…เราต้องถูกท่านมหาพรตลงโทษเป็นแน่ จงไปจับเป็นไม่ก็จับตายเจ้าหนุ่มที่ทำแผนของเราพังให้ได้ ไม่ว่าอย่างไรเราก็ต้องมีคำอธิบายกลับไปให้ท่านมหาพรต”

เสียงแหบห้าวดังสั่งการ จากนั้นเสียงรับคำก็ดังขึ้นมาเป็นทอดๆ

ร่างทั้งห้าที่กำลังเคลื่อนตัวผ่านความว่างเปล่าดูราวกับเป็นกระบี่สีดำสนิทห้าเล่ม พวกเขามุ่งหน้าตรงไปยังปู้ฟาง รังสีสังหารรุนแรงแผ่ซ่านออกมาจากร่าง

รังสีสังหาของพวกเขาเข้มข้นขึ้นตั้งแต่เมื่อเห็นปู้ฟางโผล่เข้ามาวุ่นวายกับแผนการที่ดำเนินไปได้ครึ่งทาง พวกเขาทั้งห้าถึงกับต้องสละโอสถทิพย์เม็ดสุดท้าย แต่จนแล้วจนรอดเจ้าหนุ่มคนนี้ก็ยังสังหารอสูรเวทระดับเจ็ดได้อยู่ดี แน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่ปรานีผู้ที่มาขัดขวางแผนการเป็นอันขาด

“รีบฉวยโอกาสตอนที่มันยังอ่อนแรงฆ่ามันเสีย!”

ตู้ม! ผู้นำของกลุ่มรั้งสายธนูสีดำสนิทจนตึง พลังปราณเที่ยงแท้ไหลบ่าเข้าท่วมทั้งลูกธนูและคันธนู เมื่อเขาปล่อยมือ ลูกธนูยาวก็พุ่งทะยานออกไป

สี่คนที่เหลือหยิบอาวุธออกมาตามๆ กัน พลางเริ่มต้นโจมตี

บรรดาผู้ฝึกตนของเมืองนครใต้เริ่มรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ แต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว ลูกธนูสีดำสนิทพร้อมกระแสพลังน่ากลัวถูกยิงออกมาแล้ว เป้าหมายคือของปู้ฟางที่กำลังอ่อนแอไร้เรี่ยวแรว

ความทรงพลังและกระแสพลังรุนแรงที่อยู่ภายในลูกธนูเพียงพอที่จะระเบิดและสังหารปู้ฟางได้ในคราวเดียว!

“บัดซบ! พวกเจ้าเป็นใครกัน!”

นัยน์ตาของบรรดาผู้ฝึกตนเมืองนครใต้ลุกโชนด้วยโทสะ พวกเขาตะโกนออกมาสุดเสียงอย่างโกรธเกรี้ยว

ทว่าชายชุดดำทั้งห้าไม่ได้สนใจคนเหล่านี้แม้แต่น้อย เป้าหมายของพวกเขาคือปู้ฟางเท่านั้น

ปู้ฟางเลิกคิ้ว มสีหน้าตื่นตกใจ คนพวกนี้ต้องเป็นผู้ที่บงการปลาอสูรมังกรพินาศอยู่เบื้องหลังแน่ พอเห็นปีศาจในบังคับบัญชาตายลงด้วยน้ำมือของเขา ก็คงจะหมดความอดทนกันแล้ว

ปู้ฟางถอนหายใจออกมาเบาๆ ริมฝีปากเผยอขึ้นเล็กน้อย

ฟึ่บ…

ลำแสงสีม่วงสว่างเจิดจ้าสองลำพุ่งลงมาจากฟากฟ้า ในอึดใจเดียว ลำแสงนั้นก็หยุดลงตรงหน้าปู้ฟาง

ลูกธนูสีดำสนิทชนเข้ากับลำแสงสีม่วงอย่างจังก่อเกิดเป็นแรงระเบิดรุนแรง!

ฝุ่นควันตลบฝุ้งไปทั่วพร้อมลมแรงจากการระเบิด

กระแสลมพัดผมของปู้ฟางจนยุ่งไม่เป็นทรงขณะที่เขาทรงตัวลุกขึ้น ชายหนุ่มจ้องมองไปที่กลุ่มคนทั้งห้าด้วยสายตาสงบนิ่ง

เมื่อฝุ่นควันจางหายไป ร่างอ้วนท้วนสีขาวก็ปรากฏให้เห็น จิตสังหารแผ่ออกมาจากนัยน์ตาจักรกลสีม่วงแวววาวของมัน ทำเอาทุกคนที่ได้เห็นต่างรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน

ปู้ฟางยกมือตบพุงพลุ้ยของเจ้าขาวเบาๆ นัยน์ตาของชายหนุ่มเย็นยะเยือก เขาหันหลังกลับมาอีกทางโดยไม่พูดจา ก่อนจะเริ่มวัดซากของปลาปีศาจ

เจ้าขาวหมุนตัว ตอนนั้นเองเศษฝุ่นที่อยู่ใต้เท้าของมันก็ปลิวว่อนไปในอากาศ ร่างกายของเจ้าขาวที่ปกติเชื่องช้าพุ่งออกไปความเร็วราวสายฟ้า ในพริบตาเดียวมันก็ไปปรากฏกายอยู่ตรงหน้าผู้บุกรุกชุดดำทั้งห้า

“จับได้ถึงรังสีสังหารที่มีต่อนายท่าน เปลี่ยนระบบปฏิบัติการ เตรียมสังหาร!”

กำปั้นของเจ้าขาวพุ่งเข้าใส่ชายชุดดำที่อยู่ใกล้ที่สุดก่อน ขนาดของเจ้าขาวในตอนนี้แม้จะเล็กจ้อยเท่ามนุษย์ธรรมดาแต่พลังยุทธ์ของมันก็ยังร้ายกาจดังเดิม อย่างน้อยก็ยังรับมือกับผู้ฝึกตนขั้นเทพแห่งสงครามได้สบายๆ

ผัวะ!

ร่างที่ยกกระบี่ยาวขึ้นมาปัดป้องเมื่อถูกกำปั้นหนักหน่วงของเจ้าขาวฟาดใส่ลอยละล่องออกไปทันที ความรุนแรงของกำปั้นทำเอากระบี่ยาวในมือของชายผู้นั้นโค้งงอเป็นรอยหมัด

“ฆ่ามัน!” ขั้นจักรพรรดิยุทธการชุดดำทั้งห้าคำรามก้องพร้อมกันด้วยแรงโทสะ

พลังปราณเที่ยงแท้สีดำสนิทไหลบ่าออกมาจากกายของพวกเขา พลังรุนแรงระเบิดออกมาอย่างต่อเนื่อง ทุกการเคลื่อนไหวของชายเหล่านี้เปี่ยมไปด้วยพลังปราณเที่ยงแท้ ราวกับอยากอัดเจ้าขาวให้แหลกเป็นผุยผง

ทว่าพลังเหล่านี้กลับไม่ทำให้เจ้าขาวกระเทือนแม้แต่น้อย

เจ้าขาวยืนนิ่งไม่ไหวติง มันวาดมือลงมา ฟาดคันธนูของผู้นำชุดดำจนแหลกเป็นเสี่ยง

ตูม ตูม ตูม!

เงาห้าเงาถูกอัดกระเด็นไปบนท้องฟ้าตามๆ กัน ร่างของพวกเขาพุ่งเข้าชนกำแพงเมืองจนมันยุบเป็นรอยขนาดใหญ่

หมวกไม้ไผ่บนศีรษะของคนทั้งห้าแหลกเป็นชิ้น เผยให้เห็นใบหน้าซีดเซียวที่อำพรางอยู่ ใบหน้าของพวกเขาซีดขาวจนดูแปลกประหลาด ไม่มีร่องรอยของเลือดอยู่ภายในแม้แต่น้อย

คนกลุ่มนี้ไม่คาดคิดสักนิดว่าเจ้าขาวจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ความตื่นตระหนกต่างปรากฏอยู่ในแววตาของคนทั้งห้า

“เจ้านี่เป็นตัวประหลาดประเภทใดกัน แล้วเจ้าหนุ่มนั่นเป็นใคร… มียอดฝีมือระดับนี้อยู่ในเมืองนครใต้ตั้งแต่เมื่อไร ทำไมเราถึงไม่เคยได้รับรายงานเรื่องนี้มาก่อน” เงาหนึ่งกระอักเลือดออกมากองใหญ่ก่อนจะพูดอย่างเจ็บแค้น

คนอื่นๆ ต่างก็มึนงงเช่นกัน แต่พวกเขาก็สับสนอยู่ไม่นาน ก่อนจะทยอยหยิบขวดหยกสีดำออกมา ขวดหยกนั้นส่องประกายเจิดจ้าขณะที่คนทั้งห้าเทโอสถที่อยู่ภายในใส่มือ

พวกเขาไม่คิดรีรอ ต่างรีบกลืนโอสถลงท้องทันที

หลังจากกลืนโอสถลงไป พลังของคนทั้งห้าก็พุ่งทะยานขึ้นอีกครั้ง พวกเขาเกือบบรรลุไปสู่ขั้นนักพรตยุทธการเลยทีเดียว

“ใครจะสนกันว่าหมอนี่เป็นใคร ไม่ว่าใครคิดขวางทาง เราก็ต้องทำภารกิจที่ท่านมหาพรตมอบหมายให้สำเร็จลุล่วง… ต่อให้ต้องตายก็จะไม่ถอย!”

นัยน์ตาของคนทั้งห้าเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานราวกับสัตว์ร้ายบ้าคลั่ง พลังปราณในกายเดือดพล่านขณะดาหน้ากันเข้ามาโจมตีเจ้าขาว

ดวงตาสีม่วงเข้มของเจ้าขาวไม่มีแม้เศษเสี้ยวความเมตตา จิตสังหารในกายของมันพุ่งสูง มือจักรกลขยับก่อนแปรเปลี่ยนเป็นใบมีดขนาดมโหฬาร

จู่ๆ เจ้าขาวก็หันหลังขวับก่อนจะหายไปจากตำแหน่งเดิม

ผัวะ เลือดสาดกระจายลงบนพื้นเมื่อหนึ่งในห้าถูกใบมีดของเจ้าขาวบั่นคอ ร่างของเขาเซไปข้างหน้าสองสามก้าวก่อนจะสิ้นแรงล้มลงกระแทกพื้น

ร่างของคนที่เหลือซึ่งอยู่ห่างไปเล็กน้อยล้วนสั่นสะท้าน

คุณพระคุณเจ้า เหตุใด…เจ้าหุ่นเชิดตัวขาวนี่ถึงได้เก่งกาจนัก ตอนที่มันลงมือฆ่าคน มันไม่ได้มีท่าทีชั่งใจแม้แต่น้อย การฟันเมื่อครู่… ทำเอาเซียวอวี่รู้สึกเย็นวาบที่ต้นคอขึ้นมาเสียเฉยๆ

เดิมทีทุกคนเข้าใจไปว่าคงเป็นการประลองยุทธ์กันเล็กๆ ทว่าการต่อสู้ครั้งนี้กลับทำให้พวกเขานิ่งงันไปกันหมด

เพราะการต่อสู้ตรงหน้ากลับกลายเป็นการไล่ล่าสังหารอยู่ฝ่ายเดียว

เจ้าขาวเข่นฆ่าคนทั้งห้าอย่างไร้ซึ่งความปรานี

บนเรือใหญ่ที่ใจกลางมหาสมุทร

จีเฉิงอวี่หัวเราะขึ้นมาอย่างลืมตัว เสียงหัวเราะนั้นแหลมสูงดังลั่นสะท้อนก้องไปทุกทิศ

เหลียนฟู่จดนิ้วกลางเข้ากับนิ้วโป้งก่อนจะหรี่ตาลง ปลายเท้าแตะอยู่ที่เรือลำเล็ก จู่ๆ ร่างของเขาก็ลอยขึ้นมาราวกับเป็นขนนก ก่อนที่จะก้าวเดินไปบนอากาศ

กระบี่ยาวเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ ตัวกระบี่ปลดปล่อยรัศมีเย็นเยียบออกมา

“กระบี่นี้คือกระบี่สวรรค์ทมิฬที่องค์จักรพรรดิประทานให้ข้า ข้าไม่เคยอยากใช้มันเลย… วันนี้ข้าจะขอใช้กระบี่เล่มนี้พาตัวท่านกลับไป ราชาอวี่” เหลียนฟู่กล่าวอย่างเยือกเย็น เสียงแหลมสูงเมื่อครู่เริ่มจะแหบพร่า

เสียงหัวเราะของจีเฉิงอวี่เงียบลงขณะที่ชายหนุ่มเงยศีรษะขึ้นมาอย่างปุบปับ นัยน์ตาเปี่ยมด้วยความอำมหิตไม่ยอมจำนน

“พาข้ากลับไปอย่างนั้นหรือ หัวหน้าขันทีเหลียน ท่านจะมั่นอกมั่นใจในความสามารถของตัวเองมากเกินไปหน่อยกระมัง” จีเฉิงอวี่ค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อคลุมที่อยู่บนไหล่ช้าๆ เสื้อคลุมสีแดงตกลงพื้นพร้อมเสียงหนักๆ

ขณะที่เหลียนฟู่กำลังมองตามเสียงนั้น พลังปราณของจีเฉิงอวี่ก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างคาดไม่ถึง

มุมปากของเจ้ารู่เก๋อยกขึ้นเล็กน้อยขณะถอยหลบไป เขาเขม้นตามองจีเฉิงอวี่ที่พลังในกายเพิ่มมากขึ้นทุกที

จีเฉิงอวี่ในตอนนี้ไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว…

ตูม!!

“ขั้นนักพรตยุทธการรึ ข้าอยากสัมผัสความแข็งแกร่งของพลังปราณขั้นนี้มานานแล้ว หัวหน้าขันทีเหลียน อย่าทำให้ข้าผิดหวังเสียเล่า!”

จีเฉิงอวี่ก้าวออกมา จู่ๆ เขาก็ลอยตัวขึ้นก่อนเดินเหินไปบนอากาศ ราวกับว่าร่างกายของเขาได้กลายเป็นปีศาจชั้นสูงจากบรรพกาล พลังปราณที่ไหลล้นออกมาจากร่างทั้งรุนแรงและแข็งแกร่ง

จีเฉิงอวี่ที่ถูกผนึกพลังปราณไว้กลับคลายผนึกและบรรลุสู่ขั้นนักพรตยุทธการได้ในคราเดียว เป็นไปได้อย่างไรกัน… ตั้งแต่เมื่อใดกันนี่!

นัยน์ตาของเหลียนฟู่หดแคบ จิตวิญญาณในกายสั่นไหว

ราชาอวี่โบกฝ่ามือใหญ่โตไปมาพลางหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ง้าวด้ามยาวปรากฏขึ้นตรงหน้าก่อนที่เขาจะกำมันเอาไว้แน่น พลังปราณเที่ยงแท้หมุนวนอยู่ในกาย ขณะที่พลังปราณสีดำสนิทไหลบ่าออกมาจากแขน

ชายหนุ่มกวัดแกว่งง้าวยาวในมือ ความแข็งแกร่งน่าสะพรึงกลัวเกินต้านทานทำเอาจิตใจของเหลียนฟู่สั่นกลัว

“ตาย!” จีเฉิงอวี่ตะโกนอย่างเดือดดาล

เขาจับง้าวเอาไว้แน่น ก่อนจะพาร่างทั้งร่างเดินลงมา คลื่นในมหาสมุทรบิดม้วนผิดรูปขณะที่จีเฉิงอวี่พุ่งเข้าใส่เหลียนฟู่

เหลียนฟู่ทอดถอนใจออกมาเล็กน้อย มือของเขากำกระบี่ยาวเอาไว้แน่น นิ้วหัวแม่โป้งยังสัมผัสกับนิ้วกลาง ผมสีขาวโบกไสวไปตามสายลมขณะที่ร่างกระโจนขึ้นฟ้า

การต่อสู้นี้… สุดท้ายแล้วก็หลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ