ภาคที่ 2 ตอนที่ 123 ร่างอันสูงใหญ่ที่หายไป

มรรคาสู่สวรรค์

เมื่อได้ยินชื่อนี้ จิ๋งจิ่วพลันรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ในอดีตอันเนิ่นนาน องค์จักรพรรดิสูงสุดมีตราประทับที่ทำจากหยกชั้นยอดที่มาจากนอกท้องฟ้า ภายหลังตราประทับได้หายสาบสูญไป ปฐมจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักจงโจวได้พบเจอมันโดยบังเอิญ จากนั้นได้ใช้พลังจักรวาลขั้นสุดยอดแบ่งมันออกเป็นสองส่วน หลังอยู่บนยอดเขาอวิ๋นเมิ่งมานานหลายปี มันก็ได้กลายเป็นวัตถุวิเศษสองชิ้น มีนามว่าตราประทับหมื่นลี้ หลังปฐมจารย์ของสำนักจงโจวบรรลุกลายเป็นเซียน ตราประทับหมื่นลี้ก็อยู่บนยอดเขาอวิ๋นเมิ่ง ว่ากันว่ามันมีความสามารถอันสุดยอด สามารถพาผู้ใช้ทะลุไปยังอีกที่หนึ่งได้ เป็นของวิเศษที่มีระดับชั้นวิญญาณสูงสุดของสำนักจงโจว ล้ำค่าเสียยิ่งกว่าไข่มุกคืนสวรรค์

มาตรว่าไป๋เจ่าจะเป็นบุตรสาวที่สองสามีภรรยาเจ้าสำนักจงโจวรักใคร่มากที่สุด แต่การที่นางนำของล้ำค่าเช่นนี้ติดตัวมาด้วยก็ยังน่าตกใจเป็นอย่างมาก

หากผู้บำเพ็ญพรตคนอื่นรู้เรื่องนี้เข้า แล้วยังตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เป็นไปได้ว่าอาจจะเกิดความคิดสังหารคนเพื่อแย่งชิงของล้ำค่า

แต่นางกลับบอกจิ๋งจิ่ว

จิ๋งจิ่วถาม “ทำไมเจ้าถึงไม่ไป?”

“ตอนแรกข้าก็คิดจะทำเหมือนอย่างเจ้า หากศิษย์สำนักจงโจวพบเจออันตราย ข้าก็จะได้ช่วยได้ จากนั้นค่อยออกไป”

นางกล่าวว่า “คิดไม่ถึงว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันเช่นนี้”

ความจริงแล้วเหตุผลที่นางยังไม่ไปยังมีอีกข้อหนึ่ง

หากเจอกับอันตราย นางสามารถช่วยพาจิ๋งจิ่วออกไปได้

แต่เมื่อครู่นี้ ยันต์ไม้ไผ่ที่นางนำติดตัวมาด้วยส่องแสงสว่างขึ้นมา

นั่นคือสัญญาณที่ศิษย์พี่ส่งมา

ลั่วไหวนานนั้นหยิ่งทะนงในตนเองเพียงใด แต่เวลานี้เขากลับเป็นฝ่ายขอความช่วยเหลือ ดูท่าแล้วตอนนี้เขาคงกำลังเผชิญหน้าอยู่กับสถานการณ์ที่อันตรายอย่างมากอยู่เป็นแน่

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ นางจะจากไปได้อย่างไร?

“อย่างนี้นี่เอง นั่งดีๆ”

ครั้นพูดจบ จิ๋งจิ่วก็ขี่กระบี่ไปยังส่วนลึกของหมอกอันเย็นยะเยือก

ไป๋เจ่าคิดไม่ถึงว่าเขาจะตัดสินใจกะทันหันเพียงนี้ จึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย มือยื่นออกไปจับสายรัดเอวของเขาเอาไว้โดยไม่รู้ตัว

ความเร็วของกระบี่เหล็กเปลี่ยนเป็นเร็วขึ้น เพียงพริบตาก็กลายเป็นเส้นสีดำ ลำแสงจากวัตถุวิเศษบนท้องฟ้าพลันถูกหมอกอันหนาทึบปกคลุมอย่างรวดเร็ว

……

……

พระอาทิตย์ยามเช้าลอยขึ้น แสงสีแดงอันอบอุ่นส่องสว่างเมฆหมอกที่ลอยอยู่ด้านนอกรั้ว

แต่ในตำหนักที่อยู่บนจุดสูงสุดของเรือนซีซานกลับถูกบรรยากาศอันตึงเครียดกดดันปกคลุมเอาไว้ มิได้สงบเงียบเหมือนอย่างหลายวันก่อนอีก

ไม่ว่าจะเป็นเจ้าอาวาสของสำนักฌานเป่าทงหรือว่าเจ้าสำนักคุนหลุน สีหน้าล้วนแต่ดูแย่เป็นอย่างมาก

แผนที่หมื่นลี้ที่อยู่ตรงหน้าผู้อาวุโสและเจ้าสำนักทุกคนไม่สามารถใช้การได้ หมอกอันหนาวเย็นที่ปกคลุมหมู่ขุนเขาเอาไว้ได้ตัดขาดการมองเห็นของพวกเขา

ด้านนอกรั้วมีรถม้าบินลงจอด เจ้ากรมชิงเทียนเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด กล่าวว่า “ตรวจนับขั้นต้นเสร็จเรียบร้อยขอรับ”

เหอกั๋วกงเงยหน้าขึ้นมาทันที ถามว่า “เท่าไร?”

เจ้ากรมชิงเทียนกล่าว “สี่สิบสามคน ตัวเลขอาจจะเพิ่มขึ้นอีกขอรับ”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ ภายในห้องพลันเงียบลงทันที บรรยากาศยิ่งตึงเครียด

จริงอยู่ที่การประลองวิถีพรตในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยนั้นอันตราย แต่มันเคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเมื่อไรกัน?

ในรุ่งเช้าเพียงวันเดียว มีผู้เข้าร่วมการประลองเสียชีวิตไปสี่สิบกว่าคน!

ถึงแม้ผู้เข้าร่วมการประลองเหล่านั้นจะอายุยังน้อย สภาวะก็มิได้สูงส่ง แต่ก็ล้วนเป็นศิษย์อัจฉริยะที่แต่ละสำนักเฝ้าเลี้ยงดูฟูมฟักเป็นอย่างดี เรียกได้ว่าเป็นอนาคตของโลกแห่งการบำเพ็ญพรต

ความสูญเสียเช่นนี้ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ล้วนแต่เรียกได้ว่าโหดร้ายทารุณ

เหอกั๋วกงสูดหายใจลึกๆ กล่าวว่า “โชคดีที่ฉานจึเตือนได้ทันเวลา มิเช่นนั้นคนที่ต้องตายอยู่ในหมอกครั้งนี้คงมีจำนวนมากกว่านี้เป็นแน่”

เจ้าอาวาสสำนักฌานเป่าทงกล่าวเสียงคร่ำเครียดเล็กน้อยว่า “หมอกนี้มันคืออะไรกันแน่? เหตุใดถึงได้แปลกประหลาดถึงเพียงนี้ ได้ยินว่าหมอกวันนี้หนาวเย็นยิ่งกว่าเมื่อหลายวันก่อนเสียอีก?”

“ถูกต้อง ยิ่งไปกว่านั้นหมอกในวันนี้ยังมีขนาดใหญ่อย่างมาก มิได้มีทีท่าว่าจะสลายไป หากคิดจะหาคนให้ครบทุกคน คงจะเป็นเรื่องยากอย่างมาก”

เจ้ากรมชิงเทียนกล่าว

เหอกั๋วกงมองไปทางเจ้าสำนักคนหลุนและหนานว่าง พลางกล่าวถามว่า “เข้าไปด้านในอีกหน่อยได้ไหม?”

มิทันที่เจ้าสำนักคุนหลุนและหนานว่างจะตอบ เจ้ากรมชิงเทียนพลันส่ายศีรษะ ก่อนกล่าวว่า “ลมที่อยู่ด้านบนที่ราบหิมะก็ได้รับอิทธิพลจากหมอกแปลกๆ นี้ มันพัดรุนแรงขึ้นกว่าปกติ เรือวิเศษของแต่ละสำนักไม่สามารถรั้งอยู่ได้นาน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะเข้าไปลึกขึ้นเลยขอรับ”

แสงสีแดงอันอบอุ่นลอดผ่านรั้วเข้ามา ทะลุหน้าต่าง ตกกระทบลงไปบนตัวของเจ้าสำนักและผู้อาวุโสแต่ละคน ทว่าพวกเขากลับมิได้รู้สึกถึงความอบอุ่นใดๆ พวกเขารู้สึกได้เพียงแค่ความหนาวเย็น

หมู่เขาแห่งนั้นที่อยู่ไกลออกไปหลายหมื่นลี้ ดูแล้วคงจะหนาวเย็นกว่านี้หลายเท่า

หากไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ อย่างนั้นศิษย์ที่เข้าไปยังส่วนลึกของหมู่เขาจะทำอย่างไร?

โดยเฉพาะกลุ่มของลั่วไหวหนานและถงหลู พวกเขาเดินไปไกลมากแล้ว

เจ้ากรมชิงเทียนก้มหน้ามองดูของวิเศษ ก่อนจะกล่าวกับทุกคนว่า “ไต้ซือตู้ไห่ได้เข้าไปแล้ว”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ สีหน้าของผู้อาวุโสสำนักจงโจวดีขึ้นเล็กน้อย หัวหน้าอารามหลี่ว์ถังของวัดกั่วเฉิงลงมือช่วยเหลือด้วยตัวเอง อย่างน้อยก็น่าจะช่วยออกมาได้สักสามสี่คน

เหอกั๋วกงกล่าว “เจ้าสำนักเฟิงเตากับผู้บัญชาการกองทัพเจิ้นเป่ยได้รับแจ้งแล้ว เวลานี้กำลังมุ่งหน้าเข้าไปด้านใน”

“ต้องเร็วหน่อย มิเช่นนั้นข้ากังวลว่าพวกเขาเองก็อาจจะติดอยู่ด้านในเหมือนกัน”

เจ้าสำนักคุนหลุนกล่าวเสียงเย็นยะเยือก “อย่าคิดว่าข้ากำลังขู่ให้กลัว ความหนาวเย็นภายในหมอกนั้น กระทั่งนกหานเฮ่าของสำนักข้าก็ยังทนไม่ไหว แล้วพวกเขาจะทนได้นานเท่าไร?”

……

……

ในส่วนลึกของหมู่เขา หมอกอันเย็นยะเยือกหนาทึบ หมอกอันหนาทึบเย็นยะเยือก

พลังอันแข็งแกร่งสองสายปรากฏขึ้น ลมกระโชกหวีดหวิวขึ้นมา เศษหิมะและก้อนหินปลิวว่อน พัดพาเอาหมอกอันหนาทึบกระจายออกไปเป็นรัศมีหลายสิบจ้าง

ผู้บัญชาการกองทัพเจิ้นเป่ยและเจ้าสำนักเฟิงเตามาถึงพร้อมกัน ทั้งคู่สบตากัน

ยอดฝีมือแห่งดินแดนทางเหนือสองคนนี้ไม่ค่อยถูกชะตากันมาเป็นเวลาหลายปี แต่วันนี้ในตอนที่พวกเขาทั้งสองสบตากัน กลับมิได้มีความรู้สึกเยาะเย้ยเสียดสีใดๆ อยู่ในสายตา มีเพียงแค่ความรู้สึกประหลาดใจ

หมอกอันหนาวเย็นนี้ช่างแปลกประหลาดจริงๆ กระทั่งพวกเขาก็ยังรู้สึกว่าปราณก่อกำเนิดภายในร่างกายหมุนเวียนได้ลำบาก แล้วศิษย์หนุ่มสาวเหล่านั้นจะไปทนไหวได้อย่างไร?

สำหรับเรื่องที่ว่ากลุ่มของลั่วไหวหนานและถงหลูยังมีผู้รอดชีวิตอยู่หรือไม่นั้น พวกเขามิได้มีความคาดหวังใดๆ

จู่ๆ หมอกอันหนาวเย็นเบื้องหน้าพลันเปลี่ยนรูปร่าง

สมณะตู้ไห่หิ้วคนสองคนเดินออกมาจากหมอก นั่นคือถงหลูและเพื่อนของเขาคนหนึ่ง

เพื่อนคนนั้นสลบไปแล้ว แต่ถงหลูกลับยังตื่นอยู่ เขาพยายามดิ้นรนพลางตะโกนว่า “ปล่อยข้าลงไป! ปล่อยข้าลงไป!”

สมณะตู้ไห่ปล่อยมือ ถงหลูกลิ้งตกลงไปบนพื้นหิมะ เขาลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก ล้มลุกคลุกคลานมุ่งหน้าเข้าไปในหมอก

เสียงผัวะดังขึ้นอย่างชัดเจน!

เจ้าสำนักเฟิงเตาตบเขาเข้าที่กกหูจนเขาล้มลงไปกับพื้น ก่อนจะตะคอกด้วยน้ำเสียงคร่ำเคร่งว่า “ในนั้นหนาวเย็นเป็นยิ่งนัก พวกเราล้วนแต่ไม่สามารถรั้งอยู่ในนาน เจ้าอยากจะตายงั้นหรือ!”

“ลั่วไหวหนานยังอยู่ข้างใน!”

ถงหลูพยายามจะลุกขึ้นมายืน เขากล่าวเสียงสั่นเครือว่า “ข้าจะไปช่วยเขา ข้าจะไปช่วยเขา”

เจ้าสำนักเฟิงเตาและผู้บัญชาการกองทัพเจิ้นเป่ยสบตากัน ต่างฝ่ายต่างรู้สึกไม่เข้าใจ

ความสัมพันธ์ของสำนักจงโจวและสำนักกระบี่ซีไห่กำลังเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น แต่ยังมิอาจเรียกได้ว่าใกล้ชิดแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นในการประลองวิถีพรตครั้งนี้ ลั่วไหวนานกับถงหลูก็แข่งขันกันอย่างดุเดือด และเป็นเพราะเหตุนี้ กลุ่มของพวกเขาจึงเข้าไปยังส่วนลึกในภูเขาด้านเหนือ แล้วเหตุใดถงหลูจึงแสดงออกเหมือนว่าลั่วไหวหนานเป็นเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายเช่นนั้น?

“เพื่อจะช่วยข้าแล้ว เขาถึงได้เกิดเรื่อง แล้วข้าจะทิ้งเขาได้อย่างไร!”

ถงหลูตบหน้าตัวเองราวคนบ้า “ข้ามันหน้าไม่อาย!”

เจ้าสำนักเฟิงเตาคิ้วขมวดขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะฟาดเขาจนสลบไป จากนั้นหันไปถามสมณะตู้ไห่ว่า “ไต้ซือ สถานการณ์ทางด้านนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?”

บนคิ้วของสมณะตู้ไห่เต็มไปด้วยน้ำค้างแข็ง เขากล่าวอย่างลำบากใจว่า “ความหนาวนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ยังมีเรื่องแปลกอีกเรื่องหนึ่งคือ ทุกก้าวที่อาตมาเดินไป อาตมาจะรู้สึกได้ว่าใจแห่งฌานของอาตมานั้นไม่สงบเลย”

เจ้าสำนักเฟิงเตาและผู้บัญชาการกองทัพเจิ้นเป่ยสบตากัน ต่างคนต่างคิดอย่างตกตะลึงว่ากระทั่งหัวหน้าอารามหลี่ว์ถังของวัดกั่วเฉิงก็ยังมิอาจรักษาใจแห่งฌานให้สงบได้?

“ดูเหมือนจะช่วยลั่วไหวหนานไม่ได้แล้ว ไปกันเถอะ”

เจ้าสำนักเฟิงเตากล่าวด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง

ผู้บัญชาการกองทัพเจิ้นเป่ยกล่าวว่า “ช้าก่อน ยังมีไป๋เจ่า”

สมณะตู้ไห่ถอนใจพลางกล่าว “ยังมีจิ๋งจิ่ว”

ก่อนที่เข้ามาในหมอก พวกเขาต่างได้รับการไหว้วานที่ไม่อาจปฏิเสธได้

ผู้บัญชาการกองทัพเจิ้นเป่ยเป็นคนของราชสำนัก ย่อมต้องมีความสนิทสนมกับสำนักจงโจว

สมณะตู้ไห่ได้รับการสั่งกำชับจากฉานจึว่าให้ดูแลจิ๋งจิ่ว

เจ้าสำนักเฟิงเตามองผู้บัญชาการกองทัพเจิ้นเป่ยพลางกล่าว “สำนักจงโจวบอกว่าไป๋เจ่าพกของวิเศษที่ใช้ระบุตำแหน่งเอาไว้?”

ผู้บัญชาการกองทัพเจิ้นเป่ยกล่าว “หาไม่เจอ น่าจะอยู่ไกลเกินไป”

เจ้าสำนักเฟิงเตารู้สึกว่ายุ่งยากวุ่นวาย จึงกล่าวว่า “เห็นๆ อยู่ว่าศิษย์ชิงซานที่ชื่อจิ๋งจิ่วนั่นเป็นคนเห็นปัญหาเป็นคนแรก แล้วเหตุใดพวกเขายังเข้าไปอีก?”

ไม่มีผู้ใดรู้คำตอบนี้

หมอกอันหนาวเย็นค่อยๆ รวมตัวกันใหม่ ในส่วนลึกของหมอกมีพลังสายหนึ่งปรากฏขึ้นลางๆ

เจ้าสำนักเฟิงเตาสีหน้าคร่ำเคร่ง กล่าวว่า “ไม่อาจรั้งอยู่ที่นี่ได้แล้ว”

สมณะตู้ไห่มองไปทางหมอกอันเยือกเย็น ก่อนจะถอนใจออกมา ลูกประคำที่อยู่ในมือเปล่งแสงส่องสว่างพื้นเบื้องหน้า

เจ้าสำนักเฟิงเตาและผู้บัญชาการกองทัพเจิ้นเป่ยแบกถงหลูและศิษย์อีกคนหนึ่งที่สลบขึ้นมา ก่อนจะเรียกอาวุธวิเศษขึ้นมา จากนั้นบินกลับมายังเรือเมฆของสำนักจงโจว

ผู้อาวุโสของสำนักจงโจวพบว่าลั่วไหวหนานกับไป๋เจ่ามิได้ตามพวกเขากลับมา สีหน้าจึงเปลี่ยนเป็นดูแย่ทันที

แต่เขารู้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้กำลังตึงเครียด จึงมิได้กล่าวกระไร สั่งการให้เรือเมฆบินฝ่าพายุลงไปทางใต้

สมณะตู้ไห่กล่าวกับผู้อาวุโสของสำนักจงโจวผู้นี้เบาๆ สองสามประโยค ก่อนจะเดินกลับมายังกราบเรือ ทอดตามองดูหมู่ขุนเขาและที่ราบหิมะที่อยู่เบื้องล่าง

ไม่มีเสียงใดๆ ไม่มีอะไรทั้งสิ้น หมู่เขาเองก็หายไป เหลือเพียงหมอกอันเยือกเย็นที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา

ทุกอย่างกลายเป็นสีขาว ดูสะอาดสะอ้าน

ถงหลูตื่นขึ้นมา สายตาทอดมองไปยังชั้นเมฆที่อยู่เบื้องล่าง

ชั้นเมฆถูกลมพายุอันรุนแรงพัดจนดูวุ่นวาย เปลี่ยนแปลงกลายเป็นรูปร่างต่างๆ แต่กลับไม่สามารถทำให้สายตาของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ได้

นิ้วมือที่ถูกความหนาวเหน็บกัดจนได้รับบาดเจ็บ ในเวลานี้น่าจะเจ็บปวดอย่างมาก แต่มันก็ไม่อาจทำให้สายตาของเขาเปลี่ยนแปลงได้

ในดวงตาเขาไร้ซึ่งความรู้สึก เหม่อลอยครุ่นคิดถึงภาพเหตุการณ์ต่างๆ ในช่วงเวลานั้น

หนอนหิมะอันน่ากลัว การตายอย่างน่าเศร้าของผองเพื่อน ความสิ้นหวังของตัวเอง ร่างกายอันสูงใหญ่ของลั่วไหวหนานปรากฏขึ้นมา

สุดท้าย ร่างกายอันสูงใหญ่นั้นหายไปในปากหนอนที่ดูเหมือนถ้ำสีดำ

“เจ้าจะต้องรอดกลับมา”

สีหน้าของถงหลูขาวซีด กล่าวพึมพำกับตัวเอง “ไม่อย่างนั้นข้าเอาชนะเจ้าอย่างนี้ มันจะไปมีความหมายอะไร?”

สมณะตู้ไห่มองเขา ในใจเกิดความรู้สึกสงสัยเช่นเดียวกับเจ้าสำนักเฟิงเตา

จิ๋งจิ่วเป็นคนรับรู้ได้ถึงอันตรายเป็นคนแรก เหตุใดกลับยังเข้าไปในหมอก จนตอนนี้ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง?

…………………………………………………………

เมื่อได้ยินชื่อนี้ จิ๋งจิ่วพลันรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ในอดีตอันเนิ่นนาน องค์จักรพรรดิสูงสุดมีตราประทับที่ทำจากหยกชั้นยอดที่มาจากนอกท้องฟ้า ภายหลังตราประทับได้หายสาบสูญไป ปฐมจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักจงโจวได้พบเจอมันโดยบังเอิญ จากนั้นได้ใช้พลังจักรวาลขั้นสุดยอดแบ่งมันออกเป็นสองส่วน หลังอยู่บนยอดเขาอวิ๋นเมิ่งมานานหลายปี มันก็ได้กลายเป็นวัตถุวิเศษสองชิ้น มีนามว่าตราประทับหมื่นลี้ หลังปฐมจารย์ของสำนักจงโจวบรรลุกลายเป็นเซียน ตราประทับหมื่นลี้ก็อยู่บนยอดเขาอวิ๋นเมิ่ง ว่ากันว่ามันมีความสามารถอันสุดยอด สามารถพาผู้ใช้ทะลุไปยังอีกที่หนึ่งได้ เป็นของวิเศษที่มีระดับชั้นวิญญาณสูงสุดของสำนักจงโจว ล้ำค่าเสียยิ่งกว่าไข่มุกคืนสวรรค์

มาตรว่าไป๋เจ่าจะเป็นบุตรสาวที่สองสามีภรรยาเจ้าสำนักจงโจวรักใคร่มากที่สุด แต่การที่นางนำของล้ำค่าเช่นนี้ติดตัวมาด้วยก็ยังน่าตกใจเป็นอย่างมาก

หากผู้บำเพ็ญพรตคนอื่นรู้เรื่องนี้เข้า แล้วยังตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เป็นไปได้ว่าอาจจะเกิดความคิดสังหารคนเพื่อแย่งชิงของล้ำค่า

แต่นางกลับบอกจิ๋งจิ่ว

จิ๋งจิ่วถาม “ทำไมเจ้าถึงไม่ไป?”

“ตอนแรกข้าก็คิดจะทำเหมือนอย่างเจ้า หากศิษย์สำนักจงโจวพบเจออันตราย ข้าก็จะได้ช่วยได้ จากนั้นค่อยออกไป”

นางกล่าวว่า “คิดไม่ถึงว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันเช่นนี้”

ความจริงแล้วเหตุผลที่นางยังไม่ไปยังมีอีกข้อหนึ่ง

หากเจอกับอันตราย นางสามารถช่วยพาจิ๋งจิ่วออกไปได้

แต่เมื่อครู่นี้ ยันต์ไม้ไผ่ที่นางนำติดตัวมาด้วยส่องแสงสว่างขึ้นมา

นั่นคือสัญญาณที่ศิษย์พี่ส่งมา

ลั่วไหวนานนั้นหยิ่งทะนงในตนเองเพียงใด แต่เวลานี้เขากลับเป็นฝ่ายขอความช่วยเหลือ ดูท่าแล้วตอนนี้เขาคงกำลังเผชิญหน้าอยู่กับสถานการณ์ที่อันตรายอย่างมากอยู่เป็นแน่

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ นางจะจากไปได้อย่างไร?

“อย่างนี้นี่เอง นั่งดีๆ”

ครั้นพูดจบ จิ๋งจิ่วก็ขี่กระบี่ไปยังส่วนลึกของหมอกอันเย็นยะเยือก

ไป๋เจ่าคิดไม่ถึงว่าเขาจะตัดสินใจกะทันหันเพียงนี้ จึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย มือยื่นออกไปจับสายรัดเอวของเขาเอาไว้โดยไม่รู้ตัว

ความเร็วของกระบี่เหล็กเปลี่ยนเป็นเร็วขึ้น เพียงพริบตาก็กลายเป็นเส้นสีดำ ลำแสงจากวัตถุวิเศษบนท้องฟ้าพลันถูกหมอกอันหนาทึบปกคลุมอย่างรวดเร็ว

……

……

พระอาทิตย์ยามเช้าลอยขึ้น แสงสีแดงอันอบอุ่นส่องสว่างเมฆหมอกที่ลอยอยู่ด้านนอกรั้ว

แต่ในตำหนักที่อยู่บนจุดสูงสุดของเรือนซีซานกลับถูกบรรยากาศอันตึงเครียดกดดันปกคลุมเอาไว้ มิได้สงบเงียบเหมือนอย่างหลายวันก่อนอีก

ไม่ว่าจะเป็นเจ้าอาวาสของสำนักฌานเป่าทงหรือว่าเจ้าสำนักคุนหลุน สีหน้าล้วนแต่ดูแย่เป็นอย่างมาก

แผนที่หมื่นลี้ที่อยู่ตรงหน้าผู้อาวุโสและเจ้าสำนักทุกคนไม่สามารถใช้การได้ หมอกอันหนาวเย็นที่ปกคลุมหมู่ขุนเขาเอาไว้ได้ตัดขาดการมองเห็นของพวกเขา

ด้านนอกรั้วมีรถม้าบินลงจอด เจ้ากรมชิงเทียนเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด กล่าวว่า “ตรวจนับขั้นต้นเสร็จเรียบร้อยขอรับ”

เหอกั๋วกงเงยหน้าขึ้นมาทันที ถามว่า “เท่าไร?”

เจ้ากรมชิงเทียนกล่าว “สี่สิบสามคน ตัวเลขอาจจะเพิ่มขึ้นอีกขอรับ”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ ภายในห้องพลันเงียบลงทันที บรรยากาศยิ่งตึงเครียด

จริงอยู่ที่การประลองวิถีพรตในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยนั้นอันตราย แต่มันเคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเมื่อไรกัน?

ในรุ่งเช้าเพียงวันเดียว มีผู้เข้าร่วมการประลองเสียชีวิตไปสี่สิบกว่าคน!

ถึงแม้ผู้เข้าร่วมการประลองเหล่านั้นจะอายุยังน้อย สภาวะก็มิได้สูงส่ง แต่ก็ล้วนเป็นศิษย์อัจฉริยะที่แต่ละสำนักเฝ้าเลี้ยงดูฟูมฟักเป็นอย่างดี เรียกได้ว่าเป็นอนาคตของโลกแห่งการบำเพ็ญพรต

ความสูญเสียเช่นนี้ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ล้วนแต่เรียกได้ว่าโหดร้ายทารุณ

เหอกั๋วกงสูดหายใจลึกๆ กล่าวว่า “โชคดีที่ฉานจึเตือนได้ทันเวลา มิเช่นนั้นคนที่ต้องตายอยู่ในหมอกครั้งนี้คงมีจำนวนมากกว่านี้เป็นแน่”

เจ้าอาวาสสำนักฌานเป่าทงกล่าวเสียงคร่ำเครียดเล็กน้อยว่า “หมอกนี้มันคืออะไรกันแน่? เหตุใดถึงได้แปลกประหลาดถึงเพียงนี้ ได้ยินว่าหมอกวันนี้หนาวเย็นยิ่งกว่าเมื่อหลายวันก่อนเสียอีก?”

“ถูกต้อง ยิ่งไปกว่านั้นหมอกในวันนี้ยังมีขนาดใหญ่อย่างมาก มิได้มีทีท่าว่าจะสลายไป หากคิดจะหาคนให้ครบทุกคน คงจะเป็นเรื่องยากอย่างมาก”

เจ้ากรมชิงเทียนกล่าว

เหอกั๋วกงมองไปทางเจ้าสำนักคนหลุนและหนานว่าง พลางกล่าวถามว่า “เข้าไปด้านในอีกหน่อยได้ไหม?”

มิทันที่เจ้าสำนักคุนหลุนและหนานว่างจะตอบ เจ้ากรมชิงเทียนพลันส่ายศีรษะ ก่อนกล่าวว่า “ลมที่อยู่ด้านบนที่ราบหิมะก็ได้รับอิทธิพลจากหมอกแปลกๆ นี้ มันพัดรุนแรงขึ้นกว่าปกติ เรือวิเศษของแต่ละสำนักไม่สามารถรั้งอยู่ได้นาน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะเข้าไปลึกขึ้นเลยขอรับ”

แสงสีแดงอันอบอุ่นลอดผ่านรั้วเข้ามา ทะลุหน้าต่าง ตกกระทบลงไปบนตัวของเจ้าสำนักและผู้อาวุโสแต่ละคน ทว่าพวกเขากลับมิได้รู้สึกถึงความอบอุ่นใดๆ พวกเขารู้สึกได้เพียงแค่ความหนาวเย็น

หมู่เขาแห่งนั้นที่อยู่ไกลออกไปหลายหมื่นลี้ ดูแล้วคงจะหนาวเย็นกว่านี้หลายเท่า

หากไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ อย่างนั้นศิษย์ที่เข้าไปยังส่วนลึกของหมู่เขาจะทำอย่างไร?

โดยเฉพาะกลุ่มของลั่วไหวหนานและถงหลู พวกเขาเดินไปไกลมากแล้ว

เจ้ากรมชิงเทียนก้มหน้ามองดูของวิเศษ ก่อนจะกล่าวกับทุกคนว่า “ไต้ซือตู้ไห่ได้เข้าไปแล้ว”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ สีหน้าของผู้อาวุโสสำนักจงโจวดีขึ้นเล็กน้อย หัวหน้าอารามหลี่ว์ถังของวัดกั่วเฉิงลงมือช่วยเหลือด้วยตัวเอง อย่างน้อยก็น่าจะช่วยออกมาได้สักสามสี่คน

เหอกั๋วกงกล่าว “เจ้าสำนักเฟิงเตากับผู้บัญชาการกองทัพเจิ้นเป่ยได้รับแจ้งแล้ว เวลานี้กำลังมุ่งหน้าเข้าไปด้านใน”

“ต้องเร็วหน่อย มิเช่นนั้นข้ากังวลว่าพวกเขาเองก็อาจจะติดอยู่ด้านในเหมือนกัน”

เจ้าสำนักคุนหลุนกล่าวเสียงเย็นยะเยือก “อย่าคิดว่าข้ากำลังขู่ให้กลัว ความหนาวเย็นภายในหมอกนั้น กระทั่งนกหานเฮ่าของสำนักข้าก็ยังทนไม่ไหว แล้วพวกเขาจะทนได้นานเท่าไร?”

……

……

ในส่วนลึกของหมู่เขา หมอกอันเย็นยะเยือกหนาทึบ หมอกอันหนาทึบเย็นยะเยือก

พลังอันแข็งแกร่งสองสายปรากฏขึ้น ลมกระโชกหวีดหวิวขึ้นมา เศษหิมะและก้อนหินปลิวว่อน พัดพาเอาหมอกอันหนาทึบกระจายออกไปเป็นรัศมีหลายสิบจ้าง

ผู้บัญชาการกองทัพเจิ้นเป่ยและเจ้าสำนักเฟิงเตามาถึงพร้อมกัน ทั้งคู่สบตากัน

ยอดฝีมือแห่งดินแดนทางเหนือสองคนนี้ไม่ค่อยถูกชะตากันมาเป็นเวลาหลายปี แต่วันนี้ในตอนที่พวกเขาทั้งสองสบตากัน กลับมิได้มีความรู้สึกเยาะเย้ยเสียดสีใดๆ อยู่ในสายตา มีเพียงแค่ความรู้สึกประหลาดใจ

หมอกอันหนาวเย็นนี้ช่างแปลกประหลาดจริงๆ กระทั่งพวกเขาก็ยังรู้สึกว่าปราณก่อกำเนิดภายในร่างกายหมุนเวียนได้ลำบาก แล้วศิษย์หนุ่มสาวเหล่านั้นจะไปทนไหวได้อย่างไร?

สำหรับเรื่องที่ว่ากลุ่มของลั่วไหวหนานและถงหลูยังมีผู้รอดชีวิตอยู่หรือไม่นั้น พวกเขามิได้มีความคาดหวังใดๆ

จู่ๆ หมอกอันหนาวเย็นเบื้องหน้าพลันเปลี่ยนรูปร่าง

สมณะตู้ไห่หิ้วคนสองคนเดินออกมาจากหมอก นั่นคือถงหลูและเพื่อนของเขาคนหนึ่ง

เพื่อนคนนั้นสลบไปแล้ว แต่ถงหลูกลับยังตื่นอยู่ เขาพยายามดิ้นรนพลางตะโกนว่า “ปล่อยข้าลงไป! ปล่อยข้าลงไป!”

สมณะตู้ไห่ปล่อยมือ ถงหลูกลิ้งตกลงไปบนพื้นหิมะ เขาลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก ล้มลุกคลุกคลานมุ่งหน้าเข้าไปในหมอก

เสียงผัวะดังขึ้นอย่างชัดเจน!

เจ้าสำนักเฟิงเตาตบเขาเข้าที่กกหูจนเขาล้มลงไปกับพื้น ก่อนจะตะคอกด้วยน้ำเสียงคร่ำเคร่งว่า “ในนั้นหนาวเย็นเป็นยิ่งนัก พวกเราล้วนแต่ไม่สามารถรั้งอยู่ในนาน เจ้าอยากจะตายงั้นหรือ!”

“ลั่วไหวหนานยังอยู่ข้างใน!”

ถงหลูพยายามจะลุกขึ้นมายืน เขากล่าวเสียงสั่นเครือว่า “ข้าจะไปช่วยเขา ข้าจะไปช่วยเขา”

เจ้าสำนักเฟิงเตาและผู้บัญชาการกองทัพเจิ้นเป่ยสบตากัน ต่างฝ่ายต่างรู้สึกไม่เข้าใจ

ความสัมพันธ์ของสำนักจงโจวและสำนักกระบี่ซีไห่กำลังเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น แต่ยังมิอาจเรียกได้ว่าใกล้ชิดแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นในการประลองวิถีพรตครั้งนี้ ลั่วไหวนานกับถงหลูก็แข่งขันกันอย่างดุเดือด และเป็นเพราะเหตุนี้ กลุ่มของพวกเขาจึงเข้าไปยังส่วนลึกในภูเขาด้านเหนือ แล้วเหตุใดถงหลูจึงแสดงออกเหมือนว่าลั่วไหวหนานเป็นเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายเช่นนั้น?

“เพื่อจะช่วยข้าแล้ว เขาถึงได้เกิดเรื่อง แล้วข้าจะทิ้งเขาได้อย่างไร!”

ถงหลูตบหน้าตัวเองราวคนบ้า “ข้ามันหน้าไม่อาย!”

เจ้าสำนักเฟิงเตาคิ้วขมวดขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะฟาดเขาจนสลบไป จากนั้นหันไปถามสมณะตู้ไห่ว่า “ไต้ซือ สถานการณ์ทางด้านนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?”

บนคิ้วของสมณะตู้ไห่เต็มไปด้วยน้ำค้างแข็ง เขากล่าวอย่างลำบากใจว่า “ความหนาวนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ยังมีเรื่องแปลกอีกเรื่องหนึ่งคือ ทุกก้าวที่อาตมาเดินไป อาตมาจะรู้สึกได้ว่าใจแห่งฌานของอาตมานั้นไม่สงบเลย”

เจ้าสำนักเฟิงเตาและผู้บัญชาการกองทัพเจิ้นเป่ยสบตากัน ต่างคนต่างคิดอย่างตกตะลึงว่ากระทั่งหัวหน้าอารามหลี่ว์ถังของวัดกั่วเฉิงก็ยังมิอาจรักษาใจแห่งฌานให้สงบได้?

“ดูเหมือนจะช่วยลั่วไหวหนานไม่ได้แล้ว ไปกันเถอะ”

เจ้าสำนักเฟิงเตากล่าวด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง

ผู้บัญชาการกองทัพเจิ้นเป่ยกล่าวว่า “ช้าก่อน ยังมีไป๋เจ่า”

สมณะตู้ไห่ถอนใจพลางกล่าว “ยังมีจิ๋งจิ่ว”

ก่อนที่เข้ามาในหมอก พวกเขาต่างได้รับการไหว้วานที่ไม่อาจปฏิเสธได้

ผู้บัญชาการกองทัพเจิ้นเป่ยเป็นคนของราชสำนัก ย่อมต้องมีความสนิทสนมกับสำนักจงโจว

สมณะตู้ไห่ได้รับการสั่งกำชับจากฉานจึว่าให้ดูแลจิ๋งจิ่ว

เจ้าสำนักเฟิงเตามองผู้บัญชาการกองทัพเจิ้นเป่ยพลางกล่าว “สำนักจงโจวบอกว่าไป๋เจ่าพกของวิเศษที่ใช้ระบุตำแหน่งเอาไว้?”

ผู้บัญชาการกองทัพเจิ้นเป่ยกล่าว “หาไม่เจอ น่าจะอยู่ไกลเกินไป”

เจ้าสำนักเฟิงเตารู้สึกว่ายุ่งยากวุ่นวาย จึงกล่าวว่า “เห็นๆ อยู่ว่าศิษย์ชิงซานที่ชื่อจิ๋งจิ่วนั่นเป็นคนเห็นปัญหาเป็นคนแรก แล้วเหตุใดพวกเขายังเข้าไปอีก?”

ไม่มีผู้ใดรู้คำตอบนี้

หมอกอันหนาวเย็นค่อยๆ รวมตัวกันใหม่ ในส่วนลึกของหมอกมีพลังสายหนึ่งปรากฏขึ้นลางๆ

เจ้าสำนักเฟิงเตาสีหน้าคร่ำเคร่ง กล่าวว่า “ไม่อาจรั้งอยู่ที่นี่ได้แล้ว”

สมณะตู้ไห่มองไปทางหมอกอันเยือกเย็น ก่อนจะถอนใจออกมา ลูกประคำที่อยู่ในมือเปล่งแสงส่องสว่างพื้นเบื้องหน้า

เจ้าสำนักเฟิงเตาและผู้บัญชาการกองทัพเจิ้นเป่ยแบกถงหลูและศิษย์อีกคนหนึ่งที่สลบขึ้นมา ก่อนจะเรียกอาวุธวิเศษขึ้นมา จากนั้นบินกลับมายังเรือเมฆของสำนักจงโจว

ผู้อาวุโสของสำนักจงโจวพบว่าลั่วไหวหนานกับไป๋เจ่ามิได้ตามพวกเขากลับมา สีหน้าจึงเปลี่ยนเป็นดูแย่ทันที

แต่เขารู้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้กำลังตึงเครียด จึงมิได้กล่าวกระไร สั่งการให้เรือเมฆบินฝ่าพายุลงไปทางใต้

สมณะตู้ไห่กล่าวกับผู้อาวุโสของสำนักจงโจวผู้นี้เบาๆ สองสามประโยค ก่อนจะเดินกลับมายังกราบเรือ ทอดตามองดูหมู่ขุนเขาและที่ราบหิมะที่อยู่เบื้องล่าง

ไม่มีเสียงใดๆ ไม่มีอะไรทั้งสิ้น หมู่เขาเองก็หายไป เหลือเพียงหมอกอันเยือกเย็นที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา

ทุกอย่างกลายเป็นสีขาว ดูสะอาดสะอ้าน

ถงหลูตื่นขึ้นมา สายตาทอดมองไปยังชั้นเมฆที่อยู่เบื้องล่าง

ชั้นเมฆถูกลมพายุอันรุนแรงพัดจนดูวุ่นวาย เปลี่ยนแปลงกลายเป็นรูปร่างต่างๆ แต่กลับไม่สามารถทำให้สายตาของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ได้

นิ้วมือที่ถูกความหนาวเหน็บกัดจนได้รับบาดเจ็บ ในเวลานี้น่าจะเจ็บปวดอย่างมาก แต่มันก็ไม่อาจทำให้สายตาของเขาเปลี่ยนแปลงได้

ในดวงตาเขาไร้ซึ่งความรู้สึก เหม่อลอยครุ่นคิดถึงภาพเหตุการณ์ต่างๆ ในช่วงเวลานั้น

หนอนหิมะอันน่ากลัว การตายอย่างน่าเศร้าของผองเพื่อน ความสิ้นหวังของตัวเอง ร่างกายอันสูงใหญ่ของลั่วไหวหนานปรากฏขึ้นมา

สุดท้าย ร่างกายอันสูงใหญ่นั้นหายไปในปากหนอนที่ดูเหมือนถ้ำสีดำ

“เจ้าจะต้องรอดกลับมา”

สีหน้าของถงหลูขาวซีด กล่าวพึมพำกับตัวเอง “ไม่อย่างนั้นข้าเอาชนะเจ้าอย่างนี้ มันจะไปมีความหมายอะไร?”

ไม่รู้ว่าเขาจดจ่ออยู่กับการประลองวิถีพรตจนไม่ได้สนใจสถานการณ์ในโลกภายนอก หรือว่าตกใจมากเกินไปจนจิตใจเลอะเลือน จึงไม่รู้ว่าที่หนึ่งในการประลองวิถีพรตปีนี้คือจิ๋งจิ่ว

สมณะตู้ไห่มองเขา ในใจเกิดความรู้สึกสงสัยเช่นเดียวกับเจ้าสำนักเฟิงเตา

จิ๋งจิ่วเป็นคนรับรู้ได้ถึงอันตรายเป็นคนแรก เหตุใดกลับยังเข้าไปในหมอก จนตอนนี้ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง?

………………………………………………