บทที่ 88 ตะขอหางแมงป่อง! สายฟ้าเทพเจ้าอสูรมืด! (3)

Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา

แม่มดน้อยหน้ามุ่ยอย่างน่ารักน่าชัง ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าพวกเขาเกือบจะตายในเงื้อมือของเธอมาก่อน หัวใจของสมาชิกกลุ่มนักรบเฟยหลี่อาจหลอมละลายเพราะภาพที่ได้เห็นตรงหน้า

“หึ ถึงทำความดีก็ไม่อาจลบล้างความผิดได้สินะ ก็ได้ ข้าจะยอมปล่อยให้พวกเจ้ารักษาเขาแทน หากเจ้าต้องการช่วยเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ค่อยๆ เติมพลังปราณสวรรค์ผ่านฝ่ามือของเขา โจวเหว่ยชิง ข้ารู้ว่าเจ้าได้ยินข้า เมื่อพวกเขาทำเช่นนั้นให้เจ้าพยายามใช้พลังจิตวิญญาณของเจ้ากระตุ้นทักษะกลืนกินและดึงพลังปราณสวรรค์เข้าสู่ร่างกายเพื่อรักษาตัวเอง”

หลังจากพูดเสร็จ แม่มดน้อยก็ทำหน้ายู่ใส่พวกเขาก่อนจะเดินจากไป

เย่เป่าเปากล่าวว่า “คำพูดของนางเชื่อถือได้หรือไม่?”

หลินเทียนอ้าวกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ก่อนหน้านี้ตอนที่นางมาหาเหว่ยชิง ดูเหมือนว่านางจะไม่ได้เป็นศัตรูกับเขาเลยแม้แต่น้อย ถึงอย่างไรพวกเราก็สามารถทดลองได้ แต่ต้องระมัดระวังในแต่ละครั้ง ให้ข้าลองดูก่อน”

เซียวเอี๋ยนและขี้เมาเป่าต่างก็ยกแขนข้างหนึ่งของโจวเหว่ยชิงขึ้นมา และหลินเทียนอ้าวก็วางฝ่ามือทั้งสองข้างลงบนมือของโจวเหว่ยชิง หมุนเวียนพลังปราณสวรรค์ของเขาอย่างระมัดระวังขณะปล่อยให้พวกมันเคลื่อนเข้าสู่ฝ่ามืออย่างช้าๆ

โดยธรรมชาติแล้ว โจวเหว่ยชิงย่อมได้ยินคำพูดของแม่มดน้อย แม้ว่าเขาจะไม่สามารถขยับร่างกายได้ แต่เขาก็ยังสามารถฟังและคิดตามได้ ชายหนุ่มไม่รู้ว่าสิ่งที่เธอพูดจะช่วยชีวิตตนเองได้จริงหรือไม่ แต่เขาก็ตัดสินใจที่จะลองดู

สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาพิสูจน์ให้เห็นว่าแม่มดน้อยไม่ได้โกหกพวกเขา ในตอนแรกโจวเหว่ยชิงไม่รู้สึกอะไรเลย แต่เมื่อหลินเทียนอ้าวค่อยๆ ผลักพลังปราณสวรรค์เข้าไปในฝ่ามือของเขา เขาก็รู้สึกว่าแขนของเขาค่อยๆ กลับมามีความรู้สึกเล็กน้อย หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็สามารถเปิดใช้งานทักษะกลืนกินได้

หลินเทียนอ้าวรู้สึกได้ถึงแรงดึงดูดน้อยๆ ที่ฝ่ามือของโจวเหว่ยชิง พวกมันกำลังดูดกลืนพลังปราณสวรรค์ของเขาเข้าไปช้าๆ ในตอนนี้โจวเหว่ยชิงอ่อนแอเกินไปและแรงดึงดูดก็อ่อนกำลังมาก

ในขณะที่เขากลืนกินพลังปราณอย่างต่อเนื่อง พลังปราณสวรรค์ของหลินเทียนอ้าวก็เริ่มไหลเวียนขึ้นไปตามแขนและไหล่ของเขา ในไม่ช้าก็มาถึงจุดตายบริเวณกระดูกไหปลาร้าและดูเหมือนว่ามันจะกระตุ้นให้จุดตายเหล่านั้นทำงานได้อย่างน่าอัศจรรย์ หลุมดำพลังปราณก่อตัวขึ้นอีกครั้งอย่างเชื่องช้า และจากนั้นโจวเหว่ยชิงก็ตระหนักได้ว่าเขาเหนื่อยล้าและอ่อนแอจนทำให้หลุมดำพลังปราณทั้งหมดของเขาหยุดการเคลื่อนไหวไปชั่วขณะ

แน่นอนว่าแม่มดน้อยไม่รู้เกี่ยวกับวิชาเทพอมตะหรือความซับซ้อนของมัน แต่เกี่ยวกับความลึกลับของทักษะกลืนกินย่อมไม่มีใครรู้ดีไปกว่านิกายปีศาจสวรรค์แล้ว

พลังปราณสวรรค์เริ่มไหลเวียนไปรอบๆ ร่างกายของเขาและกระตุ้นให้หลุมดำพลังปราณกลับมาเปิดใช้อีกครั้ง ร่างกายของเขาพลันฟื้นความรู้สึกกลับคืนมาอย่างช้าๆ ในที่สุดเมื่อจุดตายสุดท้ายของเขาถูกทะลวงและกลับมาหมุนเวียนพลังได้อีกครั้ง โจวเหว่ยชิงก็สามารถพูดได้เสียที

“อ๊าาา เจ็บ!” โจวเหว่ยชิงอุทานออกมาเสียงดัง เขาเกือบนึกเสียใจที่ให้หลินเทียนอ้าวเติมพลังปราณสวรรค์ให้เขาฟื้นตัว ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น ณ เวลานั้นเกือบจะทำให้เขาแทบเป็นลม ชายหนุ่มภาวนาอยากให้อาการชาดิกเหล่านั้นกลับมาอีกครั้ง

เมื่อหลุมดำพลังปราณของเขากลับมาหมุนวนอีกหน มันก็ทำให้เขาสามารถตรวจสอบสถานการณ์ของร่างกายได้อย่างแท้จริง และตอนนี้คำว่า “แย่มาก” ก็แปะอยู่บนหน้าผากของเขาเต็มๆ

ไม่ใช่แค่ร่างกายและกล้ามเนื้อของเขา แต่เส้นชีพจรทั้งหมดของเขายังถูกทำลายไปอย่างน้อย 3 ใน 10 ส่วน ในขณะที่อีก 7 ส่วนนั้นปริแตกและเสียหาย ไม่น่าแปลกใจเลยที่ซ่างกวนหลงหยินบอกว่าเขาแทบจะหมดพลังชีวิต

โจวเหว่ยชิงมั่นใจว่าหากไม่ใช่เพราะเขาได้ผ่านการวิวัฒน์พลังครั้งที่สอง ร่างของเขาก็น่าจะระเบิดหลังจากพยายามปลดปล่อยสายฟ้าเทพเจ้าอสูรมืดและไม่มีโอกาสโจมตีได้สำเร็จเลย

ขณะปลดปล่อยสายฟ้าเทพเจ้าอสูรมืด การใช้เท้าขวาแบบนั้นไม่ใช่ความพยายามที่จะทำให้ดู ‘เท่ห์’ แต่เป็นเพราะเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำเช่นนั้น ทั้งหมดเป็นเพราะร่างกายของเขา แม้ว่าจะอยู่ในสถานะปีศาจกลายร่าง แต่ขาขวาของปีศาจของเขาก็ยังแข็งแกร่งที่สุดและยืดหยุ่นที่สุด

ทีแรกโจวเหว่ยชิงไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้น แต่เมื่อเขาเริ่มปลดปล่อยสายฟ้าเทพเจ้าอสูรมืด ชายหนุ่มก็ตระหนักได้ในช่วงสุดท้ายว่าตนกำลังตกที่นั่งลำบาก ทักษะที่น่าสะพรึงกลัวนี้ได้เผาผลาญพลังปราณสวรรค์ของเขาออกไปจนหมด ราวกับว่าเขากลายเป็นเนื้อตากแห้งชิ้นหนึ่ง ทว่านั่นยังไม่เพียงพอ พลังปราณจำนวนมหาศาลยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในร่างกายของเขาอย่างไม่อาจควบคุมได้ โจวเหว่ยชิงจึงต้องบังคับมันเข้าสู่ขาขวาก่อนที่เขาจะสัมผัสถึงรูปร่างของมันและปลดปล่อยออกไปได้อย่างเหมาะสม

สายฟ้าเทพเจ้าอสูรมืดนั้นน่ากลัวเกินไป มันไม่เพียงแต่ทำลายศัตรูเท่านั้น แต่ยังสร้างความเสียหายให้กับตัวเองด้วย แม้ว่าสายฟ้าเทพเจ้าอสูรมืดระดับ 3 มณีจะยังอยู่ไกลจากขีดจำกัดสูงสุดของมันและยังสามารถพัฒนาขึ้นได้อีก แต่มันก็ยังสร้างความเสียหายให้กับตัวเขาเองมากมาย แค่นี้ก็สามารถจินตนาการได้แล้วว่าทักษะผสาน 3 ธาตุนี้จะเป็นอย่างไรเมื่อมันมีพลังเต็มที่

วันนี้เหตุผลที่โจวเหว่ยชิงเอาชนะปีศาจน้อยเซินอาจกล่าวได้ว่าเป็นเพราะเขาอยากจะขุดลึกลงไปในศักยภาพของเขา รีดเร้นพลังใช้ทุกทักษะให้ถึงขีดจำกัดสูงสุด

ทักษะที่สำคัญที่สุดคือทักษะธาตุปีศาจ ถ้าปราศจากสถานะปีศาจกลายร่าง เขาก็อาจจะไม่สามารถยื้ออีกฝ่ายไว้ได้แต่แรก และหากไม่มีทักษะกลืนกินที่ให้ผล 2 ครั้งในตอนเริ่มต้น ปีศาจน้อยเซินก็คงจะไม่ใช้พลังปรานหมดเร็วขนาดนี้ ที่สำคัญกว่านั้น พลังปราณที่ได้รับมายังช่วยให้เขาสามารถใช้ทักษะจำนวนมากได้ มิฉะนั้นเขาก็อาจจะไม่หลงเหลือพลังปราณไว้สำหรับใช้งานทักษะอันทรงพลังเช่นทักษะกระชากมิติสีเงินและทักษะสายฟ้าเทพเจ้าอสูรมืดได้ในตอนท้าย

สำหรับสายฟ้าเทพเจ้าอสูรมืด นั่นเป็นทักษะสำคัญที่มีส่วนในการคว้าชัยชนะ ด้วยระดับพลังปราณของปีศาจน้อยเซิน แม้ว่าเธอจะถูกขัดขาตั้งแต่เริ่มต้น หรือแม้จะถูกควบคุมโดยทักษะหน่วงเวลาสมบูรณ์ของโจวเหว่ยชิง ผู้หญิงคนนั้นก็จะยังมีเวลามากพอให้สามารถฟื้นตัวและกลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบอีกครั้ง และเธอก็จะสามารถคว้าชัยชนะและฆ่าเขาได้ในที่สุด อาจกล่าวได้ว่าเพราะเขาควบคุมการต่อสู้ตั้งแต่เริ่มต้น และด้วยพลังที่แท้จริงและแผนหลอกล่อให้ตกใจ เขาจึงควบคุมทุกอย่างไปจนถึงตอนสุดท้าย ก่อนจะใช้สายฟ้าเทพเจ้าอสูรมืดที่น่าสะพรึงกลัวจบการต่อสู้ครั้งนี้ลง สถานการณ์ที่ความตายหายใจรดต้นคอนั้นเกิดขึ้นหลายครั้ง และมีเพียงโจวเหว่ยชิงเท่านั้นที่รู้ชัดว่าหากต้องผ่านช่วงเวลานั้นอีกครั้ง เขาก็ไม่แน่ใจเช่นกันว่าจะสามารถเอาชนะเธอได้อีกหรือไม่

ในความเป็นจริงแล้ว ตั้งแต่ตอนเริ่มต้นแม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะเป็นผู้ท้าทายปีศาจน้อยเซินก่อน แต่เขาก็ไม่เคยคิดเลยว่าจะเอาชนะอีกฝ่ายได้ หากเป็นก่อนหน้าที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะจากไป เขาก็คงจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อชนะการแข่งขัน แต่คงจะไม่ต่อสู้อย่าง ‘ไร้เหตุผล’ โดยการเปิดเผยความลับทั้งหมดที่เขามีให้โลกรู้เด็ดขาด

อย่างไรก็ตาม เมื่อซ่างกวนปิงเอ๋อร์ถูกพรากไปจากเขา สิ่งนี้ก็แผดเผาหัวใจของเขาจนต้องพิสูจน์ว่าเขามีความสามารถ มีสิทธิ์และคุณสมบัติมากพอที่จะแต่งงานกับเธอได้ ในการจะทำเช่นนั้นไม่เพียงแต่เขาต้องนำกลุ่มไปสู่ตำแหน่ง 4 อันดับแรกหรือสูงกว่าให้ได้เท่านั้น เขายังต้องพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นความแข็งแกร่งของตัวเองด้วย!

แน่นอนว่ากลุ่มตัวเต็งเช่นกลุ่มนักรบตันตุ้นจากมหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั่นคือเวทีแสดงความสามารถที่ดีที่สุดของเขา หากเขาต่อสู้กับปีศาจน้อยเซินและแสดงพลังของเขาออกมา แม้ว่าเขาจะไม่ได้รับชัยชนะหรือไม่อาจเผยไพ่ตายได้อีกในการต่อสู้ในครั้งหลังๆ แต่นั่นก็ถือว่าเพียงพอสำหรับเขาแล้ว

ดังนั้นโจวเหว่ยชิงจึงเปลี่ยนแปลงรูปแบบการต่อสู้แบบเก็บงำประกายของตัวเอง ทันทีที่การต่อสู้เริ่มขึ้น เขาก็เรียกใช้สถานะปีศาจกลายร่างทันที ในความคิดดั้งเดิมของโจวเหว่ยชิง เขาจะพยายามอยู่บนเวทีได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อจัดการและควบคุมอีกฝ่ายอย่างสุดความสามารถ และเมื่อเขาไม่อาจฝืนต่อได้อีก เขาก็จะยอมรับความพ่ายแพ้

ส่วนแผนการที่เขาบอกกับเพื่อนร่วมกลุ่มก็เป็นแผนการที่แท้จริงสำหรับบรรลุชัยชนะครั้งสุดท้ายของกลุ่ม

อย่างไรก็ตาม ปีศาจน้อยเซินก็กดดันเขามากเกินไป แค่เปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ธาตุแสงเพียงอย่างเดียวก็เกือบจะ “ฆ่าเขา” ได้แล้ว หากไม่ใช่เพราะความคิดและปฏิกิริยาตอบสนองที่รวดเร็วของเขา โจวเหว่ยชิงก็อาจเสียชีวิตที่นั่นไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็จะไม่ได้เห็นปิงเอ๋อร์อีกเลย ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ โจวเหว่ยชิงจึงเกรี้ยวกราดขึ้นมาทันที และนั่นก็จุดประกายศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในตัวเขาออกมา ในท้ายที่สุดโจวเหว่ยชิงจึงเอาชนะปีศาจน้อยเซินมาได้อย่างเหนือความคาดหมาย นั่นเป็นชัยชนะที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่คาดฝันมาก่อน

เส้นชีพจรของเขาขาดสะบั้นกว่า 3 ใน 10 ส่วน และ 7 ส่วนที่เหลือต่างก็ปริแยกออกจากกัน เช่นนี้โจวเหว่ยชิงจะยังคงอยู่ในสภาพดีๆได้อย่างไร? อาการชาหนึบทั่วร่างได้จางหายไปแล้ว แต่นอกเหนือจากศีรษะของเขาที่ยังคงอยู่ในสภาพดี ร่างกายของเขาก็ยังคงหลงเหลือความเจ็บปวดอยู่มากมาย อาการสั่นระริกของเขาดูแย่พอๆ กับที่ปีศาจน้อยเซินเป็นอยู่เลยทีเดียว

“เหว่ยชิง เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” หลินเทียนอ้าวถามอย่างเคร่งขรึม

ในเวลานั้นโจวเหว่ยชิงกำลังถูกปกคลุมไปด้วยเหงื่อเย็นๆ “บ้าเอ้ย ข้าจะไม่ใช้ทักษะนี้อีกแล้วยกเว้นแต่จำเป็นจริงๆ อ๊า เจ็บชะมัด เร็วเข้า ต่อยข้าให้สลบ ข้าทนไม่ไหวแล้ว!”

อู่หยาลดศีรษะลงมาหาเขา ใบหน้าของเธอดูมีความสุขขณะพูดอย่างเริงร่า “เหว่ยชิง ก่อนที่ข้าจะต่อยเจ้า ข้าต้องบอกเจ้าบางอย่าง พวกเรารวยแล้ว!! ฮ่าาาๆๆๆๆๆๆๆ!” เมื่อเธอระเบิดเสียงหัวเราะออกมา จากนั้นก็ฟาดมือลงตบเขาอย่างแรง โจวเหว่ยชิงไม่ทันได้มีเวลาตอบสนองใดๆ เขาพลันหมดสติกลับไปในอ้อมแขนของหลินเทียนอ้าวทันที

รวยรึ?!

จากนั้นสมาชิกที่เหลือก็จดจำการเดิมพันของพวกเขาในวันนี้ได้ทันที

*เป๊ง* เย่เป่าเปากระโจนขึ้นโขกศีรษะของเขาบนหลังคาโดยไม่ได้สนใจความเจ็บปวด *เพี้ยะ* *เพี้ยะ* *เพี้ยะ* *เพี้ยะ* เขาตบตัวเองอีก 4 ครั้ง

“อ๊ากกกก ข้านี่โง่จริงๆ!”

ขณะที่เย่เป่าเปาตบตัวเอง เขาก็กระทืบเท้าด้วยความโกรธ

เขาไม่ใช่คนเดียว นอกจากอู่หยาแล้ว สมาชิกที่เหลือทุกคนต่างก็มีสีหน้าไม่พอใจ

ในบรรดาสมาชิกกลุ่มนักรบเฟยหลี่ อู่หยานั้นน่าสงสารที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย หลังจากชนะมาตลอดตั้งแต่เริ่มต้น ในที่สุดเธอมีเงิน 30,000 เหรียญทองเสียที แน่นอนว่ามันมีสัดส่วนเล็กเท่าเมล็ดถั่วเขียวเมื่อเทียบกับสมาชิกในกลุ่มคนอื่นๆ ทว่า ในการต่อสู้ครั้งสุดท้ายนี้ทั้งเธอและโจวเหว่ยชิงต่างก็วางเดิมพันด้วยทุกอย่างที่มี ในขณะที่สมาชิกคนที่เหลือต่างเดิมพันเพียง 10,000 เหรียญทองเท่านั้น!

ไม่มีใครคาดหวังว่าพวกเขาจะชนะอย่างแท้จริง และด้วยเหตุนี้ หลังจากที่พวกเขาชนะจริงๆ และได้อู่หยาช่วยกระตุ้นความทรงจำ ในที่สุดพวกเขาจนทุกคนก็ตระหนักได้ด้วยความตกใจอย่างกะทันหันว่าอัตราต่อรองคือ 1 ต่อ 100!

กล่าวคือ…แต่ละคนได้รับรางวัล 1,000,000 เหรียญทอง!

การชนะพนันเป็นสิ่งที่ดี แต่ปัญหาคือ…มันควรจะได้มากกว่านี้อีกมหาศาล!

เหตุผลที่เย่เป่าเปารู้สึกกระวนกระวายใจมากเพราะเดิมทีเขาเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในกลุ่ม เขาอดคิดไม่ได้ว่าถ้าเขาใช้โชคลาภทั้งหมดเดิมพันเป็นเงิน 1,300,000 เหรียญทอง บางทีหลังจากวันนี้เขาอาจจะร่ำรวยกว่าคนทั้งตระกูลด้วยซ้ำ! นั่นคือเงินหนึ่งร้อยล้านเหรียญทอง! แม้แต่อาณาจักรจ้งเทียน มันก็ยังถือว่าเป็นจำนวนเงินมหาศาล!

ท้ายที่สุดแล้วสำหรับครอบครัวทั่วๆ ไป ค่าใช้จ่ายประจำปีของพวกเขาก็แทบจะไม่ถึง 10 เหรียญทองด้วยซ้ำ หากเป็นร้อยล้านเหรียญทอง…นั่นจะเป็นจำนวนมหาศาลขนาดไหน? นั่นคงเพียงพอให้ซื้อม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าได้หลายชิ้นด้วยซ้ำ!

ขณะที่เขาคิดถึงเรื่องนั้น เย่เป่าเปาจะไม่รู้สึกเสียใจได้อย่างไร

หลังจากชัยชนะครั้งนี้ อู่หยาที่มีเงิน 30,000 เหรียญทองก็ได้ยกระดับขึ้นจากการเป็นสมาชิกที่ยากจนที่สุดไปสู่คนที่ร่ำรวยที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากโจวเหว่ยชิงเท่านั้น!

แน่นอนว่าสหายที่น่ารังเกียจที่สุดคือโจวเหว่ยชิง…เพราะถึงอย่างไรเขาก็เดิมพันไปทั้งหมด 1,000,000 เหรียญทอง! กล่าวคือตอนนี้เขามีเงินร้อยล้านเหรียญทองเรียบร้อยแล้ว!

ทุกคนหันขวับไปจ้องมองโจวเหว่ยชิงเป็นตาเดียว ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าโจวเหว่ยชิงเป็นลมหมดสติไปแล้ว บางทีในเรือนพักของกลุ่มนักรบเฟยหลี่อาจจะคึกคักไปด้วยเสียงโวยวายเจี๊ยวจ๊าวและความตื่นเต้น

ในขณะที่สมาชิกทุกคนกำลังระงับความรู้สึกตื่นเต้นมีความสุขนั้น จู่ๆ เสียงฝีเท้ามากมายก็ดังออกมานอกเรือนพักของพวกเขา เมื่อหันไปมองก็เห็นซ่างกวนหลงหยินที่นำสมาชิกกลุ่มนักรบตันตุ้นมายังเรือนพักของพวกเขาและแบกปีศาจน้อยเซินที่หมดสติมาด้วย

หัวใจของกลุ่มนักรบเฟยหลี่บีบแน่นขึ้น หลินเทียนอ้าวพลันก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและพูดอย่างเคร่งขรึม “การต่อสู้จบลงแล้ว พวกท่านมาที่นี่เพื่อเหตุใด?”

บรรยากาศค่อนข้างอึดอัดและตึงเครียด ทั้งหมดเป็นเพราะผู้มีความสามารถ 2 อันดับแรกของกลุ่มนักรบตันตุ้นเสียชีวิต 1 รายและได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก 1 ราย ทำให้แทบไม่ต้องสงสัยเลยว่าความเป็นศัตรูระหว่างทั้งสองฝ่ายได้เข้าสู่ระดับที่ไม่อาจหวนคืนได้แล้ว