นอกหมู่เขายังคงเป็นที่ราบหิมะ แต่มิใช่ที่ราบหิมะทางทิศใต้
หมอกที่นี่เบาบางกว่ามาก มิใช่เป็นเพราะสลายหายไป หากแต่เป็นเพราะหมอกส่วนใหญ่ถูกพัดเข้าไปในหมู่เขาแล้ว
อุณหภูมิของที่นี่ต่ำกว่าในหมู่ขุนเขา กระทั่งเสียงก็คล้ายจะจับตัวเป็นน้ำแข็ง เงียบสงัดวังเวง
บนท้องฟ้าเหนือที่ราบหิมะอันเงียบสงัดมีกระบี่เหล็กสีดำกำลังบินอยู่อย่างเงียบๆ คล้ายกับเรือลำหนึ่งที่เตรียมจะล่องเข้าไปในโลกอันหนาวเย็นที่ไร้ซึ่งสัญญาณของสิ่งมีชีวิต
กระบี่เหล็กกว้างมาก จิ๋งจิ่วนั่งอยู่ด้านหน้า ไป๋เจ่านั่งอยู่ด้านหลังของเขา
ไม่ว่าจะเป็นเรือเมฆของสำนักจงโจวหรือว่ายอดฝีมือของมนุษย์ก็ล้วนแต่ถูกสลัดทิ้งไว้ด้านหลัง หายลับไปจากสายตา
ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ การโคจรปราณก่อกำเนิดของผู้บำเพ็ญพรตธรรมดาจะหยุดนิ่ง จิตจำแนกถูกปิดกั้น กระทั่งควบคุมกระบี่ก็ยังทำได้ยาก สามารถแข็งตายได้ในเวลาสั้นๆ
มิรู้เพราะเหตุใด จิ๋งจิ่วคล้ายมิได้รับผลกระทบจากความหนาวเย็น เขานั่งขัดสมาธิอยู่ด้านหน้ากระบี่ ดวงตาหลับลง นิ้วชี้มือขวาชี้ไปข้างหน้า
เจตน์กระบี่ที่บางเบาแต่กลับบริสุทธิ์เป็นอย่างยิ่งพุ่งออกมาจากปลายนิ้วของเขา เมื่อกระทบกับลมหนาว มันก็กลายเป็นม่านพลังทรงครึ่งวงกลมปกคลุมเขากับไป๋เจ่าเอาไว้
ไป๋เจ่าเอาเสื้อคลุมขนนกกระจอกทองเพลิงห่อตัวไว้แน่น เหลือเพียงดวงตาที่โผล่ออกมาด้านนอก
นางมองดูคนที่อยู่เบื้องหน้า ขนตากะพริบเล็กน้อย เกล็ดน้ำค้างแข็งที่จับตัวอยู่ด้านบนมิได้ร่วงหล่นลงมา ความรู้สึกสงสัยในดวงตายิ่งทวีมากขึ้น
ในโลกอันหนาวเหน็บเช่นนี้ ต่อให้เป็นผู้อาวุโสในสำนักของนางมาเอง ก็ยังไม่แน่ว่าจะรั้งอยู่ที่นี่ได้นาน
จิ๋งจิ่วบรรลุสภาวะเพียงขั้นมิประจักษ์ระดับต้น เหตุใดกลับพาตนเองมาที่นี่ได้?
นิ้วของเขานิ้วนั้นกำลังทำอะไร? ใช่เคล็ดกระบี่หรือเปล่า? เหตุใดจึงสามารถต้านทานความหนาวเย็นได้?
หากมิใช่ความร้อนที่แผ่ออกมาจากนิ้วมือนิ้วนั้น ในเวลานี้นางคงจะทนไม่ได้ ได้แต่ต้องใช้ตราประทับหมื่นลี้หนีออกไปแล้ว
ไป๋เจ่าเดาไม่ผิด นิ้วมือของจิ๋งจิ่วนิ้วนั้นคือเพลงกระบี่จริงๆ
หากเหล่าผู้อาวุโสในสำนักชิงซานเหล่านั้นได้มาเห็นภาพนี้ เกรงว่าพวกเขาคงจะต้องอุทานตกใจออกมาแน่
คิดไม่ถึงว่าเขาจะสามารถใช้เพลงกระบี่สุริยันของยอดเขาซื่อเยวี่ยได้ถึงระดับนี้
เมื่อเทียบกับนิ้วมือนิ้วนี้แล้ว เพลงกระบี่สุริยันที่กู้ชิงและเซวียหย่งเกอใช้ออกมาเมื่อตอนที่อยู่ริมธารสี่เจี้ยนในอดีตมิได้ร้ายกาจอะไรเลย
……
……
กระบี่เหล็กๆ ค่อยหยุดลง
รอบกายไม่มีเสียงใดๆ กระทั่งเสียงลมก็หามีไม่ ด้านหน้าห่างออกไปสิบกว่าลี้คล้ายมีหมอกลอยขึ้นมา หรือจะเป็นเมฆ?
บนพื้นไม่มีพืชใดๆ พูดให้ถูกคือไม่มีสิ่งมีชีวิต สามารถมองเห็นซากศพของอสูรขาหิมะบางส่วนที่แข็งตายได้อย่างชัดเจน อสูรขาหิมะเหล่านั้นบ้างมีหกขา บ้างมีห้าขา ระดับค่อนข้างต่ำ แต่สัตว์ประหลาดแคว้นเสวี่ยกลับแข็งตายเช่นนี้ นี่ช่างเป็นเรื่องที่ยากจะจินตนาการได้จริงๆ แสดงให้เห็นเลยว่าหมอกอันหนาวเย็นนั้นน่ากลัวเพียงใด
ไป๋เจ่ามองไปทางด้านนั้น พลางคิดอย่างกังวลใจว่าศิษย์พี่จะทนไหวหรือไม่?
“เขายังมีชีวิตอยู่ไหม?” จิ๋งจิ่วถาม
ไป๋เจ่ามองดูป้ายไม้ไผ่ที่ยังส่องแสง ก่อนกล่าวเสียงสั่นเครือว่า “ยังมีชีวิตอยู่”
จิ๋งจิ่วถาม “พวกเจ้าสนิทกัน?”
“ใช่” ไป๋เจ่าชะงักไปเล็กน้อย ก่อนกล่าวต่อว่า “ข้ากับศิษย์พี่เป็นเหมือนพี่น้องแท้ๆ”
จิ๋งจิ่วคิดถึงคนผู้นั้นที่อยู่ในวัดกั่วเฉิงขึ้นมา เขาเงียบไปครู่ก่อนกล่าวว่า “อย่างนั้นก็มีเหตุผลที่จะมา”
ไป๋เจ่ากล่าวอย่างจริงจัง “นี่เป็นเรื่องของสำนักจงโจว มิได้เกี่ยวอะไรกับชิงซาน เหตุใดเจ้าต้องตามข้ามาเสี่ยงอันตรายด้วย? ที่นี่อันตรายเกินไป เจ้ารีบกลับไปดีกว่า”
“ไม่เป็นไร อย่างไรเสียก็ทางเดียวกัน”
จิ๋งจิ่วมีการรับรู้ต่อการเปลี่ยนแปลงของความลี้ลับของธรรมชาติที่ไวอย่างมาก ไม่จำเป็นต้องทำการคำนวณอะไร แล้วก็รู้ว่าการเดินทางมาครั้งนี้มิได้มีอันตรายอะไรกับตัวเองมากนัก แต่มิใช่สำหรับสาวน้อยที่อยู่ด้านหลัง
เขากล่าวว่า “ข้าแนะนำให้เจ้าใช้ตราประทับหมื่นลี้หนีไปตอนนี้ดีกว่า”
ไป๋เจ่าย่อมไม่มีทางเชื่อคำพูดเขา
มีใครที่ไหนจะแวะพาตัวเองมาส่งยังที่ที่อันตรายเช่นนี้?
นางยื่นมือไปจับวัตถุที่มีความแข็งเล็กน้อยสองชิ้น คิดในใจว่าถ้าหากเจออันตรายจริงๆ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องให้เขาอันหนึ่ง เพื่อรักษาชีวิตของเขา
“อีกไกลเท่าไร?” จิ๋งจิ่วถาม
ไป๋เจ่ากล่าว “อยู่ข้างหน้า ประมาณ…สิบสามลี้”
จิ๋งจิ่วมองไปยังด้านหน้า ตรงตำแหน่งที่ไม่รู้ว่าเป็นหมอกหรือเมฆ
ไป๋เจ่าไม่ค่อยเข้าใจ
นางไม่รู้ว่าจิ๋งจิ่วทำได้อย่างไรกัน แต่นางรู้สึกว่าเขาสามารถขี่กระบี่อยู่ในหมอกได้อย่างสบายๆ ความเร็วเองก็รวดเร็วอย่างมาก ตลอดทางที่มา ท่าทีนิ่งเงียบมั่นใจ มิได้มีความหวาดกลัวใดๆ
เหตุใดพอรู้ว่ากำลังจะหาศิษย์พี่พบ เขากลับดูลังเลขึ้นมา?
จิ๋งจิ่วกล่าว “ด้านนั้นคือชายแดนที่แท้จริงของแคว้นเสวี่ย ต่อให้เป็นขั้นทะลวงสวรรค์ก็เข้าไปทางด้านนั้นไม่ได้ง่ายๆ”
ไป๋เจ่าตกใจขึ้นมาเล็กน้อย ในเวลานี้ถึงได้รู้ว่าตัวเองเดินทางมาไกลขนาดนี้แล้ว
แคว้นเสวี่ยย่อมต้องเป็นสถานที่ที่ผู้บำเพ็ญพรตของมนุษย์หวาดกลัวที่สุด หวาดกลัวเสียยิ่งกว่าดินแดนหมิง
ยิ่งไปกว่านั้นสถานการณ์ในตอนนี้ยังแปลกประหลาดถึงเพียงนี้ ไอหมอกอันเยือกเย็นนั้นมันคืออะไรกันแน่ นี่ล้วนแต่ยังไม่มีคำตอบ
ยิ่งไปกว่านั้นตำแหน่งของศิษย์พี่ก่อนหน้านี้ก็มิได้อยู่ตรงนี้ เหตุใดถึงได้มาไกลขนาดนี้?
จิ๋งจิ่วเพียงแต่อธิบาย มิได้คิดที่จะหยุดแต่เพียงเท่านี้
กระบี่เหล็กบินต่อไปข้างหน้า ไม่นานก็เลยระยะทางสิบสามลี้ มาถึงเบื้องหน้าของเมฆหมอกนั้น
ที่ราบหิมะจมหายลงไปตรงนี้ กลายเป็นหน้าผาที่แทบจะตรงดิ่ง
ท่ามกลางเมฆหมอกที่ลอยวน มองไม่ชัดว่ามันลึกเท่าใด
หากอากาศมิได้หนาวเย็นถึงเพียงนี้ ภาพทิวทัศน์ที่อยู่ตรงหน้านี้ถือว่างดงามทีเดียว
หน้าผาหินที่ถูกเมฆหมอกปกคลุมเอาไว้เหมือนจะมีความเคลื่อนไหวบางอย่าง
ไป๋เจ่ายื่นมือชี้ไปยังทิศทางใดทิศทางหนึ่ง
จิ๋งจิ่วลุกขึ้นยืน เหยียบกระบี่บินลงไป
เมฆหมอกกระจายตัวออกไป ภาพที่อยู่บนหน้าผาหินดูชัดเจนขึ้นมาหน่อย
ทุกที่ล้วนแต่เต็มไปด้วยก้อนหินโล้นๆ ไม่มีเศษหิมะเลยแม้แต่นิดเดียว บางครั้งจะเห็นเศษหนังที่หนอนหิมะลอกคราบทิ้งเอาไว้ และเศษกระดูกของอสูรขาหิมะที่หนอนหิมะยังย่อยไม่หมด
กระบี่เหล็กบินไปยังถ้ำแห่งหนึ่งที่อยู่บนหน้าผา
ป้ายไม้ไผ่นั้นยิ่งสว่างขึ้น ดูเหมือนของวิเศษของสำนักจงโจวจะมิได้ผิดพลาด ลั่วไหวหนานน่าจะอยู่ที่นี่ เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงยังมีชีวิตอยู่
ด้านล่างหน้าผาพลันมีลมอันรุนแรงม้วนตัวขึ้นมา
หมอกอันหนาวเย็นและเศษหิมะพ่นออกมาจากถ้ำจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่บนผาหิน
เมฆหมอกที่ตอนแรกสงบนิ่งเหมือนดั่งภาพวาด ได้หมุนวนขึ้นมาด้วยความเร็วที่ยากจะจินตนาการได้ เพียงพริบตาก็ฉีกกลายเป็นเส้นเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วน บดบังแสงอาทิตย์เอาไว้ ทำให้สภาพแวดล้อมดูมืดสลัวไปในพริบตา
ภายในถ้ำที่พ่นหมอกอันหนาวเย็นออกมาเหล่านั้น คล้ายจะมองเห็นแสงสีขาวอยู่ด้านใน นั่นน่าจะเป็นดวงตาของหนอนหิมะ
นี่ช่างเป็นภาพที่น่าหวาดกลัวจริงๆ
ภายใต้ลมที่กระโชกอย่างรุนแรง กระบี่เหล็กบินขึ้นลงไม่นิ่ง
ไป๋เจ่าสีหน้าขาวซีด นางคว้าจับสายรัดเอวของจิ๋งจิ่วเอาไว้แน่น ถึงได้ไม่ตกลงไปจากกระบี่
จิ๋งจิ่วคล้ายมองไม่เห็นภาพเหล่านี้ ควบคุมกระบี่อย่างสงบนิ่งแน่วแน่ ฝ่าการโจมตีเข้ามาของลมหนาว เข้าไปใกล้ปากถ้ำแห่งนั้นอย่างช้าๆ
ทันใดนั้นเอง เขาส่งเสียงเหอะออกมา เคล็ดกระบี่ที่มือขวาสลายหายไป
ความหนาวเย็นถาโถมเข้ามา ร่างกายไป๋เจ่าแข็งไปทันที ไม่สามารถคว้าจับสายรัดเอวของเขาเอาไว้ได้
จิ๋งจิ่วเหลียวพลันหน้ากลับไป สายตามองไปยังที่ใดที่หนึ่งอันไกลแสนไกลในส่วนลึกของพายุหิมะ ในดวงตามีลำแสงกระบี่อันเจิดจ้าสว่างวาบออกมา
เมื่อครู่นี้มีจิตที่แข็งแกร่งอย่างมากสายหนึ่งกวาดผ่านผาหินแถบนี้๋จากระยะที่ห่างออกไปแสนกว่าลี้ มันกวาดผ่านร่างกายเขาไปพอดี
พริบตานั้นเอง กระทั่งใจแห่งเต๋าของเขาก็ยังแตกกระจายเล็กน้อย
เขารับรู้ได้ถึงความรู้สึกคุกคามอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน
เจ้าของจิตนั้นคือศัตรูที่แข็งแกร่งที่กระทั่งตัวเขาเมื่อก่อนนี้ก็ยังไม่เคยเจอมาก่อน
เขากระตุ้นโอสถกระบี่ในร่างกายอย่างไม่ลังเล ปลดปล่อยเจตน์กระบี่ที่แท้จริงของตนเองออกมา
แต่ทันใดนั้นเขาก็รู้ตัวว่าการตอบโต้ของตนเองมีปัญหา
จิตจำแนกและใจแห่งกระบี่ของเขายังคงแข็งแกร่งเหมือนตัวเขาเมื่อก่อนนี้ แต่สภาวะกลับยังต่ำต้อยอย่างมาก เมื่อเทียบกับสิ่งที่อยู่ห่างออกไปแสนกว่าลี้แล้วมิได้ต่างอะไรกับมดปลวกเลย
เขาไม่ควรต่อต้าน
เชื่อว่าอีกฝ่ายคงไม่สนใจมดปลวกตัวหนึ่งนัก
แต่ในเมื่อเขาปล่อยเจตน์กระบี่อันนั้นออกไปแล้ว อีกฝ่ายจะต้องให้ความสนใจเขาอย่างมากเป็นแน่
นี่ิมิใช่การหลงตัวเอง หากแต่เป็นเพราะเขาเชื่อว่าอีกฝ่ายจะต้องจำได้แน่ว่าตนเองเป็นใคร
แล้วก็เป็นจริงดั่งว่า
แรงกดดันที่ยากจะจินตนาการได้สายหนึ่งพุ่งมาจากทางทิศเหนือที่อยู่ห่างออกไปไกลแสนไกล
แม้นจะอยู่ห่างไกลเป็นแสนลี้ แต่แรงกดดันสายนั้นก็ยังพุ่งมาที่ตัวเขาได้อย่างแม่นยำ ไม่คลาดเคลื่อนไปแม้แต่นิดเดียว!
จิ๋งจิ่วสลัดสร้อยกระบี่ที่ข้อมือซ้าย ม้วนร่างกายไป๋เจ่าแล้วโยนเข้าไปในถ้ำที่อยู่บนหน้าผาแห่งนั้น ก่อนจะตกลงไปจากกระบี่
พายุหิมะโหมกระหน่ำอย่างรุนแรง ก่อนจะกลืนกินเขาไปในพริบตาราวกับน้ำวน
……………………………………………………………….