ริมแม่น้ำ ท่าเรือ แม่น้ำไหลยาวราวกับเวลาหยุดนิ่งที่นี่ไปชั่วนิรันดร์ ทว่าเมืองโดยรอบกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ พื้นดินมีตึกสูง เรือไม้เปลี่ยนเป็นเรือยนต์…
ทว่าที่เปลี่ยนแปลงเร็วที่สุดกลับเป็นผู้หญิงที่ยืนตรงท่าเรือไม่ยอมไปไหน จากเด็กสาวเป็นหญิงวัยกลางคน จากหญิงวัยกลางคนเป็นหญิงชรา
มีเพียงสิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนคือเธอจะแต่งตัวสวยตลอด หวีผมทำความสะอาดผมทุกเส้นอย่างตั้งใจ สวมกี่เพ้าตัวนั้นยืนรออยู่ข้างแม่น้ำจนดึก เรือลำสุดท้ายชิดฝั่งแล้วถึงกลับฝั่ง ทำงาน
เธอเคยเป็นพนักงานเสริฟ์ เคยกวาดพื้น เคยเป็นพี่เลี้ยง ต่อให้ชีวิตลำบากกว่านี้ก็ไม่เคยขอทาน เธอจะเชิดหน้าขึ้นเสมอ แม้ไม่มีใบจดทะเบียนสมรส แต่เธอจะวางมาดฐานะภรรยาทหารตลอด ไม่มีวันลดหัวที่หยิ่งยโสลง นั่นคือความภูมิใจของสามี และเป็นความภูมิใจของเธอ!
ทว่าเมื่อคนเก่าจากไป เมืองเปลี่ยนไป ไม่มีใครรู้เรื่องราวของเธอ คนที่นี่จึงมองว่าเธอเป็นโรคประสาท พากันออกห่างเธอ กระทั่งขับไล่ เธอถูกไล่ออกจากบ้านเช่า ร้านทำผมไม่ต้อนรับเธอ งานเพียงอย่างเดียวคือมีเถ้าแก่ใจดีแอบให้งานเธอ…
ที่อยู่ชั่วคราวเพียงหนึ่งเดียวคือเก้าอี้สูงในร้านค้าเถ้าแก่ นี่ก็นับด้วย ต้องรอจนถึงหลังเที่ยงคืนร้านปิดแล้วถึงแอบเข้าไปนอนได้ ฟ้ายังไม่สางต้องออกมา จะให้คนเห็นไม่ได้
แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่เธอไม่เคยย่อท้อต่อชีวิต ยังคงเชื่อมั่นว่าเขาอยู่ที่ห่างไกล เพียงแต่เพราะบางอย่างจึงกลับมาไม่ได้เท่านั้น…
หญิงชรายืนอยู่ข้างท่าเรือ ประนมสองมือมองไปทางตะวันออกพลางพึมพำ “ถ้าโลกนี้มีพระพุทธองค์จริงๆ ช่วยปกป้องให้เขาปลอดภัยได้ไหม? ไม่ขอให้เขากลับมา ขอแค่ให้เขามีชีวิตที่ดีกว่า…”
ฟางเจิ้งเห็นถึงตรงนี้เขาน้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว ใครจะไปคาดคิดว่าหญิงชราที่เหมือนคนบ้าถูกมองว่าเป็นดั่งผีจะมีเบื้องหลังกินใจขนาดนี้? ภรรยาทหารที่ไม่มีทะเบียนสมรส ภรรยาทหารที่ไม่มีวันก้มหัว ภรรยาทหารที่ใช้หนึ่งชีวิตรอคนรัก! คนแบบนี้ใช่ผีหรือ? คนแบบนี้ควรค่าแก่การเคารพ!
คิดได้ดังนั้นฟางเจิ้งเคลื่อนความคิดมาอยู่ตรงหน้าหญิงชรา ประนมสองมือ “อมิตาพุทธ สีกา ในเมื่อขอแค่ให้เขาปลอดภัย แล้วทำไมต้องลำบากรออยู่ทุกคืนวัน?”
“ท่าน?!” หลิวฟางฟางชะงักงัน วินาทีที่เห็นฟางเจิ้ง เธอนึกถึงเรื่องที่เธอมองข้ามไปมากมาย เธอควรจะอยู่ในวัดไม่ใช่หรือ? นี่เณรในวัดเอกดรรชนี? ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่?
ฟางเจิ้งยิ้มเล็กน้อย “อาตมาเจ้าอาวาสวัดเอกดรรชนี นามทางธรรมฟางเจิ้ง”
“ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่? รีบไปเถอะค่ะ ไม่ต้องสนใจเรื่องของฉันหรอก” หลิวฟางฟางพูดจบก็กวาดสายตามองไกลๆ ด้วยความระแวงทีหนึ่งแล้วรีบไล่ฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งหันไปมอง บนท่าเรือยังมีคนไม่น้อยที่มองมาทางนี้ด้วยแววตาสงสัย ฟางเจิ้งคลี่ยิ้ม “สีกากลัวว่าพวกเขาเห็นอาตมาอยู่กับสีกาแล้วจะพารังเกียจอาตมาด้วยหรือ?”
พูดจบฟางเจิ้งโบกมือ ทุกคนหายไป ก่อนถามอีกครั้ง “แบบนี้เป็นไง?”
“ทะ…ท่านเป็นใครกันแน่?!” หลิวฟางฟางตกใจสะดุ้ง เพียงโบกมือทุกคนก็หายไป นี่…มันน่าเหลือเชื่อเกินไป!
ฟางเจิ้งยิ้ม “อาตมาเจ้าอาวาสวัดเอกดรรชนี ฟางเจิ้ง สีกา สีกาคิดว่าคนที่สีการอจะกลับมาไหม?”
“ท่านรู้เรื่องของฉันได้ยังไง?” หลิวฟางฟางตกใจจริงๆ แล้ว
ฟางเจิ้งตอบ “สีกาบอกอาตมาเอง”
หลิวฟางฟางมองฟางเจิ้ง ฟางเจิ้งมองหลิวฟางฟาง ภาพโดยรอบเปลี่ยนไป เธอขยี้ตาในความไม่แน่ใจ เธอพลันมานั่งอยู่ในอุโบสถ ห่างจากตรงหน้าไม่ไกลมีนักบวชจีวรขาวนั่งอยู่ นั่นคือฟางเจิ้ง!
“นี่…” หลิวฟางฟางมองฟางเจิ้งด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ
ฟางเจิ้งยืนขึ้นช้าๆ “สีกา อาตมารู้ว่าสีกามีอะไรสงสัยมากมาย แต่ความสงสัยเหล่านี้ไม่มีความหมายไม่ใช่หรือ?”
ฟางเจิ้งพูดพลางเดินออกจากอุโบสถ
หลิวฟางฟางเดิมตามไปโดยจิตใต้สำนึก ฟางเจิ้งเอามือข้างหนึ่งไพล่ข้างหลัง แหงนหน้ามองต้นโพธิ์ตรงหน้า “สีกา ต้นไม้นี่มีคุณโยมท่านหนึ่งถวายให้วัดเอกดรรชนีเมื่อหลายปีก่อน น่าเสียดาย ต้นไม้ทางใต้ปลูกทางเหนือ ไม่ชินกับดินน้ำ แข็งตายไปตอนฤดูหนาวแล้ว”
“แต่ว่า…มันยังมีชีวิต” หลิวฟางฟางพูด
ฟางเจิ้งพยักหน้า “ใช่ ใครจะไปคิดว่าต้นไม้ที่ต้องตายจะยังมีชีวิตอยู่?”
หลิวฟางฟางใจสั่น “ท่านจะบอกว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือคะ?”
ฟางเจิ้งหันไปมองหลิวฟางฟาง “สีกาคิดว่ายังไงล่ะ?”
“เขา…” หลิวฟางฟางไม่กล้าพูด ความจริงเธอมีคำตอบในใจนานแล้ว แต่ไม่ยอมเผชิญหน้า เธอกลัว แต่สุดท้ายหลิวฟางฟางก็ยังถาม “เจ้าอาวาสฟางเจิ้ง โลกนี้มีผีไหมคะ?”
“มี โลกมีนรก มีแดนสุขาวดี” ฟางเจิ้งตอบกลับอย่างมั่นใจมาก
หลิวฟางฟางใจเต้น ถามต่อทันที “เจ้าอาวาส ฉันรู้ว่าท่านมีพระธรรมลึกล้ำ มีวิชามากมาย พาฉันไปพบเขาได้ไหมคะ? ไม่ว่าจะคนเป็นหรือ…ฉันแค่อยากเห็นเขาอีกครั้ง”
“หากสีกาอยากเจอเขาจริงๆ ย่อมได้เจอ ขอแค่สีกาต้องการ” ฟางเจิ้งหันมายิ้มให้หลิวฟางฟาง
หลิวฟางฟางมองฟางเจิ้งก่อนมองต้นไม้แก่ จากนั้นหลับตาลงช้าๆ นึกถึงเขาในใจ เมื่อเธอลืมตาขึ้นอีกครั้ง วัดหายไป ยังคงเป็นท่าเรือนั้น เพียงแต่ท่าเรือมีคนเพิ่มมา สวมเครื่องแบบทหาร ลักษณะท่าทางสูงใหญ่ มีความเหนียมอายนิดๆ หน้าแดงก่ำ แต่ไม่กล้าเดินหน้ามา
“พี่…กลับมาแล้ว?” หลิวฟางฟางไม่ได้ตรงเข้าไป ไม่ได้ร้องไห้ แต่ยืนมองนิ่งๆ พูดด้วยรอยยิ้ม
“อืม” อวี๋กว่างหวาพยักหน้า
“ถึงฉันจะรู้ว่าพี่ไม่ใช่เขา แต่ฉันก็ดีใจมาก” หลิวฟางฟางยิ้ม
นักบวชจีวรขาวรูปหนึ่งเดินออกมาจากหลังอวี๋กว่างหวา ประนมสองมือ “อมิตาพุทธ สีกาพูดผิดแล้ว เขาก็คือเขา”
“เป็นไปไม่ได้ เขาไปชายแดนแล้วไม่กลับมาอีกเลย” หลิวฟางฟางพูด
“เขาไม่เคยจากไปไหน เขาอยู่ในใจสีกามาตลอด อาตมาดึงเขาคนนี้ออกมาจากในใจสีกา เขาอยู่มาตลอด ปกป้องสีกามาตลอด เพียงแต่ว่าสีกาไม่มองเขาก็เท่านั้น” ฟางเจิ้งพูดถึงตรงนี้ก็มองทอดไกล “เดิมทีต้นโพธ์ควรตาย แต่ความปรารถนาของทุกชีวิตให้มันรอด บางทีอวี๋กว่างหวาอาจจะสละชีพ แต่เขายังอยู่ในใจสีกาเพราะความคิดถึงของสีกา ความเป็นตายของเขาไม่เกี่ยวกับอาตมา แต่ขึ้นอยู่กับสีกา”
พูดจบฟางเจิ้งโบกมือ กลับมาในวัดอีกครั้ง
ครั้งนี้ฟางเจิ้งไม่ได้พูดอะไร แค่สะบัดแขนเสื้อเดินไปหลังวัด แต่มีเสียงดังแว่วมา “สีกา อาตมาพูดในสิ่งที่ควรจะพูดแล้ว สีกาได้เจอคนที่อยากพบแล้ว ความเป็นตายเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอน อยู่ที่ใจชั่วนิรันดร์ ทุกสรรพสิ่งล้วนผันแปร มีเพียงใจที่นิรันดร์ ในใจมีนรก มีเขาคุนหลุนด้วยเช่นกัน จะเลือกทางใดใช้แค่ใจเท่านั้น”
…………………..