บทที่ 88.1 ตะขอหางแมงป่อง! สายฟ้าเทพเจ้าอสูรมืด! (1)

Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา

เมื่อปีศาจน้อยเซินถูกโจมตีด้วยทักษะหน่วงเวลาสมบูรณ์ ขณะที่เธอเห็นลูกบอลแสง 3 สีที่ขาขวาของโจวเหว่ยชิง เธอก็ตกตะลึงยิ่งกว่าเมื่อตระหนักได้ว่าเขามีทักษะธาตุมากมาย

เช่นเดียวกับที่เธอใช้ทักษะผสานคู่ที่มีพลังเกินกว่าระดับพลังของตัวเองก่อนหน้านี้ หญิงสาวสามารถบอกได้ว่าโจวเหว่ยชิงกำลังใช้ทักษะผสานธาตุ 3 ชนิดอยู่!

นี่ไม่น่าจะเป็นไปได้! นั่นเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะปรากฏบนร่างกายของเขา! ถึงอย่างไรเขาก็เป็นจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 3 ชุดเท่านั้น…และมีเพียงจ้าวมณีสวรรค์ระดับราชาเท่านั้นที่สามารถใช้ทักษะผสาน 3 ทักษะธาตุได้!

ความแตกต่างระหว่างมณี 3 ชุดและมณี 10 ชุดนั้นเป็นช่องว่างขนาดใหญ่ที่แทบจะไม่มีใครก้าวข้ามไปได้ ยิ่งไปกว่านั้น พลังปราณสวรรค์ของโจวเหว่ยชิงก็ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของขั้นทะลวงพิภพเท่านั้น เขายังห่างไกลเกินกว่าที่จะสามารถปลดปล่อยทักษะผสาน 3 ธาตุได้! สิ่งที่เขาทำนั้นขัดต่อหลักธรรมชาติของแผ่นดินไร้ขอบเขต แม้ว่าเขาจะอยู่ในสถานะปีศาจกลายร่าง แต่สิ่งนี้ก็ไม่ควรจะเกิดขึ้นอยู่ดี!

ที่สำคัญกว่านั้น ทักษะบนตะขอขาขวาของโจวเหว่ยชิงยังทำให้ปีศาจน้อยเซินรู้สึกถึงภัยอันตรายถึงชีวิต แม้ว่าเธอจะมีระดับมณีมากกว่าเขา 3 ชุดก็ตาม

ทำไมกัน? เป็นไปได้อย่างไร?!

ทักษะหน่วงเวลาสมบูรณ์ยังคงมีผลอยู่ และเมื่อรวมกับสิ่งนั้น ปีศาจน้อยเซินก็เกือบจะหน้ามืดด้วยความตกใจ

เธอไม่ใช่คนเดียวที่กำลังตกตะลึง ในขณะนี้ทั้งจตุรัสต่างก็กำลังเงียบงัน แม้แต่ผู้ชมทั่วไปก็ยังเข้าใจว่าการต่อสู้ที่เกิดขึ้นต่อหน้าพวกเขานั้นเป็นไปไม่ได้ หรืออย่างน้อยก็ควรจะเป็นไปไม่ได้ พวกเขาไม่รู้ว่าอะไรคือสถานะปีศาจกลายร่าง และพวกเขาก็ไม่เข้าใจผลของทักษะผสาน 3 ทักษะธาตุ แต่สิ่งที่พวกเขารู้ก็คือช่องว่างระหว่างจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 3 ชุดกับ 6 ชุดนั้นน่าจะเป็นสิ่งที่ก้าวข้ามไปไม่ได้ แต่ทว่า…ตอนนี้กลับดูเหมือนโจวเหว่ยชิงผู้ที่มีมณี 3 ชุดกำลังเป็นฝ่ายกุมความได้เปรียบ…นั่น…เกิดอะไรขึ้นกันแน่

อย่างไรก็ตาม แม้อาการตกตะลึงของผู้คนส่วนใหญ่อาจทำให้พวกเขาพลาดชมการต่อสู้ที่น่าตื่นเต้นไป แต่สำหรับปีศาจน้อยเซินนั้น สิ่งนี้ย่อมมีผลกระทบที่เลวร้ายกว่ามาก

ร่างกายของโจวเหว่ยชิงเอนไปข้างหน้า ตัวเขาในปัจจุบันไม่ได้ให้ความรู้สึกเหมือนมนุษย์ทั่วๆ ไป แต่ราวกับว่าเขากลายเป็นสัตว์ป่ากระหายเลือดตัวหนึ่ง

คำว่า ‘ราชา’ สีดำบนหน้าผากของเขาเปล่งประกายเจิดจ้าจนแสบตา ขณะที่แขนซึ่งเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแน่นหนั่นของเขาปกคลุมไปด้วยแสงเจิดจ้าจากไพฑูรย์ตาแมวสองสีและมณียุทธ์หยกน้ำแข็ง

ในบรรดามณีพวกนั้น สิ่งที่รูปลักษณ์เปลี่ยนไปมากที่สุดคือไพฑูรย์ตาแมวสองสี 3 ดวงที่ข้อมือซ้ายของเขา ปัจจุบันมณีทั้งสามกำลังเปล่งแสงทีละดวงด้วยสีที่แตกต่างกันตามลูกบอลแสง 3 สีรอบตะขอขาขวาของเขา สีเทา สีฟ้า และสีดำตามลำดับ สำหรับมณียุทธ์ของเขา พวกมันกำลังหมุนรอบข้อมือของเขาอย่างรวดเร็ว ให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกราวกับไอหมอก

ลายเสือดำกระเพื่อมรอบตัวของโจวเหว่ยชิงในรูปแบบแปลกตา ขณะที่ดวงตาแดงก่ำของเขาจ้องมองไปที่ปีศาจน้อยเซิน กลิ่นอายของเขาให้ความรู้สึกเหมือนเสือดำขนาดใหญ่ที่พร้อมจะกระโจนเข้าใส่ศัตรูได้ทุกเมื่อ

เกิดระเบิดหลายชุดปะทุจากภายในของโจวเหว่ยชิง ทั้งยังมีหมอกสีเทาแผ่ออกมาจากร่างของเขาพร้อมกับเลือดที่ปะปนอยู่ สีหน้าเจ็บปวดวูบวาบไปตามอารมณ์ของโจวเหว่ยชิง แต่ทว่าร่างกายของเขากลับเกร็งแน่น และในพริบตาต่อมา เขาก็หมุนตัวไปข้างหน้า ยกขาขวาขึ้นฟาดไปทางปีศาจน้อยเซินทันที

ลูกบอลแสงรอบๆ เท้าขวาของโจวเหว่ยชิงดูเหมือนจะบิดเบี้ยวอยู่กลางอากาศ ส่งผลให้เกิดภาพลวงตาแปลกประหลาดมากมายขณะที่มันถูกขับออกจากเท้าและหมุนออกไปยังร่างของปีศาจน้อยเซิน ดูเหมือนว่าพวกมันจะไม่ได้เคลื่อนไหวเร็วมากนัก แต่ทันทีที่มันแยกออกจากเท้าของเขา ร่างของปีศาจน้อยเซินก็ถูกอาบย้อมไปด้วยชั้นแสงสีเทาราวกับว่าร่างกายของเธอกำลังดูดกลืนลูกบอลแสง 3 สีที่กำลังเปล่งประกายเจิดจ้าเข้าหาตัวเอง

ปีศาจน้อยเซินฟื้นคืนสติจากอาการสับสนอย่างรวดเร็ว และทันใดนั้นดวงตาของเธอก็มีแสงวูบผ่านทันที นี่เป็นช่วงเวลาสำคัญระหว่างความเป็นความตาย และมันก็เป็นวินาทีสุดท้ายที่ทักษะหน่วงเวลาสมบูรณ์สิ้นสุดลง

ปีศาจน้อยเซินสูดหายใจเข้าลึกอย่างฉับพลัน จากนั้นก็ระเบิดแสงจ้าออกมา ในเวลาเดียวกัน มือซ้ายของเธอก็ฟาดเข้าที่กระจกป้องกันส่วนหัวใจ แสงสีเหลืองทองเข้มข้นพลันระเบิดออกมาจากกระจกนั้น ดูเหมือนว่าพวกมันจะถูกแสงสีแดงดึงดูดเข้าไปก่อนที่ทั้งสองจะรวมตัวกันกลายเป็นมังกรไฟสีทองและพุ่งออกไปทางลูกบอลแสง 3 สีของโจวเหว่ยชิงทันที

แน่นอน ลูกบอลแสง 3 สีนี้เป็นทักษะใหม่ที่โจวเหว่ยชิงเพิ่งปลุกขึ้นมา…ทักษะปีศาจชนิดใหม่ของเขา…หรือหากเรียกให้แม่นยำกว่านั้นก็คือทักษะผสาน 3 ธาตุ สายฟ้าเทพเจ้าอสูรมืด!

นี่เป็นครั้งแรกที่โจวเหว่ยชิงพยายามเปิดใช้งานทักษะนี้ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาจะไม่เคยใช้มันมาก่อน แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงวางแผนที่จะใช้มันโจมตีปีศาจน้อยเซินและรู้สึกมั่นใจในตัวมันอย่างน่าประหลาด เขาได้วางทักษะนี้ไว้ในตำแหน่งที่มีความสำคัญสูงสุดระหว่างการโจมตีครั้งสุดท้ายและรู้สึกว่านี่เป็นทักษะที่ทรงพลังที่สุดในคลังอาวุธของเขาแล้ว

ในเวลาเดียวกัน ปีศาจน้อยเซินก็ปลดปล่อยทุกอย่างที่มีออกมาในการปะทะครั้งสุดท้ายนี้เช่นกัน ขณะที่กระแทกกระจกป้องกันหัวใจ เธอก็อาเจียนออกมาเป็นเลือดเนื่องจากเพิ่งเค้นศักยภาพของตัวเองออกมาจนถึงขีดสุด

หากจะเปรียบเทียบพลังของศาสตรามณียุทธ์ก็คงไม่มีใครสามารถเทียบเคียงวังสวรรค์ไพศาลได้ การตั้งอยู่ในเกาะมณีสวรรค์ทำให้พวกเขาสามารถควบคุมอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ชั้นนำของทวีปได้ทั้งหมดและยังมีวัตถุดิบคุณภาพเยี่ยมอีกเป็นจำนวนมาก

แม้ว่าหุบเขาอเวจีสีเลือดจะเป็นหนึ่งในมหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่การจะหลอมรวมชุดศาสตรามณียุทธ์ในตำนานให้ครบทั้งชุดก็ยังเป็นเรื่องยากลำบากสำหรับพวกเขาอยู่ดี

ในความเป็นจริง แม้ว่าจะมีพลังอยู่ในระดับสูงส่งเช่นนี้ ปีศาจน้อยเซินก็ยังมีศาสตรามณียุทธ์เพียง 2 ชิ้นเท่านั้น หนึ่งคือใบมีดสั้นสีแดง และอีกหนึ่งคือกระจกป้องกันหัวใจ กระจกป้องกันหัวใจเป็นศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าและยังเป็นส่วนหนึ่งของชุดในตำนาน ในขณะเดียวกันพวกมันก็ยังอยู่ระหว่างการรวบรวมวัตถุดิบเพื่อสร้างม้วนคัมภีร์ทำให้ชุดศาสตรามณียุทธ์ทั้งหมดของเธอสมบูรณ์ ด้วยเหตุนี้เธอจึงอยู่ในสถานะเดียวกับโจวเหว่ยชิง มณียุทธ์ที่เหลือของเธอยังคงว่างเปล่าและรอให้ม้วนคัมภีร์ของชุดในตำนานเสร็จสมบูรณ์ก่อนที่เธอจะหลอมรวมมันเข้ากับร่างกาย

ด้วยเหตุนี้ กระจกป้องกันหัวใจบนหน้าอกของเธอจึงเป็นศาสตรามณียุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดที่หญิงสาวมีและเป็นแกนหลักของชุดในตำนานของเธอ ปีศาจน้อยเซินยังคงติดอยู่ภายใต้ผลของทักษะหน่วงเวลาสมบูรณ์ เธอจึงไม่อาจทำอะไรได้นอกจากใช้พลังปราณสวรรค์ที่เหลือส่วนสุดท้ายจู่โจมออกไป นี่ไม่ใช่แค่จัดการกับทักษะสายฟ้าเทพเจ้าอสูรมืดของเขาเท่านั้น แต่ยังหวังว่ามันจะเพียงพอใช้ฆ่าเขาด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้หญิงสาวจึงรีดเค้นพลังปราณสวรรค์ออกมาทุกหยด ทั้งเลือดเนื้อของตนเองและอื่นๆ อีกมากมายเพื่อกระตุ้นศาสตรามณียุทธ์ ไม่ว่ายังไงเธอก็ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะ

มังกรเพลิงสีทองของหญิงสาวดูใหญ่โตและทรงพลังกว่าลูกบอลเล็กๆ ที่สร้างจากทักษะสายฟ้าเทพเจ้าอสูรมืด และเมื่อทั้งสองปะทะกันก็ดูราวกับเปลวไฟที่สว่างโชติช่วงนั้นจะกลืนกินลูกบอลทั้งหมดเข้าไปได้อย่างง่ายดาย

อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงช่วงเวลาที่ทักษะทั้งสองได้ปะทะกันจริงๆ กลับเกิดภาพแปลกประหลาดขึ้น

สายฟ้าเทพเจ้าอสูรมืดที่ดูกะจ้อยร่อยและอ่อนแอแปรเปลี่ยนเป็นม่านพลังสีเทาที่ชวนให้ขนหัวลุก และเมื่อทักษะทั้งสองปะทะกัน เปลวไฟสีทองจำนวนมากก็เลือนหายไปในเสี้ยววินาที เช่นเดียวกับมีดที่กำใช้หั่นถั่ว ลูกบอลสีเทาตัดผ่านเปลวไฟสีทองก่อนที่จะเร่งความเร็วไปข้างหน้าโดยไม่มีสิ่งใดสามารถยับยั้งมันได้อีกต่อไป

“…เป็นไปไม่ได้!” ปีศาจน้อยเซินอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาเสียงดัง

อนิจจา ข้อเท็จจริงกลับโผล่มาอยู่ตรงหน้าเธอทันทีอย่างปฏิเสธไม่ได้ ไม่ว่าหญิงสาวจะสงสัยมากแค่ไหนก็ตาม มังกรเพลิงสีทองสลายไปอย่างรวดเร็วเพราะสายฟ้าเทพเจ้าอสูรมืดซึ่งดูเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก แม้ว่าแสงสีเทาของมันจะเริ่มเป็นริ้วคลื่นในรูปแบบแปลกๆ และดูเหมือนจะไม่เสถียรมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ตาม

*ตูม*!

การระเบิดครั้งใหญ่เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงจุดจบสุดท้ายของมังกรเพลิงสีทอง และในที่สุดสายฟ้าเทพเจ้าอสูรมืดก็พุ่งเข้าใส่มือของปีศาจน้อยเซินซึ่งพยายามป้องกันตนเองอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขณะที่มันสัมผัสปีศาจน้อยเซิน ผู้ที่สายตาไวกว่าก็จะสามารถสังเกตได้ว่าสายฟ้าเทพเจ้าอสูรมืดนั้นมีขนาดเล็กกว่าก่อนหน้านี้มาก เกือบจะเป็น 1 ใน 3 ของขนาดเดิมเมื่อโจวเหว่ยชิงยิงออกไปครั้งแรกด้วยซ้ำ

ท้ายที่สุดความแตกต่างของพวกเขายังคงเป็นมณีถึง 3 ชุด และไม่ว่าสายฟ้าเทพเจ้าอสูรมืดนั้นจะทรงพลังเพียงใด แม้ว่ามันจะดูดซับพลังปรานทั้งหมดของโจวเหว่ยชิงจนเหือดแห้งแค่ไหน แม้พลังนั้นจะอยู่ลึกเข้าไปในสายเลือดของเขา มันก็ยังไม่อาจเติมเต็มพลังที่แท้จริงของสายฟ้าเทพเจ้าอสูรมืดได้อยู่ดี

ถึงกระนั้น เมื่อพลัง 1 ใน 3 ส่วนของสายฟ้าเทพเจ้าอสูรมืดโจมตีถูกปีศาจน้อยเซิน ผลของมันก็เพียงพอที่จะทำให้ทั้งจตุรัสตื่นตะลึงอีกครั้ง

เสียงระเบิดดังขึ้นอีกหน และภาพที่อธิบายไม่ได้ก็ปรากฏขึ้นบนเวที แรงระเบิดไม่ได้ผลักปีศาจน้อยเซินให้กระเด็นออกไปด้านหลัง แต่ดูเหมือนว่าแรงระเบิดเหล่านั้นจะพุ่งเข้าใส่จากรอบทิศทาง

สิ่งที่มาพร้อมกับเสียงระเบิดคือกระจกป้องกันหัวใจที่หน้าอกของปีศาจน้อยเซินสลายไปอย่างรวดเร็ว ร่างกายของเธอดูเหมือนจะหยุดนิ่งเป็นรูปปั้น ราวกับถูกแช่แข็งเอาไว้ด้วยความเย็นจัด แสงสีฟ้าขนาดเล็กจำนวนมากพุ่งออกมาและแตกกระจายไปรอบตัวของเธอพร้อมกับหมอกสีเทาดำ ใบหน้าของปีศาจน้อยเซินถูกแช่แข็งด้วยความตกใจ

เวลาดูเหมือนจะหยุดนิ่งเมื่อไม่มีใครขยับตัว…ไม่เว้นแม้แต่ผู้ชมทั้งหมดในจตุรัส เวลา 3 วินาทีราวกับชั่วนิรันดร์ จากนั้นร่างของปีศาจน้อยเซินก็ทรุดฮวบลงกับพื้น ในขณะที่เธอร่วงหล่นลงไปเช่นนั้น ร่างกายก็เริ่มสั่นเทาอย่างรุนแรง ผิวหนังเริ่มเปล่งประกายเป็นแสงสีเทา สีฟ้า และสีดำ ดูแปลกตากว่าลายเสือดำบนร่างกายของโจวเหว่ยชิงมากนัก

แม้ว่าพลังปราณขั้นทะลุสวรรค์ของหญิงสาวจะช่วยปกป้องร่างกายเอาไว้ แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามันไม่อาจหยุดยั้งการบุกรุกของสายฟ้าเทพเจ้าอสูรมืดได้ แน่นอนว่าตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหญิงสาวกันแน่

โจวเหว่ยชิงยังคงยืนอยู่ที่เดิมด้วยปลายเท้าข้างเดียว คงท่าทางที่น่าอึดอัดของเขาเอาไว้ด้วยขาซ้าย หลังจากปลดปล่อยสายฟ้าเทพเจ้าอสูรมืด เขาก็ไม่ได้ขยับกล้ามเนื้อแม้แต่ส่วนเดียวเช่นกัน ลายเสือดำบนร่างกายของเขาค่อยๆถอยร่นกลับไปอยู่ใต้ผิวหนัง หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเมื่อสีผิวเดิมของเขากลับคืนมา…แขนและขาขวาที่มีรอยแตกของเขาก็กลับคืนสู่สภาพเดิมอย่างรวดเร็วเช่นกัน

ไม่ช้ามันก็ชัดเจนว่าเขาหลุดออกจากสถานะปีศาจกลายร่างและถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีเทา แม้กระทั่งแสงที่ส่องประกายออกมาจากดวงตาของเขาก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

“ ข้า…ข้า…ข้าชนะ…” คำพูดเหล่านั้นถูกบีบเค้นลอดไรฟันของโจวเหว่ยชิงขณะที่ดวงตาสีเทาของเขาจ้องมองไปที่ผู้ตัดสิน ผู้ซึ่งกำลังยืนตกใจอยู่ที่มุมเวที

บางทีอาจเป็นเพราะภาพลักษณ์ของโจวเหว่ยชิงดูแปลกประหลาดและทรงพลังเกินไป เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาของเขา ผู้ตัดสินก็รู้สึกราวกับว่าเขาถูกงูพิษกัดและสั่นสะท้านไปชั่วขณะ นานกว่าจะฟื้นคืนสติขึ้นมาอีกครั้ง

เมื่อมองไปยังร่างที่หมดสติของปีศาจน้อยเซินบนพื้น ผู้ตัดสินก็กล่าวเสียงแหบแห้งว่า “กลุ่มนักรบเฟยหลี่ปะทะกลุ่มนักรบตันตุ้น การต่อสู้ครั้งที่ 4 กลุ่มนักรบเฟยหลี่เป็นผู้ชนะ ผลคะแนนสุดท้าย 3 ต่อ 1 กลุ่มนักรบเฟยหลี่ขึ้นนำ กลุ่มนักรบเฟยหลี่เป็นผู้ชนะในการประลองครั้งนี้”

เมื่อได้ยินคำประกาศของผู้ตัดสิน ร่างกายของโจวเหว่ยชิงก็แข็งทื่อไปชั่วขณะ จากนั้นก็ดูเหมือนว่าความตึงเครียดจะถูกระบายออกไปจากตัว และในเสียง *ป๋อม* เขาทิ้งตัวลงนอนกับพื้นพร้อมกับหอบหายใจ เห็นได้ชัดว่าโจว เหว่ยชิงพยายามด้วยความมุ่งมั่นอย่างแท้จริงจนไม่มีพลังปราณเหลืออยู่ในร่างของเขาเลย

คำพูดของผู้ตัดสินได้กระตุ้นผู้ชมทั้งหมดให้รู้สึกตัวเช่นกัน ทันใดนั้นจตุรัสโดยรอบก็พลันเกิดความโกลาหลขึ้น ไม่ใช่แค่ผู้ชม แต่ยังรวมถึงกลุ่มนักรบในเรือนพักที่เหลือ แม้แต่สมาชิกบนแท่นนั่งของผู้ชมระดับสูงก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

……………………………………………………………