วันถัดมาถือว่าอากาศแจ่มใส เพราะเป็นต้นฤดูร้อนแล้ว อากาศจึงค่อยๆ ร้อนขึ้นมา
พระอาทิตย์เจิดจ้าอยู่บนท้องฟ้า จั๊กจั่นบนยอดไม่ส่งเสียงร้องอย่างไม่รู้จบ
เห็นเพียงมีรถม้าคันหนึ่งกำลังวิ่งทะยานไปทางด้านหน้าอย่างช้าๆ สุดท้ายหยุดลงด้านล่างภูเขาสูงลูกหนึ่ง
ทันใดนั้นมีหญิงสาวรูปโฉมดุจบุปผาสองคนกระโดดออกมาจากรถม้า
เห็นเพียงหญิงสาวคนหนึ่งสวมชุดสีน้ำเงินอ่อน ท่าทางอายุประมาณสิบหกสิบเจ็ดปี หน้าตาจิ้มลิ้มอ่อนช้อย
ส่วนหญิงสาวอีกคนกลับสวมกระโปรงหลัวฉวินสีขาว ใบหน้าดุจดอกฝูหรง (ดอกชบา) ผิวขาวหมดจด อวัยวะทั้งห้าบนใบหน้าประณีต เมื่อเธอเพียงยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้น แต่ปิดบังความงามล่มเมืองนั้นไว้ไม่ได้
ดังนั้นเมื่อหญิงสาวใบหน้าดุจบุปผาสองคนยืนอยู่ด้านล่างภูเขา ย่อมดึงดูดสายตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา
และหญิงสาวสองคนนี้ ไม่ใช่ผู้ใดคือเล่อเหยาเหยาและฉีอิงอิง ที่มาขอพรที่วัด
ดวงตาคู่งามเงยขึ้น เล่อเหยาเหยามองภูเขาเขียวขจีลูกนี้
ลือกันว่าวัดเจ้าแม่กวนอิมแห่งนี้ โด่งดังที่สุดในต้าหลี่ ดังนั้นจึงดึงดูดผู้คนมาขอพรจำนวนไม่น้อย
และวัดเจ้าแม่กวนอิม ก็ตั้งอยู่บนกลางยอดเขาแห่งนี้
เมื่อทอดสายตามองไป เห็นเพียงยอดเขาเรียงรายอยู่รอบด้าน คดเคี้ยวไปมา มองไกลออกไป ดุจริบบิ้นสีทองปลิวไสวทะลุเมฆลงมา
เวลานี้บนเขานั้น เต็มไปด้วยผู้คนขึ้นเขาลงเขาจำนวนไม่น้อย
ด้านล่างผู้คนพลุกพล่าน คึกคักยิ่งนัก
เห็นเช่นนั้น ฉีอิงอิง ที่อยู่ด้านข้างอดอุทานออกมาไม่ได้
“วัดเจ้าแม่กวนอิมแห่งนี้ต้องศักดิ์สิทธิ์มากเป็นแน่ จึงดึงดูดผู้คนมากราบไหว้มากมายเช่นนี้”
เล่อเหยาเหยาได้ยิน เพียงเอ่ยปากเสียงเบาขึ้น
“ศักดิ์สิทธิ์หรือ ขอให้เป็นเช่นนั้นเถิด”
เห็นเล่อเหยาเหยามาที่นี่ แต่ยังคงคล้ายไร้วิญญาน ฉีอิงอิง มองอย่างจนใจ
แต่เพื่อให้เล่อเหยาเหยาสบายใจ เธอจึงชวนเล่อเหยาเหยาพูดคุยไม่หยุด ก่อนทั้งสองคนจะเดินขึ้นไป
เพราะวัดเจ้าแม่กวนอิมแห่งนี้ตั้งอยู่กลางไหล่เขา รถม้าจึงไม่สามารถขึ้นไปได้ ดังนั้นทุกคนจึงเดินเท้าขึ้นไปจากเชิงเขา
สำหรับเรื่องนี้ เล่อเหยาเหยาและฉีอิงอิง ต่างไม่รู้สึกเช่นใด
เพราะทุกคนต่างมีวรยุทธ์ การเดินทางเล็กน้อยเช่นนี้ ปกติแล้วถือว่าไม่หนักหนา นอกจากสูดอากาศดีบนเขาแล้ว ยังสามารถชมทิวทัศน์บนเขาได้อีกด้วย
หลังผ่านไปหนึ่งชั่วยาม เล่อเหยาเหยาและฉีอิงอิง ก็มาถึงภายในวัดเจ้าแม่กวนอินบนไหล่เขา
เห็นเพียงวันนี้ ภายในวัดเจ้าแม่กวนอิมที่มาสักการะกราบไหว้ ผู้คนพลุกพล่าน ยังไม่ได้เดินเข้าไปก็ถูกควันธูปทำให้แสบตาน้ำตาไหล
หลังพวกเธอจุดธูปกราบไหว้ขอพรเสร็จ ไม่อยู่ภายในวัดนาน เพียงออกมาเดินรอบๆ วัด ก่อนเดินลงเขาไป
ทุกคนต่างเอ่ยว่าลงเขาง่ายกว่าขึ้นเขา ไม่นาน เล่อเหยาเหยาและฉีอิงอิง ก็เดินลงมาถึงด้านล่างเชิงเขา
ผู้คนลงเขาและขึ้นเขาขอพรต่างพลุกพล่าน รถม้าจอดเรียงราย เดินขวักไขว่กันไม่ขาดสาย
และเห็นเชิงเขามีโรงน้ำชาแห่งหนึ่ง
เมื่อครู่เดินทางมาเป็นเวลานาน พวกเล่อเหยาเหยาจึงรู้สึกเหนื่อยล้า ดังนั้นเมื่อเห็นมีโรงน้ำชาตั้งอยู่ตรงนั้น ฉีอิงอิง เสนอให้ไปดื่มชาดับกระหายก่อน แล้วค่อยเดินทางกลับ สำหรับเรื่องนี้เล่อเหยาเหยาย่อมเห็นด้วย
เพราะเมื่อครู่เดินเป็นเวลานาน เธอจึงทั้งเหนื่อยและหิวกระหาย
แต่เพราะโรงน้ำชานี้เป็นร้านเดียวที่ขายน้ำชาที่ด้านล่างภูเขา ดังนั้นกิจการจึงดีเป็นพิเศษ เมื่อเดินเข้ามาด้านในโรงน้ำชา เหลือบมองไปเห็นภายในไร้ที่ว่าง
โชคดีที่เพิ่งมีคนลุกจากไป เล่อเหยาเหยาและฉีอิงอิง เห็นเช่นนั้น ก็ไม่สนใจว่าต้องร่วมโต๊ะกับผู้อื่น เพียงมีที่นั่งก็ดีมากแล้ว
โดยเฉพาะคนที่นั่งกับพวกเธอคือชายหนุ่มสองคน
เมื่อนั่งกับพวกเล่อเหยาเหยาที่รูปโฉมงดงามหยดย้อยเช่นนี้ ถือเป็นความหวังยิ่งนัก!
ดังนั้นหลังจากพวกเล่อเหยาเหยานั่งลง จึงอยากจะชวนสนทนาไม่หยุด แต่เล่อเหยาเหยาไม่สบอารมณ์ หลังนั่งลงทำหน้าเย็นชาตลอดเวลา มีเพียงฉีอิงอิง เห็นผู้อื่นพูดคุยกับพวกตนไม่หยุด หากไม่พูดคงเสียมารยาท จึงเอ่ยขึ้นเป็นครั้งคราว
ไม่นานน้ำชาที่พวกเล่อเหยาเหยาสั่งไปถูกลำเลียงขึ้นโต๊ะ เล่อเหยาเหยาดื่มน้ำชา และนั่งอยู่ตรงนั้นรอฉีอิงอิง
ทันใดนั้น กลับได้ยินเสียงอ่อนหวานดังขึ้นมาจากโต๊ะทางด้านหลัง
“พี่เหลิ่ง หิวน้ำหรือไม่ มาดื่มน้ำชาก่อนเถิด”
“พี่เหลิ่ง ดูหน้าผากท่านเต็มไปด้วยเหงื่อ มา ข้าช่วยซับให้”
เมื่อได้ยินคำพูดของหญิงสาวนี้ แม้ไม่หันไปมองก็รู้ว่าหญิงสาวผู้นี้ต้องหลงรักพี่เหลิ่งของเธอมากแน่นอน
เพราะเพียงเป็นคนที่ตนรัก จึงห่วงใยทุกเรื่องของคนผู้นั้น
เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ ทำให้เล่อเหยาเหยาสั่นไหวในใจเล็กน้อย
เพราะครั้งหนึ่งเธอก็เป็นเช่นหญิงสาวทางด้านหลังคือตกหลุกรัก จากนั้นอยู่กับชายที่ตนรัก
ห่วงใยชายหนุ่มที่ตนรักตลอดเวลา
ขณะนั้นอวี๋อยู่ข้างกายเธอ เธอคิดว่าตนคือหญิงสาวโชคดีที่สุดบนโลก
และขณะนั้นเธอยังคิดว่าอนาคตของเธอ จะงดงาม เบิกบานใจ มีความสุขดังเช่นในวันนั้น แต่…
วันแห่งความสุขสั้นยิ่งนัก ความโชคร้ายเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว อวี๋จากเธอไปเช่นนี้
ผ่านไปห้าปีแล้ว เดิมทีคิดว่าใจจะไม่เจ็บปวดอีก คิดว่าอวี๋ตายไปแล้ว แต่สวรรค์กลับพาอวี๋มาอยู่ข้างกายเธอ กลับเข้ามาในชีวิตของเธออีกครั้ง แต่สวรรค์กลับเล่นตลก เธอยังไม่ได้เจอหน้าอวี๋ อวี๋กลับ…
พอคิดถึงตรงนี้ ในใจเล่อเหยาเหยาเจ็บปวดดุจถูกมีดเฉือน อวี๋ อวี๋ของเธอ ท่านอยู่ที่ใดกันแน่!
ขณะเล่อเหยาเหยาเศร้าโศกในใจ กลับได้ยินเสียงหญิงสาวอันไพเราะอีกคนด้านหลังดังขึ้นมา
“ท่านพี่ ตอนนี้ท่านเอาแต่ห่วงใยพี่เหลิ่งของท่าน ไม่สนใจน้องสาวผู้นี้เลยหรือ ท่านพี่ข้าก็คอแห้งเช่นกัน หน้าผากของข้าเต็มไปด้วยเหงื่อ แต่ไม่เห็นท่านช่วยซับให้ข้าเลย”
เมื่อได้ยินเสียงแฝงความออดอ้อนหลายส่วนนี้ และคล้ายคุ้นหูหลายส่วน แต่เล่อเหยาเหยาพลันกลับลืมเลือนว่าเคยได้ยินเสียงนี้ที่ใด
ขณะเล่อเหยาเหยาสงสัยในใจ แต่เสียงที่ดังขึ้นต่อมา เมื่อได้ยินกลับทำให้เธอดุจถูกฟ้าผ่า ตะลึงงันอยู่ตรงนั้น
“เช่นนั้นไซหย่า ชาแก้วนี้เจ้าดื่มก่อนเถิด”
ประโยคสั้นๆ น้ำเสียงแฝงไปด้วยความทุ้มต่ำแหบพร่าหลายส่วนอันคุ้นเคยนี้ หลังเสียงชายหนุ่มนั้นเอ่ยจบ เล่อเหยาเหยาไม่ได้ยินเสียงผู้อื่นอีก
ในใจคล้ายถูกค้อนทุบเข้าไปอย่างรุนแรง จนสั่นไหว
เล่อเหยาเหยาไม่รู้ตนหมุนตัวกลับไปและยืนขึ้นตั้งแต่เมื่อใด ทว่าเมื่อสายตาของเธอตกไปที่ร่างกายของชายหนุ่มด้านหลังนั้น ร่างกายคล้ายโง่งมอย่างที่สุด
เห็นเพียงชายผู้นี้ รูปร่างสูงใหญ่ องอาจผึ่งผาย คิ้วกระบี่โค้งงอน ดวงตาเย็นชาลึกล้ำ จมูกโด่งริมฝีปากบาง ใบหูกาง โดดเด่นท่ามกลางฝูงชน
แม้จะสวมชุดธรรมดา ทว่ากลับยากที่จะปิดบังความสูงส่งน่าเกรงขามที่มีติดตัวมา!
และคนผู้นี้ไม่ใช่ผู้ใด แต่คือ
“อวี๋ เป็นท่าน เป็นท่านจริงๆ!”
เล่อเหยาเหยาเบิกดวงตากลมโตคู่งามอย่างไม่เชื่อสายตา จากนั้นเอ่ยพึมพำสุดท้ายแทบตะโกนดีใจขึ้นมา
ดวงตาคู่งามไร้ชีวิตชีวา เวลานี้ค่อยๆ ถูกเติมเต็มไปด้วยความดีใจ
และริมฝีปากสั่นเทาคู่นั้น ยิ่งฉีกกว้างมากขึ้นเพราะดีใจ
“อวี๋ เป็นท่านจริงๆ ในที่สุดข้าตามหาท่านพบแล้ว!”
เล่อเหยาเหยาทั้งดีใจและตื่นเต้น ทันใดนั้นสองมือยื่นออกไปหมายกอดชายหนุ่มตรงหน้า เพราะเธออยากมั่นใจว่าเป็นเขาตัวจริง เขายังมีชีวิต เขายังไม่ตาย!
แต่ความดีใจทั้งหมดของเล่อเหยาเหยา หลังประโยคถัดมาของชายหนุ่มกลับแข็งค้างอย่างที่สุด
“เจ้า คือผู้ใดหรือ ข้ารู้จักเจ้าหรือ!”
…………………………………………………………………………………..