บทที่ 154 พบกันอีกครั้งเมื่อพรหมลิขิต
เมื่อสวมเสื้อผ้าเสร็จ เหยียนเยว่เอ๋อร์พูดออกมาเบา ๆ “พวกเราควรไปได้แล้ว”
เดิมทีที่นางมาที่แดนนานาอสูรก็เพื่อหญ้าวิญญาณ และตอนนี้แผลแห่งเทพจิตของนางนั้นก็ดีขึ้นมาประมาณสามในสิบส่วนแล้ว พลังยาของหญ้าวิญญาณก็ได้เพียงเท่านี้ ต่อให้อยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา
ถึงแม้แผลแห่งเทพจิตจะดีขึ้นมาเพียงสามส่วน ส่วนผลการฝึกตนของนางก็ฟื้นฟูระดับที่บรรลุถึงฝึกจิตขึ้นเก้าแล้ว เพียงแค่ไม่เจอผู้แข็งแกร่งระดับที่บรรลุถึงราชายุทธ์ ก็ไม่น่าจะเป็นอันตรายอะไร
พลังจากผลการฝึกตนนั้นหากต้องการฟื้นฟูจนสมบูรณ์ ต้องการยาระดับหกยาวิญญาณหยินหยางถึงจะใช้ได้
หลัวซิวก็ช่วยไม่ได้ พลังของเขายังอ่อนแอเกินไป เมื่อเทียบกับเหยียนเยว่เอ๋อร์ยังมีช่องว่างที่ไม่สามารถผ่านไปได้
ถ้าหากผู้ชายคนหนึ่ง อ่อนแอกว่าผู้หญิงของเขา ในโลกที่ผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์เป็นที่เคารพนั้น จะไปมีอนาคตได้อย่างไร?
ถ้าหากตนไม่มีพลังระดับจักพรรดิยุทธ์ เกรงว่าเมื่อออกจากแดนนานาอสูรไปแล้ว ทั้งสองจะไม่มีวันได้พบกันอีก
การไปจากแดนนานาอสูร จำเป็นต้องใช้ค่ายวาร์ปบนแท่นบูชาเก่าแก่ กลับจากพื้นที่ที่สามไปยังพื้นที่ที่สองแล้วกลับไปที่พื้นที่แรก จากนั้นจึงสามารถออกไปได้
ค่ายวาร์ปบนแท่นบูชาในพื้นที่ที่สามนั้น จำเป็นต้องใช้ผลการฝึกตนเป็นแรงกระตุ้น เวลานี้เหยียนเยว่เอ๋อร์ฟื้นฟูผลการฝึกตนแดนฝึกจิตได้พอดี ไม่จำเป็นต้องบูชาด้วยโลหิต
ตลอดทั้งทางมานี้ เหยียนเยว่เอ๋อร์ใช้พลังอัสนี บุกเข้าไปในแดนที่เหล่าอสูรกายระดับฝึกจิตยึดครองอยู่ ตามล่าลูกแก้วโลหิตระดับฝึกจิตได้ทั้งหมด16ลูก
นางเอาลูกแก้วโลหิตเหล่านี้ยื่นให้หลัวซิว พลางกล่าวว่า “ลูกแก้วโลหิตสามารถกลั่นร่างได้ แต่กลับทำให้เส้นเลือดของจอมยุทธ์เผ่าพันธุ์มนุษย์นั้นไม่บริสุทธิ์ จะส่งผลกระทบต่อการเข้าแดนต่าง ๆในภายหน้า ทางที่ดีอย่าใช้เยอะเกินไป”
เหยียนเยว่เอ๋อร์ไม่รู้ว่า ภายใต้ผลกระทบของลูกแก้วความเป็นตายนั้น หลัวซิวถือได้ว่าเป็นกรณีพิเศษของความเป็นตายสองระดับ พลังลูกแก้วโลหิตของอสูรกายจะส่งผลกระทบต่อจอมยุทธ์ทั่วไป แต่สำหรับเขาที่มีร่างกายเป็นตายสองระดับจะไม่มีผลกระทบใดใด
อาจเป็นเพราะความสัมพันธ์พิเศษระหว่างคนทั้งสอง ดังนั้นใจของหลัวซิวในเวลานี้ จึงเกิดความรู้สึกผิดต่อเหยียนเยว่เอ๋อร์
เป็นเพราะเขาอ่อนแอเกินไป ถึงแม้ว่าจะใช้ยาระเบิดเทพจิตก็ยังไม่สามารถต้านทานมังกรเจียวเขาเดียวเกล็ดม่วงได้ เพราะถ้าหากเหยียนเยว่เอ๋อร์ไม่เข้ามาช่วยเขา ก็คงจะไม่หมดสติไปอีกครั้ง และอาจจะไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในภายหลัง
จากพื้นที่ที่สาม ไปยังพื้นที่ที่สอง ถึงพื้นที่แรก …
ตลอดจนออกจากแดนนานาอสูร และได้เจอกับเทือกเขากวนเหลยอีกครั้งนั้น ระหว่างหลัวซิวกับเหยียนเยว่เอ๋อร์ต่างก็เงียบใส่กันมาตลอดทาง
“ข้าไปล่ะ”
หลังจากออกมาจากแดนนานาอสูร เหยียนเยว่เอ๋อร์ยืนอยู่ข้างกายหลัวซิว นัยน์ตาคู่งามนั้นแสดงออกถึงบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้
สามร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว แสวงหาการแก้แค้นอย่างสุดใจ เวลาผ่านไปหลายปี ไม่คาดคิดว่าจะเกิดเรื่องเหลวไหลกับเด็กหนุ่มเช่นนี้
หลัวซิวแววตาสั่นไหว เขาอยากรั้งนางไว้ แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะรั้งนางไว้
นางมีความแค้นฝีงลึกดั่งมหาสมุทร ต่อให้นางไม่ได้พูดออกมา หลัวซิวก็สามารถรู้สึกได้แต่พลังของเขานั้นอ่อนแอเกินไป ไม่สามารถช่วยอะไรนางได้เลย
“เราจะได้พบกันอีกหรือไม่” หลัวซิวเอ่ยปากถาม
“อาจได้เจอ หากวันใดที่เจ้าสามารถไปถึงแดนจักพรรดิยุทธ์ได้ หรืออาจจะไม่”
ระหว่างที่พูด เหยียนเยว่เอ๋อร์ได้หยิบหยกอสูรจันทราคู่และภาพปริศนาออกมาจากแหวนเก็บของ ส่งให้หลัวซิวพลางกล่าว “หินพลังจิต ข้ายังไม่ให้เจ้าแล้วกัน ทิ้งไว้กับข้าจะได้ใช้ประโยชน์
สำหรับหยกอสูรจันทราคู่และภาพปริศนา หลัวซิวไม่ได้ปฏิเสธ เพราะการล่าอสูรกายในแดนนานาอสูรได้รับลูกแก้วโลหิตนั้น สำหรับจอมยุทธ์ทั่วไปนั้นไม่ได้มีประโยชน์มากนักแต่สำหรับเขากลับสามารถเพิ่มความเร็วให้เลื่อนขั้นระดับที่บรรลุถึงแดนร่างเนื้อ
“ซิวหลัว นี่คงไม่ใช่ชื่อจริง ๆ ของเจ้าสินะ” เหยียนเยว่เอ๋อร์อยู่ดี ๆ ก็ถามขึ้น
“ข้าชื่อหลัวซิว”
“ข้ายังรู้สึกว่า ‘ซิวหลัว’ ชื่อนี้เพราะกว่าอยู่ดี ดับชีพเพื่อชื่อเสียง อาบเลือดคงกระพัน ข้าก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ที่ข้าจะได้เอาเลือดของศัตรู มาเซ่นท่านแม่ที่ตายไปแล้วได้” นัยน์ตาคู่งามของเหยียนเยว่เอ๋อร์สั่นไหวด้วยความเศร้าโศก
ก่อนนี้ นางคือผู้ยิ่งใหญ่ระดับจักพรรดิยุทธ์ข้ามโลก มีพลังมหาศาลเช่นนี้แล้วแต่ก็ยังล้างแค้นไม่ได้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าศัตรูของนางแข็งแกร่งเพียงใด
“หากวันใดที่พลังของข้าแข็งแกร่งขึ้น จะล้างแค้นให้เจ้าในนามของซิวหลัวเอง” หลัวซิวตอบกลับนาง
เหยียนเยว่เอ๋อร์ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ เขย่งส้นเท้ายกลอยขึ้นจากพื้น ประทับจูบลงบนริมฝีปากของหลัวซิวเบา ๆ จากนั้นก็ลอยขึ้นตัวกลางอากาศ และค่อย ๆ หายไปท่ามกลางเทือกเขากวนเหลย
“หลัวซิว แล้วพบกันอีกครั้งเมื่อพรหมลิขิต…”
หลัวซิวตกอยู่ในความเศร้าโศก นางคือจักพรรดิยุทธ์ เป็นเพราะแผลแห่งเทพจิต ผลการฝึกตนจึงได้ลดลง แต่ในที่สุดก็จะสามารถฟื้นฟูได้ และมองลงมาจากสวรรค์
แต่เขา กลับเป็นแค่พรสวรรค์ตัวเล็ก ๆ พยายามอย่างหนักยังต้องบรรลุแดนฝึกจิต
เหยียนเยว่เอ๋อร์สามารถลอยตัวกลางอากาศได้ เหล่าอสูรกายในเทือกเขากวนเหลยยังไม่กล้าประมาท แต่เขาหลัวซิวกลับต้องเดินเท้าออกไป
พลังการรับรู้กระจายออกไป ในส่วนที่ลึกเข้าไปของเทือกเขากวนเหลย มีอสูรกายระดับฝึกจิตอยู่ไม่น้อยที่ยึดครองที่แห่งนี้
สามวันต่อมา หลัวซิวเดินออกมาจากส่วนลึก เดินออกมาถึงรอบนอกของเทือกเขา
ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม อาจจะต้องใช้เวลาอีกหนึ่งวัน ถึงจะสามารถเดินออกจากเทือกเขากวนเหลยไปได้
หลัวซิวเตรียมหาที่หลบภัยก่อนมืด จากนั้นก็กลืนลูกแก้วโลหิตเพื่อยกระดับพลังของร่างเนื้อ
ร่างนั้นเดินผ่านป่าเล็ก ๆ และในการรับรู้ของหลัวซิว มีลมหายใจของจอมยุทธ์เผ่าพันธ์มนุษย์หลายคน
เขากระโดดขึ้นไปบนกิ่งไม้หนาทึบ แม้ว่าท้องฟ้าจะมืดเล็กน้อย แต่เขาก็ยังมองเห็นระยะทางไกลกว่า300เมตร
ในป่าถัดไปไม่ไกล มีร่างห้าร่างนั่งขัดสมาธิอยู่รอบกองไฟ และบนกองไฟนั้นมีอาหารย่างไว้อยู่
ในห้าคนนี้ มีผู้ชายสามคนและผู้หญิงสองคนชายวัยกลางคนคนหนึ่งตื่นตัวมากที่สุด ดูเหมือนจะตระหนักถึงสายตาที่สอดส่องอยู่ เขายืนขึ้นและหันกลับมาในทันที เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าเป็นใคร?”
เมื่อเห็นการกระทำของชายวัยกลางคน คนอื่นๆ อีกสามคนที่อยู่รอบตัวเขาก็ตื่นตัวเช่นกัน เด็กสาวคนหนึ่งที่ดูอายุน้อยที่สุดมีท่าทีตื่นตระหนก ดวงตาคู่นั้นมองไปรอบๆ
การตระหนักรู้ของชายวัยกลางคนนั้นทำให้หลัวซิวรู้สึกประหลาดใจ เห็นได้ชัดว่านี่คือนานพรานที่สั่งสมประสบการณ์มาอย่างสูง
“ข้าเพียงผ่านมาทางนี้ ไม่ได้มีเจตนาร้าย”
หลัวซิวกระโดดลงมาจากกิ่งไม้ แล้วจึงสาวเท้าเดินเข้าไป
ด้วยใบหน้าที่ค่อนข้างอ่อนวัยนั้น ดูเหมือนว่าคนเหล่านี้จะได้คลายความระมัดระวังลงเล็กน้อย แต่ชายวัยกลางคนที่ดูเป็นผู้นำยังคงหน้านิ่วขมวดคิ้ว “น้องชาย มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”
ภูเขาที่แห้งแล้งและป่าดิบสามารถเห็นการฆ่าได้ทุกที่ นายพรานที่ช่ำชองทุกคน ต้องดิ้นรนจากเส้นกั้นระหว่างชีวิตและความตายทีละก้าว ไม่ว่าชายหนุ่มตรงหน้าจะคิดร้ายหรือไม่ก็ตาม ชายวัยกลางคนก็ไม่ต้องการมีปฏิสัมพันธ์กับคนแปลกหน้าในป่า เว้นเสียแต่ว่าจะจำเป็น
“ลุงหยาง ระแวงเกินไปแล้ว ดูเขาสิอายุน่าจะไม่ห่างจากข้าเท่าไรนัก” เด็กสาวที่อยู่ในกลุ่มพึมพำขึ้นมา
“คุณหนู ท่านสัมผัสโลกนี้น้อยเกินไป ไม่รู้จักความชั่วร้ายของจิตใจคน” ชายวัยกลางคนพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย แต่สายตานั้นจับจ้องอยู่ที่หลัวซิวไม่ละสายตา。
หลัวซิวสามารถเข้าใจความรอบคอบของชายวัยกลางคนได้ นี่คือการรับประกันความปลอดภัยสำหรับนายพรานที่มีคุณสมบัติในการอยู่รอดในป่า
“ขอโทษที่รบกวน ข้าขอตัว” เขากล่าวพลางยกมือขึ้นคำนับ หลัวซิวกระโดดขึ้นและหายเข้าไปในป่าอันมืดมิด
เช่นเดียวกับกลุ่มนายพรานทั้งห้าในตอนนี้ ท่ามกลางเทือกเขากวนเหลยที่พบมากที่สุด ด้วยพลังสายตาของหลัวซิว เป็นธรรมดาที่จะเห็นได้ว่า เหตุที่ชายวัยกลางคนมีความระแวดระวังอย่างสูงนั้น คงหนีไม่พ้นเด็กสาวที่อยู่ในกลุ่มคนนั้น
เห็นได้จากสรรพนามที่ชายวัยกลางคนใช้เรียกสาวน้อยในกลุ่มว่า ‘คุณหนู’ พวกเขาทั้งสี่คน คงจะพาคุณหนูออกมาสัมผัสประสบการณ์รอบนอกเทือกเขากวนเหลย
หากไม่ได้รับการคุ้มครองจากกลุ่มชายวัยกลางคน คงจะเป็นเรื่องยากมากสำหรับหญิงสาวที่อ่อนประสบการณ์ เพื่อเอาชีวิตรอดในโลกนี้