ตอนที่ 312 เป็นผู้หญิงก็ดีเหมือนกัน

แม่สาวเข็มเงิน

จิ้นเทียนหยู่เจอเจียงป่าวชิงระหว่างทางลงเขาจริง ๆ เวลานี้นางสวมใส่ชุดผู้ชาย กำลังยืนพูดคุยอยู่กับซิ่วผิง

หลังจากที่ซิ่วผิงรู้ว่าเจียงป่าวชิงเป็นผู้หญิง สภาพจิตใจของนางก็เหี่ยวเฉาไปหลายวันเลยทีเดียว แต่ผู้หญิงคนอื่น ๆ ในหมู่บ้านกลับไม่คิดเรื่องหยุมหยิมอย่างนาง นางจึงพยายามทำใจและเสียใจอยู่ไม่กี่วัน ในที่สุดก็เรียนรู้ที่จะยอมรับความจริงและวิ่งมาคุยกับเจียงป่าวชิง

“เมื่อก่อนข้าเคยคิดและรอดูว่าผู้ชายที่ทั้งอ่อนโยนและน่าสนใจอย่างหมอเจียง สุดท้ายแล้วจะแต่งงานกับผู้หญิงบ้านไหน ข้าแค่คิดว่าหญิงบ้านนั้นไม่ใช่ข้าก็รู้สึกทรมานใจมาก แม้หมอเจียงจะแอบบอกข้าเป็นนัย ๆ หลายครั้งแล้วว่าเราสองคนคงเป็นไปไม่ได้ แต่ข้าก็ไม่อยากยอมรับเลย” ซิ่วผิงหยุดยิ้มครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ตอนนี้ดีหน่อยที่จริง ๆ แล้วหมอเจียงเป็นผู้หญิง ผู้หญิงบ้านไหนก็ไม่มีโชคที่จะแต่งงานกับหมอเจียง พอคิดอย่างนั้นข้าก็รู้สึกดีใจมากเลยล่ะ”

“…” เจียงป่าวชิงไม่รู้ว่าควรพูดอะไร คิดเพียงว่าซิ่วผิงดีใจก็ดีแล้ว

ซิ่วผิงทำท่าทางตื่นเต้น “แล้วนี่หมอเจียงกำลังจะลงเขารึ ? ถ้าอย่างนั้นข้าขอลงเขาไปซื้อของด้วยกันได้ไหม ?”

เจียงป่าวชิงยังไม่ทันได้ตอบอะไรก็ถูกจิ้นเทียนหยู่ดึงไปยืนข้าง ๆ เขาเสียก่อน

จิ้นเทียนหยู่ถลึงตาใส่ซิ่วผิง “ข้าจะลงเขากับเจียงป่าวชิงเอง เจ้าไม่ต้องตามมา”

พวกผู้หญิงในหมู่บ้านไม่มีใครไม่กลัวจิ้นเทียนหยู่ แน่นอนว่าซิ่วผิงก็ไม่กล้าหือ นางตัวสั่นเทาไม่กล้าพูดอะไรอีก ในขณะที่จิ้นเทียนหยู่ดึงเจียงป่าวชิงลงเขาไปด้วยกันทันที

เจียงป่าวชิงทั้งหงุดหงิดทั้งงุนงง หันกลับไปโบกมือให้ซิ่วผิง และก็ต้องจำยอมถูกจิ้นเทียนหยู่ฉุดดึงไป

ซิ่วผิงกลับรู้สึกดีใจอีกครั้ง นางรู้สึกว่าตอนที่หมอเจียงเป็นผู้ชาย อีกฝ่ายมักจะหลบหลีกนาง นางจึงรู้สึกทรมานในใจอย่างมาก ตอนนี้หมอเจียงกลายเป็นผู้หญิงแล้วมันเป็นเรื่องดีมากจริง ๆ แถมอีกฝ่ายยังเป็นฝ่ายโบกมือให้นางก่อนด้วย

จนกระทั่งตอนที่ใกล้จะออกจากประตูภูเขาแล้ว จิ้นเทียนหยู่ถึงจะตอบสนองกลับมา เขาปล่อยแขนเจียงป่าวชิงราวกับจับของร้อนแล้วโดนลวกมือ

เจียงป่าวชิงขยับแขนข้างที่ถูกจับไว้อยู่ตลอดเล็กน้อย “หัวหน้าสาม โชคดีนะหนิที่ท่านจับแขนข้างขวาข้าจึงไม่เจ็บ แต่ถ้าท่านจับแขนข้างซ้ายละก็ ข้าจะสู้กับท่านตอนนี้แหละ”

จิ้นเทียนหยู่หันหน้าไปทางอื่นอย่างเก้อเขิน “ข้าดึงเจ้าแรงไปบ้างเป็นบางครั้ง เจ้าก็บอกข้าสักคำสิ”

เจียงป่าวชิงมองจิ้นเทียนหยู่อย่างหงุดหงิด “งั้นท่านก็อย่าลงไม้ลงมือกับข้าสิ หัวหน้าสาม บอกตามตรงว่าข้าไม่ค่อยชอบให้คนอื่นมาโดนตัวสักเท่าไหร่”

“…” จิ้นเทียนหยู่สีหน้าคร่ำครึ เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ และเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเอาเสียดื้อ ๆ “นี่เจ้ากำลังจะลงเขาใช่ไหม ?”

เจียงป่าวชิงพูดขึ้นอย่างแปลกใจ “หัวหน้าสาม ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหมนี่ เดินถนนเส้นนี้ถ้าไม่ลงเขาแล้วข้าจะไปไหน หรือท่านคิดว่าข้ากำลังเดินไปมาบนภูเขาเพื่อออกกำลังกายอย่างนั้นรึ ?”

“…” จิ้นเทียนหยู่รู้สึกว่าด้วยนิสัยของเจียงป่าวชิง ไม่น่าเป็นเรื่องยากเลยที่นางจะถูกลักพาตัว

ดูนางพูดเข้าสิ ช่างง่ายต่อการทำให้คนโมโหดีจริง ๆ

“ทำไมไม่พูดอะไรแล้วล่ะ ?” เจียงป่าวชิงเดินลงเขาด้วยสีหน้าผ่อนคลาย “หัวหน้าสาม ท่านเองก็จะไปซื้อของที่ตลาดล่างเขาเหมือนกันรึ ?”

จิ้นเทียนหยู่กับเจียงป่าวชิงเดินเคียงไหล่ไปด้วยกัน เขาอดกลั้นความเขินอยู่สักครู่ถึงจะแค่นคำพูดออกมาได้หนึ่งประโยค “เจ้าไปซื้อของไม่กลัวเจอกับโจรเก็บดอกไม้อีกรึ ?”

เจียงป่าวชิงไตร่ตรองอยู่สักครู่ “ข้าคงไม่ซวยถึงขนาดเจอโจรเก็บดอกไม้ทุกครั้งหรอก จริงไหม ?”

จิ้นเทียนหยู่มองใบหน้าด้านข้างของเจียงป่าวชิงที่ดูนุ่มนวลและสวยงามมากขึ้นเรื่อย ๆ ในสายตาเขา แม้ใบหน้านี้ไม่ได้เพิ่มการตกแต่งใด ๆ ก็ยังดูดีจนเขาพูดในใจว่าไม่ใช่ว่าเจ้าซวยหรอก แต่เพราะใบหน้าของเจ้าต่างหากที่ดึงดูดผู้คนเกินไป

ทั้งสองคนเดินลงเขาพร้อมพูดคุยกันไปด้วย จนมาถึงตลาด เจียงป่าวชิงกับจิ้นเทียนหยู่เดินได้ไม่เท่าไหร่ก็สังเกตเห็นถึงสิ่งผิดปกติ

ด้านล่างเขาในวันนี้ มีคนที่มีกังฟูติดตัวหลายคนจนดูผิดหูผิดตา

คนที่มีกังฟูติดตัวดูได้จากลักษณะท่าทางที่ค่อนข้างแตกต่างจากคนทั่วไปอยู่หน่อย แม้ยามปกติจะมีคนประเภทนี้ไม่มาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเห็นเดินกันอยู่สองสามคน

ปัญหาคือสถานที่เล็ก ๆ เช่นนี้กลับมีคนที่ฝึกฝนกังฟูเพิ่มมาเป็นจำนวนมากในคราวเดียว มันจึงค่อนข้างผิดปกติเล็กน้อย

เจียงป่าวชิงกับจิ้นเทียนหยู่สบตากัน พวกเขารู้งานและทำเป็นพูดคุยกันโดยไม่พูดถึงหมู่บ้านของพวกเขาแม้แต่น้อย

เจียงป่าวชิงไปที่ร้านขายผ้า แต่ในร้านขายผ้าก็มีคนเดินสำรวจโดยรอบเช่นกัน ดูจากท่าทางแล้วก็เป็นคนที่มีกังฟูติดตัว

เจียงป่าวชิงมองดูรอบ ๆ ก่อนจะเลือกผ้าด้วยท่าทางไม่ค่อยสนใจอะไรสักเท่าไหร่

“ที่บ้านข้ามีผ้าตั้งเยอะแยะ เจ้ายังจะซื้ออีกรึ ?” จิ้นเทียนหยู่ขมวดคิ้วพูดขึ้น เขาแบ่งพวกผ้าไหมมาจากกองข้าวของที่ปล้นได้ครั้งใหญ่เมื่อครั้งที่แล้ว และกองเก็บไว้ในโรงเก็บของทั้งหมดโดยที่ไม่ได้ใช้สักนิด

เจียงป่าวชิงลูบเนื้อผ้าและพูดโดยไม่เงยหน้าขึ้นมามอง “ข้าจะซื้อให้อาฉิง ผ้าในโรงเก็บของของท่านสีสันฉูดฉาดเกินไป ไม่เหมาะกับเด็กเล็กอย่างอาฉิง”

ตอนที่เจียงป่าวชิงไปหาเครื่องปรุงยาที่โรงเก็บของของจิ้นเทียนหยู่เมื่อครั้งที่แล้ว นางยอมจำนนต่อรสนิยมทางการแต่งกายของหัวหน้าสามคนนี้จริง ๆ

พวกผ้าไหมที่เขาเลือกมาเก็บล้วนเป็นผ้าสีสันฉูดฉาดแวววับทั้งหมด

สีที่ดูเกินวัยเช่นนั้น เด็กผู้หญิงอย่างเจียงฉิงจะใส่เหมาะได้อย่างไร

แต่จิ้นเทียนหยู่ไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้ เขาเห็นเจียงป่าวชิงปฏิเสธก็คิดว่านางเกรงใจ และคิดว่ากลับไปเขาค่อยเปิดโรงเก็บของแล้วส่งผ้าสักสองผืนไปให้กับนาง

ผืนหนึ่งให้เจียงป่าวชิงไว้ทำเสื้อผ้า อีกผืนให้เจียงฉิง

‘อืม ตามนั้น’ เขาคิดกับตัวเองและพยักหน้า

เจียงป่าวชิงไม่สนใจจิ้นเทียนหยู่ นางเลือกผ้าที่มีสีสันสะอาดตา แม้วัสดุจะไม่หรูหรามากนักแต่ก็มีความนุ่มสวมใส่สบาย

เจียงป่าวชิงจ่ายเงิน กอดผ้าออกจากร้านขายผ้ากับจิ้นเทียนหยู่

ทั้งสองเดินเคียงไหล่กันอยู่บนท้องถนน ทว่าจิ้นเทียนหยู่ค่อนข้างอึดอัดใจ เขาอยากถือผ้าแทนเจียงป่าวชิงแต่นางกลับบอกว่านี่ไม่ได้หนักมาก นางขอบคุณเขาแล้วบอกว่าถือเองได้

อากาศเริ่มเย็นลงแล้ว ลมต้นฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่านถนนที่ทำจากกองหินและพัดผ่านเส้นผมของเจียงป่าวชิง ใบไม้สองสามใบตกลงมาโดนใบหน้าของนางและบังเอิญมีปลายใบไม้ใบหนึ่งปลิวมาเสียบอยู่ที่ผมของนางพอดิบพอดี นางกำลังกอดผ้าอยู่เต็มอ้อมแขนจึงต้องส่ายศีรษะเพื่อสะบัดให้ใบไม้นั้นร่วงหล่นไป

จิ้นเทียนหยู่ยกมือไปดึงใบไม้ที่บดบังสายตาให้เจียงป่าวชิงอย่างลืมตัว

เจียงป่าวชิงเงยหน้าขึ้นและส่งยิ้มให้เขา

ร่างใหญ่หน้าแดงทันที…

……

ที่ร้านอาหารริมถนน ชายหนุ่มชุดทหารคนหนึ่งดื่มเหล้าอยู่ที่นั่น เขาดื่มอย่างต่อเนื่องมาพักใหญ่แล้ว

ชายหนุ่มผู้นี้มีใบหน้าหล่อเหลาอย่างมาก แต่กลับมีความเย็นชาแฝงอยู่และคิ้วเขาขมวดอยู่ตลอด

ฝั่งตรงข้ามกับชายหนุ่มหน้าหล่อมีชายหน้าตาหล่อเหลาคมคายอีกคนนั่งอยู่ เพียงแต่เขาคนนี้มีรอยแผลเป็นที่ด้านซ้ายของใบหน้า ซึ่งมันทำลายความหล่อเหลานี้ไปเล็กน้อย

“คุณชายเล็ก ท่านช่วยข้าคิดหาวิธีหน่อยเถอะ” ชายผู้มีใบหน้ารอยแผลเป็นถอนหายใจ “น้องชายข้าเอาตัวเองเข้าถ้ำโจรเพื่อช่วยเพื่อนที่เล่นกันมาแต่เยาว์วัยของเขาคนนั้น สองวันก่อนเขาบอกว่าจะส่งข้อความหาข้า แต่กลับไม่มีข่าวคราวจนถึงตอนนี้ ข้ากลัวว่าเขาจะโชคร้าย”

ชายหนุ่มรูปงามในชุดทหารพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาอย่างช้า ๆ เขาแกว่งถ้วยเหล้าด้วยมือข้างเดียว จากนั้นก็ดื่มจนหมด “แค่โจมตีก็จบแล้ว”

ชายใบหน้ามีรอยแผลเป็นฝืนยิ้ม “ฮืมมม… ตั้งแต่ข้ากลับไปที่เมืองหลวง คุณชายสามก็หวาดกลัวข้าจึงหาเหตุผลมาถอดอำนาจทางทหารของข้า ข้าไม่สามารถบอกให้คนอื่นรู้เกี่ยวกับเรื่องน้องชายข้ากับเพื่อนที่เล่นกันมาแต่เยาว์วัยของเขาได้ ตอนนี้ข้าพามาแค่ทหารส่วนตัว ซึ่งถ้าหากคิดจะโจมตีหมู่บ้านฟู่กุ้ยที่เส้นทางต่าง ๆ โดยรอบซับซ้อนและแปลกประหลาดนั้น เกรงว่าจะเป็นการส่งอ้อยเข้าปากช้างน่ะสิ”

ชายหนุ่มรูปงามหัวเราะอย่างเย็นชา “เหอะ ๆ ดังนั้นเจ้าจึงคิดจะเอาเปรียบคนของข้า อยากให้คนของข้าไปเป็นอ้อยที่เข้าปากช้างไปกับเจ้าด้วยอย่างนั้นสิ” เขาพูดจบสายตาก็กวาดมองไปบนท้องถนนล่างหน้าต่างอย่างช้า ๆ พลันเห็นว่าชายหน้าตาหล่อโหดคนหนึ่งกำลังดึงใบไม้ที่ติดอยู่บนศีรษะให้กับอีกคนที่เป็นเด็กสาวร่างเล็ก

ทันทีที่ใบไม้ร่วงหล่นจากศีรษะของเด็กสาวคนนั้นก็เผยให้เห็นใบหน้าของอีกฝ่าย

ชายหนุ่มรูปหล่อรู้สึกว่าหัวใจของเขาบีบแน่นอย่างแรง!

ขณะเดียวกัน ชายใบหน้ารอยแผลเป็นไม่รู้สึกอะไรเลย เขายังคงพูดอยู่อย่างนั้น “ในสามปีนี้มีใครบ้างที่ไม่รู้จักชื่อเสียงลือนามของกองทัพตระกูลกงนอกพรมแดน แบบนี้จะเป็นการส่งอ้อยเข้าปากช้างได้ยังไง ?”

ชายใบหน้ารอยแผลเป็นยังพูดไม่ทันจบก็เห็นชายผู้โหดเหี้ยมที่มีสีหน้าราบเรียบแม้กระทั่งตอนที่เผชิญหน้ากับภูเขาไท่ซานบีบถ้วยเหล้าในมือจนเกิดเป็นรอยร้าวหลายรอย

ทันใดนั้น ชายรูปงามปาถ้วยเหล้าลงบนพื้นและลุกขึ้น ร่างสูงโปร่งกระโดดลงไปจากริมหน้าต่างอย่างรวดเร็ว

.

.

.