เล่มที่ 9 บทที่ 261 ชีวิตอันแสนวุ่นวาย

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

สายตาของหลินเมิ้งหยาเจือไว้ซึ่งความรู้สึกอาลัยอาวรณ์

นางรู้อยู่แล้วว่าสักวันหนึ่งวันนี้ต้องมาถึง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะรวดเร็วถึงเพียงนี้

“ก็ได้ แต่ก่อนที่เจ้าจะไป ข้าหวังว่าข้าจะได้พบกับคนที่จะพาตัวเจ้าไปก่อน เจ้าเป็นน้องชายของข้า หากคนเหล่านั้นทำเพียงเพื่อหลอกใช้เอาผลประโยชน์จากเจ้า เช่นนั้นต่อให้พวกเขามานะเช่นไร ข้าก็ไม่มีวันยอมปล่อยให้พวกเขาพาตัวเจ้าไปเป็นอันขาด”

หลินเมิ้งหยาเห็นภาพการตายอย่างอเนจอนาถของคนทั้งห้าเองกับตา

นางไม่อยากเห็นหลินจงอวี้ต้องพบจุดจบเช่นเดียวกัน ซินหลีเป็นพวกโรคจิต เพื่อปกป้องตำแหน่งของตนเอง เขาไม่มีทางปล่อยหลินจงอวี้ไปง่ายๆ อย่างแน่นอน

หากเขากลับไปยังเมืองเลี่ยหยุนตี้ นางจะไม่สามารถปกป้องเสี่ยวอวี้ได้อีกต่อไป ดังนั้นหลินเมิ้งหยาจะไม่มีทางปล่อยให้ใครข่มขู่เสี่ยวอวี้ได้เป็นอันขาด

“คือ…”

เสี่ยวอวี้ชำเลืองมองหลินเมิ้งหยาด้วยท่าทางลำบากใจ ราวกับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องยาก

หลินเมิ้งหยาถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะย้ำเสียงเข้ม

“คนเหล่านั้นต้องรู้อย่างแน่นอนว่าข้าไม่มีทางปล่อยเจ้าไปง่ายๆ เจ้าจงกลับไปปรึกษาหารือกับพวกเขาก่อน พวกเขาไม่มีทางปฏิเสธอย่างแน่นอน ไปเถิด”

หลินเมิ้งหยาช่วยสวมเสื้อคลุมให้กับหลินจงอวี้ มองดูเด็กหนุ่มที่ใกล้จะสูงกว่านางเต็มที หลินเมิ้งหยารู้สึกโศกเศร้าเล็กน้อย

“ขอรับ ข้าจะไปคุยกับพวกเขาเดี๋ยวนี้ พี่สาว…ข้าไม่อยากจากท่านไป”

ใบหน้างดงามราวกับหยกเจือไว้ซึ่งความหวังเล็กน้อย ดวงตาสีดำขลับเปล่งประกาย

อ้าแขนออกแล้วโอบกอดหลินเมิ้งหยา ซุกศีรษะลงบนบ่าเล็กๆ ของนาง ก่อนจะส่งเสียงอู้อี้

“พี่สาว หากท่านอยู่ที่นี่แล้วไม่มีความสุข ข้าสามารถพาท่านกลับไปด้วยได้ ข้าสามารถ…สามารถมอบชีวิตสุขสบายที่สุดให้กับท่านได้ที่เมืองเลี่ยหยุน”

หลินเมิ้งหยาผงะ มุมปากหยักยิ้มขมขื่นเล็กน้อย

นางคิดมาตลอดว่าตนเองเก็บซ่อนความรู้สึกที่แท้จริงเอาไว้อย่างมิดชิดแล้ว เหตุใดเสี่ยวอวี้จึงมองออกกันนะ?

“อันที่จริง ข้ามิได้มีความทุกข์แต่อย่างใด เสี่ยวอวี้ นับตั้งแต่วันที่ข้าเกิดในสกุลหลิน ชีวิตของข้าก็มิใช่ของข้าอีกต่อไป เจ้าเข้าใจหรือไม่?”

คุณหนูใหญ่สกุลหลิน ชายาอวี้ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใด นางก็ไม่อาจใช้ชีวิตได้ตามใจปรารถนาอีกต่อไป

“แต่พี่สาว…ท่านไม่มีความสุข! ข้ามองออก หลงเทียนอวี้ปฏิบัติกับท่านไม่ดีเลยแม้แต่น้อย เขาหลอกใช้ประโยชน์จากท่าน”

เสี่ยวอวี้กอดรัดหลินเมิ้งหยาแน่น ก่อนจะส่งเสียงกร้าว

ทว่าหลินเมิ้งหยากลับหัวเราะ หากพูดถึงการหาผลประโยชน์ต่อกันแล้วล่ะก็ นางเองก็กำลังใช้ประโยชน์จากหลงเทียนอวี้เพื่อปกป้องบ้านสกุลหลินมิใช่หรือ?

บางทีคนในราชวงศ์ก็ล้วนเป็นเช่นนี้

“เอาล่ะ ตอนนี้ผ่านวันงานเทศกาลฤดูหนาวมาแล้ว อีกไม่นานก็จะถึงวันสิ้นปี นี่เป็นปีแรกที่เจ้าจะได้อยู่ข้ามปีกับข้า หากเจ้าต้องการกินอะไร อยากได้อะไร พี่สาวคนนี้จะเติมเต็มความต้องการของเจ้าเอง”

หลินเมิ้งหยามองดูเด็กหนุ่ม เมื่อดูจากอายุของเขา ตอนนี้เขาก็ยังเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง ทว่าบ่าของเขากลับต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้ง

นางพอจะเดาฐานะของหลินจงอวี้ได้แล้ว แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่มีหลักฐานที่จะยืนยัน

แต่ไม่ว่าอย่างไร ขอเพียงเสี่ยวอวี้ยังอยู่ในต้าจิ้นแม้เพียงวันเดียว เขาก็จะยังเป็นน้องชายของนาง เป็นลูกบุญธรรมของสกุลหลิน

เรื่องนี้ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

มองดูเสี่ยวอวี้ที่เดินๆ หยุดๆ พร้อมทั้งหันหลังกลับมามอง หลินเมิ้งหยารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

ตอนแรกนางคิดเพียงว่าได้รับเด็กคนหนึ่งมาเลี้ยงไม่ต่างอะไรจากแมวหรือสุนัข แต่ตอนนี้เขากลับเติบโตขึ้นมากและกำลังจะจากไป

โลกใบนี้ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย

ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามการคาดการณ์ของหลินเมิ้งหยา

คนในเมืองหลวงไม่มีใครรู้เรื่องการมาเยือนของซินหลี

ต่อมา นางเดินทางไปที่ต้นไม้ใหญ่ที่เคยแขวนซากศพต้นนั้น ปรากฏว่าศพที่น่าเวทนาเหล่านั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย แม้แต่รอยเลือดก็มิปรากฏให้เห็น

ทั้งทหารยาม ทหารเฝ้าประตูเมือง กองทัพล้วนยังคงปกป้องเมืองหลวงเป็นปกติ หลินเมิ้งหยาประหลาดใจเล็กน้อย ตอนแรกนางคิดว่าจะต้องมีคนพบเห็นเรื่องนี้บ้าง

แต่ถึงกระนั้น การต่อสู้อย่างลับๆ ยังคงดำเนินต่อไป

เพียงพริบตาเดียว เวลาก็ล่วงเลยไปแล้วครึ่งเดือน ยิ่งใกล้ถึงช่วงสิ้นปี งานที่หลินเมิ้งหยาต้องรับผิดชอบก็มีมากขึ้น

“นายหญิง นี่เป็นชุดพิธีการที่ทางวังหลวงส่งมาเจ้าค่ะ ท่านลองดูเถิดว่ายังต้องปรับแก้ตรงไหนหรือไม่?”

“นายหญิง นี่คือของขวัญที่ทางวังหลวงส่งมามอบให้ ท่านได้โปรดตรวจสอบดูก่อนเถิด จากนั้นค่อยจัดเก็บเจ้าค่ะ”

“นายหญิง พวกชาวนานำของขวัญมามอบให้ ท่านคิดว่าต้องเตรียมของขวัญตอบแทนหรือไม่?”

………..

หลินเมิ้งหยาพลันรู้สึกสงสัยว่าเพราะเหตุใดงานการมากมายจึงมักมารุมเร้าช่วงสิ้นปี?

“พวกเจ้าจัดการเรื่องเหล่านี้เองเลยก็ได้ จริงสิ ป๋ายซ่าวเล่า? นางเป็นผู้ดูแลเรื่องพวกนี้มิใช่หรือ?”

หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จ หลินเมิ้งหยาถูกรั้งตัวไว้ที่นี่

“ยังจะพูดอีก นายหญิงสั่งให้ป๋ายซ่าวไปเตรียมของขวัญตอบแทนแต่ละจวนมิใช่หรือเจ้าคะ?”

ภายในห้องเหลือเพียงป๋ายจื่อคอยรับใช้แค่คนเดียว แม้แต่ป๋ายซูเองก็ถูกป๋ายจีตามไปช่วยยกของ คนในจวนอวี้กำลังยุ่งวุ่นวายจนจวนแห่งนี้คึกคักไม่ต่างจากตลาดสด

ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ล้วนเข้ามารายงานหลินเมิ้งหยาทั้งสิ้น จนตอนนี้หัวสมองของนางใกล้จะระเบิดเต็มที

ป๋ายจื่อปิดปากหัวเราะ น้อยครั้งนักที่จะได้เห็นนายหญิงยุ่งวุ่นวายขนาดนี้

“ยัยเด็กน้อย ยังจะมัวหัวเราะอีก รีบไปดูโรงครัวเถิดว่าเตรียมน้ำแกงให้ท่านอ๋องเรียบร้อยแล้วหรือไม่”

ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับหลงเทียนอวี้ในเวลานี้ อืม จะพูดอย่างไรดีนะ ตอนนี้เขาย้ายมาอยู่เรือนเดียวกันกับนางแล้ว แต่หลงเทียนอวี้นอนที่ห้องด้านนอก ส่วนนางนอนห้องด้านใน

เหล่าข้ารับใช้ล้วนคิดว่าท่านอ๋องและพระชายากำลังดื่มด่ำความรักอันหวานชื่น บางทีหลังจากผ่านปีนี้ไป จวนแห่งนี้อาจจะมีนายน้อยเพิ่มมาก็ได้

หลินเมิ้งหยาไม่คิดอธิบายเรื่องนี้ ซ้ำยังไร้เรี่ยวแรงที่จะอธิบาย สุดท้ายทำเพียงปิดหูปิดตา ราวกับไม่รู้ไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น

“นายหญิง ท่านอ๋องสั่งให้ข้าน้อยมาช่วยเหลืองานท่าน ท่านโปรดพักผ่อนอย่างเต็มที่เถิดขอรับ”

พ่อบ้านเติ้งเดินเข้ามาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ไม่ว่าใครจะพูดอะไร หญิงสาวตรงหน้าคือนายหญิงแห่งจวนนี้ที่แท้จริง

ครึ่งปีที่ผ่านมา ทั้งคุณหนูเจียง คุณหนูรอง หรือแม้แต่องค์หญิงหมิงเยว่แห่งซีฟานก็ล้วนอันตรธานหายไปหมดแล้ว ตอนนี้มีเพียงหญิงสาวตรงหน้าเพียงคนเดียวเท่านั้นที่กุมกำนาจและชะตาชีวิตของทุกคนเอาไว้

“ลำบากเจ้าแล้ว งานเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ทำเอาข้าเกือบหมดแรงตาย ป๋ายซ่าวเองก็ไม่เห็นใจข้าเลย นางเอางานทั้งหมดมอบให้ข้าแต่เพียงผู้เดียว”

หลินเมิ้งหยาอดที่จะชื่นชมความสามารถในการจัดการงานในจวนของพ่อบ้านเติ้งไม่ได้

ทางฝั่งตำหนักหยาเสวียนยังคงเงียบสงบ แม้แต่เจียงหรูฉินเองก็ถูกรับตัวกลับไป เมื่อวานตอนที่ไปถวายพระพรพระสนมเต๋อเฟย อีกฝ่ายทำเพียงพยักหน้าเท่านั้น

ได้ยินมาว่าสกุลเจียงหาคู่ดูตัวเอาไว้ให้นางแล้ว หลังจากผ่านปีนี้ไป นางก็จะต้องแต่งงานออกเรือน แม้คู่หมั้นจะมิได้ร่ำรวยเหมือนหลงเทียนอวี้ แต่ถึงกระนั้นเขาก็เป็นคุณชายจากชนชั้นสูงอันดับหนึ่งของเมืองหลวง

นางควรจะรู้จักคำว่าเพียงพอ

“แม่นางป๋ายซ่าวยุ่งจนปลีกตัวออกมาไม่ได้ขอรับ นายหญิงสั่งสอนนางเป็นอย่างดี เวลาเพียงไม่นานนางสามารถจัดการงานได้อย่างคล่องแคล่ว หากเป็นคนอื่น อาจทำได้ไม่ดีเท่านาง”

คำชมเชยของพ่อบ้านเติ้งเป็นเรื่องจริง ครึ่งปีที่ผ่านมา มีเพียงสาวใช้ของหลินเมิ้งหยาทั้งสี่ที่มีพัฒนาการดีขึ้นมาก

มิใช่เพียงเพราะงานยุ่งเหยิงในตอนนี้ แม้แต่เวลาปกติหลินเมิ้งหยาเองก็ไม่จำเป็นต้องคอยกำชับ เหตุเพราะพวกนางสามารถจัดการงานได้ด้วยตนเอง

“เอาล่ะ ข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว นี่ก็ใกล้จะสิ้นปี ข้าเองก็ควรจะไปจัดการอะไรสักหน่อย”

ภายในคุกใต้ดิน การศึกษาของท่านอาจารย์ป๋ายหลี่รุ่ยก้าวหน้าเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นฮูหยินหวังที่เกือบเอาชีวิตไม่รอดในตอนนั้นเองก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว

ท่านอาจารย์เล่าว่าอาการของฮูหยินหวังดีขึ้นมาก แต่ก็มักจะโวยวายขอพบนาง

นางที่เป็นเจ้าบ้านเองก็ควรจะไปพบฮูหยินหวังดูสักครา

แม้จะมีคนเข้าออกจวนเป็นจำนวนมาก แต่ถึงกระนั้นประตูทางเข้าออกคุกใต้ดินกลับไม่มีแม้แต่เงาของคนนอก

เหล่าองครักษ์ล้วนรู้ดีว่าหลินเมิ้งหยาคือชายาอวี้ อีกทั้งยังรู้ดีอีกด้วยว่าสาเหตุที่ตาเฒ่าในคุกใต้ดินยอมรักษาอาการบาดเจ็บของพวกเขาก็เพราะหลินเมิ้งหยา

ดังนั้นพวกเขาจึงสำนึกบุญคุณของหลินเมิ้งหยายิ่งนัก

คุกใต้ดินมีคนอยู่ไม่มากนัก หลินเมิ้งหยามิได้ตรงไปยังห้องของป๋ายหลี่รุ่ยในทันที นางเหลียวซ้ายแลขวาก่อนจะเดินมาถึงห้องลับขนาดใหญ่ห้องหนึ่ง

ภายในมีชายคนหนึ่งถูกโซ่ตรวนพันธนาการเอาไว้ ช่องว่างเล็กๆ มีแสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามา

ชายคนนั้นหรี่ตาลง ราวกับว่ากำลังรับแสงเหล่านั้น

“เป็นอย่างไรบ้างคุณชายอู๋เฉิน”

หลินเมิ้งหยากระตุกยิ้ม มองดูชายที่เนื้อตัวสกปรกตรงหน้า

นางรู้เพียงว่าป๋ายหลี่อู๋เฉินหักหลังหลงเทียนอวี้จึงถูกจับตัวเอาไว้ที่นี่ ตอนที่ได้ยินข่าวนี้ นางตกตะลึงเป็นอย่างมาก

เหตุเพราะป๋ายหลี่อู๋เฉินเป็นหนึ่งในคนสนิทของหลงเทียนอวี้ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นคนฉลาดเฉลียวมาก ดังนั้นหลินเมิ้งหยาจึงรู้สึกว่ามันไม่สมเหตุสมผลเลยแม้แต่น้อยที่คนอย่างเขาทรยศหักหลังหลงเทียนอวี้

สายตาของป๋ายหลี่อู๋เฉินหันมามองหลินเมิ้งหยา

หญิงสาวตรงหน้าสวมผ้าคลุมสีฟ้า ใบหน้างดงามรูปไข่ แย้มยิ้มสง่างาม ทว่าสำหรับเขามันไม่มีความหมายใดๆ

“เจ้าชนะแล้ว”

เสียงแหบพร่าฟังออกยากถูกส่งออกมา ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่น ราวกับว่าตลอดหลายวันที่ผ่านมาเขาสูญเสียเรี่ยวแรงทั้งหมดไปแล้ว

“พวกเรายังไม่เคยสู้กัน เช่นนั้นเจ้าตัดสินชัยชนะด้วยสิ่งใด?”

จนกระทั่งตอนนี้หลินเมิ้งหยาก็ยังไม่เข้าใจว่านางไปสร้างความขุ่นเคืองให้กับป๋ายหลี่อู๋เฉินตั้งแต่ตอนไหน