นับตั้งแต่วันที่แต่งงานเข้าจวน นางมิเคยเกี่ยวข้องกับป๋ายหลี่อู๋เฉินมาก่อน แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดชายคนนี้จึงเกลียดชังนางมากมายนัก
หรือคนฉลาดมักไร้เหตุผล?
จู่ๆ ความคิดพิศวงพลันเกิดขึ้นในสมองของหลินเมิ้งหยา…หรือป๋ายหลี่อู๋เฉินจะชอบเพศเดียวกัน?
แม้จะคิดเช่นนี้ แต่หลินเมิ้งหยากลับรู้ดีว่าความภักดีของป๋ายหลี่อู๋เฉินที่มีต่อหลงเทียนอวี้หาใช่สิ่งที่นางจะสามารถเข้าใจได้
แต่การหักหลัง…หลินเมิ้งหยาอาจเข้าใจ ความสัมพันธ์ระหว่างป๋ายหลี่อู๋เฉินและหลงเทียนอวี้มิน่าจะสั่นคลอนอย่างง่ายดายเช่นนี้
หรือจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกัน?
“นารีเป็นเหตุ! หญิงงามนำมาซึ่งหายนะ! หลินเมิ้งหยา สักวันหนึ่งเจ้าจะทำลายเขาด้วยมือของเจ้าเอง! เจ้าปล่อยเขาไปเถิด เขาแบกความหวังของทุกคนเอาไว้!”
ป๋ายหลี่อู๋เฉินส่งเสียงอ้อนวอน ทว่าหลินเมิ้งหยากลับส่ายหน้า
“นับตั้งแต่สมัยโบราณแล้วที่คนมักโยนความผิดให้แก่หญิงสาว หากหลงเทียนอวี้เป็นชายที่ทำตัวเหลวไหลเพราะผู้หญิง เช่นนั้นเหตุใดพวกเจ้าจึงมอบชีวิตเพื่อแลกกับความภักดีต่อเขาเล่า?”
นักรบย่อมตายแทนได้เพื่อสหายรัก หลินเมิ้งหยาเข้าใจเรื่องนี้ดี
นางมิอาจเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างป๋ายหลี่อู๋เฉินและหลงเทียนอวี้ได้ อีกทั้งตอนนี้ดูเหมือนจะไม่จำเป็นต้องใช้เหตุผลอีกต่อไป
“หลินเมิ้งหยา! สักวันเจ้าจะทำลายเขาด้วยมือของเจ้า!”
ป๋ายหลี่อู๋เฉินร้องตะโกนด้วยเสียงอันแหบแห้ง เขาเหมือนสัตว์ร้ายที่ได้รับบาดเจ็บและบ้าคลั่ง
หลินเมิ้งหยาหมุนตัวแล้วเดินจากไป อันที่จริงนางรู้สึกเสียดายเล็กน้อย คนฉลาดอย่างป๋ายหลี่อู๋เฉินใช่จะหาได้ง่ายๆ
พริบตาเดียวนางก็เดินมาถึงคุกใต้ดินของท่านอาจารย์ ยังไม่ทันจะเข้าไป นางก็ได้ยินเสียงก่นด่าของท่านอาจารย์ดังลอดออกมา
“เจ้าขยะ! นี่เจ้ากล้าทำลายยาของข้าอย่างนั้นหรือ! ขยะ! ขยะ!”
นับตั้งแต่วันที่รับนางเป็นศิษย์ ราวกับว่าท่านอาจารย์หาผู้สืบทอดวิชาเจอแล้ว ดังนั้นเขาจึงมิได้ทำตัวไร้สาระเหมือนแต่ก่อน
“ท่านอาจารย์ด่าคนเช่นนี้ ช่างไม่น่าเลื่อมใสเอาเสียเลย”
หลินเมิ้งหยาเดินเข้าไปด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
ภายใน ป๋ายหลี่รุ่ยแต่งกายด้วยผ้าหยาบ แม้เขาจะผอมลงไปมาก แต่สายตากลับเปี่ยมไปด้วยพลัง เส้นผมสีขาวถูกสระอย่างสะอาดสะอ้านและปล่อยสยายไว้ด้านหลัง
“เจ้าเด็กบ้า! ในที่สุดก็นึกถึงข้าขึ้นมาได้แล้วหรือ รีบเข้ามาช่วยข้าจัดการยาพวกนี้เร็วเข้า”
เกรงว่าในจวนแห่งนี้จะมีเพียงป๋ายหลี่รุ่ยคนเดียวเท่านั้นที่กล้าตวาดและถลึงตาใส่หลินเมิ้งหยาเช่นนี้
“เจ้าได้ยินเรื่องของอู๋เฉินแล้วใช่หรือไม่?”
จู่ๆ ท่านอาจารย์ก็เอ่ยถามขึ้น มือที่จับมีดหยกของหลินเมิ้งหยากระตุกเล็กน้อย ความคิดมากมายโลดแล่นในหัวใจ สุดท้ายจึงพยักหน้าก่อนจะเอ่ย
“ข้าไปเยี่ยมเขามาแล้ว ยังปกติเหมือนเดิม แขนขายังอยู่ครบ แต่สติของเขาไม่เหมือนก่อน”
องครักษ์เฝ้าหน้าประตูเล่าว่าอาหลานทั้งสองไม่เคยเข้ามาพบเจอกัน
ไม่ว่าป๋ายหลี่อู๋เฉินจะเคยร้องขอพบเขาขนาดไหน แต่ท่านอาจารย์ก็ไม่ยินยอมพบหน้า แต่การที่จู่ๆ ท่านอาจารย์ก็เอ่ยถามเช่นนี้ แสดงว่าเขามิได้ตัดรอนเยื่อใยจากหลานชายไปเสียทีเดียว
“เฮ้อ อันที่จริงเด็กคนนั้นดีหมดทุกด้าน ยกเว้นความเห็นแก่ตัว เมิ้งหยา ข้ารู้ว่าเขาปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร้ความเคารพ แต่พี่ชายของข้ามีเขาเป็นผู้สืบทอดตระกูลเพียงคนเดียว ข้าเลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เด็ก หากเขาทำผิดอะไรไป เจ้าห็นแก่หน้าข้าแล้วไว้ชีวิตเขาได้หรือไม่?”
หลินเมิ้งหยาเงียบ นางไม่เคยเห็นท่านอาจารย์ขอร้องใครมาก่อน
เสียงขอร้องด้วยจิตใจที่ห่อเหี่ยวเป็นการแสดงออกถึงความรักซึ่งป๋ายหลี่อู๋เฉินไม่เคยเห็นมาก่อน
หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด ก่อนจะพยักหน้าลงเบาๆ
นางรู้จักหลงเทียนอวี้ดี เขาไม่อาจทำใจสังหารป๋ายหลี่อู๋เฉินได้อย่างแน่นอน ฉะนั้นจึงจับตัวเขามาขังคุกไว้
“เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดี”
แย้มยิ้มกว้าง สีหน้าอ่อนล้า แต่หลังจากได้รับคำสัญญาจากหลินเมิ้งหยา ความรักและเอ็นดูที่ไม่เคยเผยให้เห็นมาก่อนพลันปรากฏขึ้นในดวงตา
ท่านอาจารย์ยังคงเอ็นดูป๋ายหลี่อู๋เฉินเป็นอย่างมาก
“พวกเราอย่าพูดถึงเขาอีกเลยเจ้าค่ะ จริงสิ ข้าอยากให้ท่านอาจารย์ช่วยข้าปรุงยาบางอย่าง ก่อนนั้นข้าเคยเตรียมสูตรยาเอาไว้แล้ว ส่วนนี่คือปริมาณที่ต้องใช้ ท่านลองดูเถิดว่ายังต้องปรับปรุงอะไรอีกหรือไม่?”
ประสบการณ์หลายวันที่ผ่านมาทำให้หลินเมิ้งหยาพบประโยชน์จากเรดาร์อีกอย่างหนึ่ง
เพียงนางนึกถึงยาพิษชนิดหนึ่งหรืออาการเจ็บป่วยเนื่องจากถูกพิษขึ้นมา เรดาร์ในสมองของนางจะปรากฏยาถอนพิษขึ้นมาให้เห็นทันที
แต่เพราะตอนนี้ยังอยู่ในช่วงเวลาแห่งการตรวจสอบ ดังนั้นสูตรที่ใช้ในการปรุงยาจึงยังไม่สมบูรณ์นัก
“เจ้าเด็กคนนี้ ข้ารู้อยู่แล้วว่าหากไม่มีเรื่อง เจ้าก็คงไม่มาหาข้า เอามาสิ ข้าจะดูให้”
หลินเมิ้งหยารีบทำตาม นางหยิบสูตรยาออกจากวงแขน
ด้านบนเขียนรายชื่อยาเอาไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย หากมิใช่เพราะป๋ายหลี่รุ่ยมีประสบการณ์ด้านนี้มานาน บางทีเขาอาจจะต้องปวดหัวเพราะรายชื่อยาแปลกประหลาดเหล่านี้เป็นแน่
“ไม่เลว ฤทธิ์ของยาแต่ละตัวเข้ากันได้อย่างดี โดยเฉพาะตัวยาบางประเภทที่มีสรรพคุณดีกว่าตัวยาคราวก่อนๆ หลายเท่า แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่ายาเหล่านี้ขาดอะไรไป?”
เมื่อพูดถึงยาพิษ ใบหน้าของป๋ายหลี่รุ่ยจึงเคร่งขรึมขึ้นมา
“ท่านอาจารย์ได้โปรดชี้แนะด้วย”
ป๋ายหลี่รุ่ยมองนักเรียนของตนด้วยสายตายินดี ดูท่าสวรรค์จะเอ็นดูเขาพอตัว จึงได้ส่งลูกศิษย์เก่งกาจเช่นนี้มารับช่วงต่อวิชาแพทย์ของเขา
“เจ้าจะต้องรู้ว่าคนที่ถูกวางยาพิษจะได้รับผลกระทบจากยา ยาพิษส่วนใหญ่ล้วนมีฤทธิ์ในการควบคุมร่างกาย หากเจ้าวางยาใส่ผู้ป่วย บางครั้งยาถอนพิษอาจกลายเป็นยาพิษ หากผู้ป่วยทนฤทธิ์ของยาไม่ได้ เช่นนั้นอาจจะเกิดผลร้ายขึ้น เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
หลินเมิ้งหยาพยักหน้า ท่านอาจารย์พูดถูก เรดาร์ในสมองของนางทำเพียงผสมผสานยาแต่ละตัว แต่เรดาร์มิอาจคำนึงถึงอาการของผู้ป่วยได้
“เจ้าค่ะ ข้ารู้”
บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่วิทยาการทางการแพทย์ในสมัยปัจจุบันมิอาจแทนที่การรักษาด้วยการแพทย์แผนจีนได้
ภายใต้การสั่งสอนของอาจารย์ ไม่ช้านางจึงนำวิชาการแพทย์ทั้งสองแผนมาผสมผสานกันอย่างลงตัว
“ท่านป๋ายหลี่ ชายาอวี้”
ร่างผอมบางปรากฏตัวต่อหน้าหลินเมิ้งหยา
เมื่อเทียบกับแต่ก่อน เสื้อผ้าเครื่องประดับอันแสนงดงามที่เคยสวมใส่บนร่างกายกลับกลายเป็นเพียงเสื้อผ้าธรรมดา แม้ความหยิ่งผยองจะเหือดหายไป แต่ถึงกระนั้นอารมณ์ก็ยังผันผวนอยู่เล็กน้อย
ทว่าดวงตาของนางไร้ซึ่งความเย่อหยิ่งอีกต่อไป
“มาแล้วหรือ? ร่างกายของเจ้าเป็นเช่นไร?”
หลินเมิ้งหยามิได้หยุดงานในมือ นางไม่มีเหตุจำเป็นอันใดที่จะต้องแสดงท่าทีสนิทสนมกับฮูหยินหวัง
“ยังตายไม่ได้เจ้าค่ะ ท่านป๋ายหลี่เล่าทุกอย่างให้ข้าฟังแล้ว นังเด็กอกตัญญูนั่นตายเสียได้ก็ดี”
น้ำเสียงเจือไว้ซึ่งความเย็นชาและโกรธเกรี้ยว
หลินเมิ้งหยาบอกให้ท่านอาจารย์เล่าเรื่องคุณหนูหวังให้นางฟังแล้ว หลังจากเอาชีวิตรอดมาได้ อุปนิสัยใจคอของฮูหยินหวังก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ความรู้สึกที่มีต่อหลินเมิ้งซึ่งเป็นทั้งผู้ช่วยชีวิตและผู้ฆ่าลูกสาวของนางนั้นยากเกินจะอธิบาย
“เจ้าต้องคิดให้ดี ในเมื่อเจ้ากลับมามีชีวิตอีกครั้ง เช่นนั้นข้าจะมอบทางเลือกให้เจ้าสองทาง ทางแรกคืออยู่กับข้าที่นี่ ข้ารู้ดีว่าฐานะของเจ้าสูงส่ง ที่ตำหนักของข้าขาดมามาที่คอยดูแลงานอยู่ ส่วนทางที่สองคือเจ้ากลับไปที่จวนหวังอีกครั้ง แต่เรื่องนี้ค่อนข้างยากสักหน่อย เจ้าเองก็น่าจะรู้ว่าตอนนี้เจ้ากลายเป็นคนตายไปแล้ว”
นางไม่คิดอยากบีบบังคับใคร ถึงอย่างไรทุกคนล้วนเป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว ดังนั้นทุกคนจึงมีสิทธิ์ที่จะเลือก
ยิ่งไปกว่านั้น นางไม่อยากใช้บุญคุณมาสั่งให้คนทำนู่นนี่ตอบแทน นางไม่อยากฝืนใจใคร
“พระชายาได้โปรดช่วยหม่อมฉันสักครั้งเถิด หม่อมฉันอยากกลับไปที่บ้านสกุลหวัง บ้านทางฝั่งครอบครัวของหม่อมฉันจะต้องไม่ยอมให้หม่อมฉันถูกรังแกอย่างแน่นอน พระชายาได้โปรดวางพระทัย”
เงียบอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดฮูหยินหวังก็เลือกทางเดินของตนเอง
หลินเมิ้งหยาเองก็พอจะเข้าใจได้ ฮูหยินหวังเป็นพวกรักแรงเกลียดแรง หากทางฝั่งครอบครัวของฮูหยินหวังรู้ว่าลูกสาวตนเองถูกทำร้ายหมายเอาชีวิตเช่นนี้แล้วล่ะก็ ใต้เท้าหวังคงจบเห่เป็นแน่
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าเองก็จะพยายาม เข้ามา พาฮูหยินหวังไป”
หลงเทียนอวี้จะต้องช่วยเหลือนางอย่างแน่นอน ใต้เท้าหวังมีไท่จื่อคอยสนับสนุน ขอเพียงเป็นเรื่องที่ทำให้ไท่จื่อตกที่นั่งลำบากแล้วล่ะก็ หลงเทียนอวี้จะต้องยื่นมือมาช่วยด้วยความยินดีอย่างแน่นอน
ฮูหยินหวังเปรียบเสมือนหมากลับๆ ตัวหนึ่ง หากเดินหมากตัวนี้ให้ดี รับรองว่านางจะมีประโยชน์มากอย่างแน่นอน
“นับวันเจ้ายิ่งโหดร้ายมากขึ้น หากดูจากอุปนิสัยใจคอของฮูหยินหวังแล้ว นางจะต้องกลับไปแก้แค้นอย่างแน่นอน เกรงว่าเมื่อถึงเวลานั้น จวนขององค์ชายคงม่เงียบสงบอีกต่อไปแล้ว”
น้อยครั้งนักที่ป๋ายหลี่รุ่ยจะยุ่งเรื่องของลูกศิษย์ เรื่องในราชวงศ์ซับซ้อนอย่างยิ่ง แม้ลูกศิษย์ตัวน้อยของเขาจะฉลาดเฉลียว แต่หากเพลี้ยงพล้ำขึ้นมา นางอาจต้องพบกับหายนะ
“ท่านอาจารย์อย่าได้กังวลไปเลย อันที่จริงคนเราทุกคนล้วนมีสิทธิ์ในการเลือกทางเดินชีวิตของตนเอง หากฮูหยินหวังเลือกที่จะเป็นมามาธรรมดา เช่นนั้นข้าก็จะมอบชีวิตผาสุกให้นางจนแก่เฒ่า แต่เพราะนางมิอาจปล่อยวางความแค้นลงได้ ดังนั้นข้าจึงเพียงพายเรือตามน้ำไปเท่านั้น”
ช่วยอาจารย์เก็บยาตัวสุดท้าย หลินเมิ้งหยาได้รับความรู้จากป๋ายหลี่รุ่ยอย่างมากมาย
อีกไม่นานนางจะต้องเข้าวังหลวง ดังนั้นนางจำต้องเตรียมตัวให้พร้อม
หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด นางล้มเลิกความคิดที่จะปรึกษาอาจารย์เรื่องการคาดเดาของตนเอง เหตุเพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคนในราชวงศ์ นางไม่อยากพูดจาเลื่อนเปื้อน
“นายหญิง บ้านของท่านส่งคนมาที่จวน ตอนนี้รออยู่ในห้องรับแขกขอรับ”