ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 69 หนานหว่านเยียน เจ้ากล้ายิ่งนัก!
คนที่อยู่ ณ ที่นั้นล้วนรู้ดีว่าหนานหว่านเยียนเอ่ยวาจาเพียงเรื่องไร้สาระ กู้โม่หานอยู่กับนางก็จริง แต่ว่าชายผู้นั้นเพียงแค่มามองดูเห็นนางถูกทรมาน จากนั้นเขาไปที่ใดเล่า?
มิมีใครรู้
แต่แน่นอนว่ามิได้ไปหาหยุนอี่ว์โหรว
เมื่อดำเนินมาถึงจุดนี้แล้ว นางก็มิได้รู้สึกติดใจอะไรหากจะสร้างความหวาดระแวงให้มากกว่านี้ “ทำไม ทำไมหรือพระชายารองหยุน เหตุใดจึงมิกล่าวอะไรเลย?”
ใบหน้าของหยุนอี่ว์โหรวเต็มไปด้วยความอัปยศอดสู ในหัวใจของนางราวกับมีเลือดไหลออกมา นางมองไปด้วยดวงตาอันเกลียดชัง อยากจะฆ่าหนานหว่านเยียนด้วยน้ำมือของตน
แต่นางจะต้องอดทนเอาไว้แล้วหันไปส่งสายตาแก่บ่าวรับใช้ที่อยู่ข้างกาย บ่าวรับใช้ผู้นั้นเห็นว่านายของตนกำลังถูกคุกคามจึงได้เอ่ยขึ้นทันทีว่า “พระชายาอ๋องเพคะ เมื่อวานนี้นายของบ่าวได้รับความตื่นตระหนกใจจากพระชายา ประกอบกับถูกลมหนาวพัดร่างกาย ท่านอ๋องรู้สึกเห็นใจจึงได้ให้นางพักผ่อนอย่างเพียงพอ ด้วยเหตุนี้จึงมิได้……พระชายาอ๋องมีตัวตนที่สูงส่ง ควรที่จะระแวดระวังการใช้คำในเรื่องนี้”
หนานหว่านเยียนเย้ยหยันพูดขึ้นกับเชี่ยนปี้ว่า “นายหญิงของเจ้าเอาแต่เอ่ยวาจาไร้สาระว่าได้ร่วมหอกับท่านอ๋องแล้ว หากมิมีก็จงบอกว่ามิมีจะโกหกพูดปดเพื่อเหตุใด ทั้งยังมิให้ข้าเอ่ยถามเรื่องนี้หรือ?”
เชี่ยนปี้โมโหจนกระทืบเท้าปัง หนานหว่านเยียนคิดว่าตนเป็นใครกัน นายของตนบัดนี้อยู่ในการดูแลอย่างทะนุถนอมของท่านอ๋อง ส่วนหนานหว่านเยียนเป็นเพียงแค่พระชายาที่ถูกทอดทิ้ง กล้าดีอย่างไรจะมาเผยกรงเล็บต่อหน้าหยุนอี่ว์โหรว?
“เรื่องเหล่านี้เกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีและหน้าตาของสตรีเรา พระชายาอ๋องเหตุใดจึงต้องบีบบังคับกันนักหนา หรือว่าพระชายาอ๋องรู้สึกอิจฉาริษยานายของหม่อมฉัน ดังนั้นจึง……”
“เชี่ยนปี้!” น้ำเสียงของหยุนอี่ว์โหรวตวาดดังขึ้น จากนั้นก็มองไปทางหนานหว่านเยียนด้วยความรู้สึกผิดว่า “พระชายาอ๋องโปรดให้อภัยเถิด อย่าถือสา เชี่ยนปี้นางมิได้ตั้งใจเอ่ยเช่นนั้น”
ทุกคนพากันคิดว่าสตรีใดก็ตามที่เพิ่งจะแต่งเข้ามา หากว่ามิได้ร่วมหอกับผู้ชาย เรื่องราวนี้ถูกเผยแพร่ออกไปคงจะอับอาย การที่หยุนอี่ว์โหรวเอ่ยเช่นนี้ก็พอจะเข้าใจได้
เมื่อหนานหว่านเยียนเห็นว่าสองนายบ่าวเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยก็เผยอมุมปากขึ้นด้วยความเย้ยหยัน
“กล่าวเช่นนี้หมายความว่า พระชายารองหยุนควรจะสั่งสอนบ่าวรับใช้คนนี้สักหน่อย หากให้คนที่ปากหมาอย่างเช่นนี้มาดูแลเจ้าจะมิเป็นการทำให้เจ้าอับอายหรอกหรือ?”
ปากหมา?
การใช้คำนี้ช่างคมคายและโหดเหี้ยม
เชี่ยนปี้โมโหมาก สีหน้าของหยุนอี่ว์โหรวก็ซีดเซียวเช่นกัน
นางมิสามารถโต้ตอบกลับได้เลย
“พระชายาสั่งสอนได้ถูกต้องแล้วเพคะ หม่อมฉันจะกลับไปสั่งสอนเชี่ยนปี้ให้ดี”
หยุนอี่ว์โหรวอดทนจนถึงขีดสุด นางพยายามฝืนยิ้มแล้วหยิบกล่องไม้อันประณีตงดงามออกมาจากกระเป๋า ก่อนจะยื่นไปให้หนานหว่านเยียน
“หม่อมฉันได้ฝากให้ทานลุงหาหยกไขแพะมาให้ ได้ยินว่าจะสามารถทำให้ผิวพรรณผ่องใส หม่อมฉันคิดว่าของขวัญนี้นำมามอบให้แก่พระชายาคงจะเหมาะสมเป็นยิ่งนัก ขอพระชายาทรงรับน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ นี้ของหม่อมฉันไปด้วยเถิด”
หนานหว่านเยียนได้ยินดังนั้นก็เลิกคิ้วขึ้น นางหวังจะคืนดีหรือจะเริ่มก่อปัญหาอีกเล่า?
เมื่อเห็นว่านางมิยอมรับไป หยุนอี่ว์โหรวก็เงยหน้าแล้วประจบสอพลอขึ้นว่า “พระราชชายาอ๋องโกรธหม่อมฉันหรือเพคะ จึงมิยอมรับไป?”
หนานหว่านเยียนหัวเราะด้วยความเยือกเย็น บัดนี้มิว่าจะรับหรือไม่รับไว้ก็ล้วนมีความหมายให้คิด มิเบาเลยทีเดียว “พระชายารองหยุนเกรงใจกันไปแล้ว การสั่งสอนบ่าวรับใช้เป็นเรื่องที่ข้าต้องควรทำ”
นางเอื้อมมือไปรับกล่องไม้นั้นแล้วเปิดออกดู จู่ๆ หยุนอี่ว์โหรวก็โน้มตัวเข้ามาหวังจะสวมมันให้แก่นาง หนานหว่านเยียนจึงดึงข้อมือออกเป็นการปฏิเสธ ด้วยเหตุนี้ การกระทำอย่างกะทันหันจึงทำให้กำไลหยกตกแตก
“พระชายา……!” หยุนอี่ว์โหรวร้องออกมาทันควัน แต่วินาทีนั้นหนานหว่านเยียนก็เห็นรอยยิ้มอันเย้ยหยันและท้าทายของหยุนอี่ว์โหรว
หยุนอี่ว์โหรววางมือไว้บริเวณปลายกำไลหยกที่ตกแตกแล้วกรีดอย่างแรง
หยกไขแพะอันขาวผ่องตัดกับเลือดสีแดงสด ในมิช้าก็ไหลลงมาให้เห็นอย่างชัดเจน
“นายหญิง เจ้าคะ เป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ?!” เชี่ยนปี้ได้ยินดังนั้นก็กรีดร้องแล้วรีบเข้าไปดู “โธ่ นายท่านเลือดออกมิน้อย พระชายาอ๋องเหตุใดท่านจึงทำร้ายนายหญิงของหม่อมฉันเช่นนี้?”
แววตาของหนานหว่านเยียนส่องประกายความเยือกเย็น
มิเลวนี่ สามารถจัดฉากและแสดงเองได้กลางวันแสกๆ เช่นนี้
หยุนอี่ว์โหรวแววตาเคร่งขรึม แต่นางกลับยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา “หม่อมฉันรู้ว่าหม่อมฉันผิดไปแล้ว แต่หากว่าพระชายาอ๋องมิชื่นชอบกำไรหยกนี้ หม่อมฉันนำคืนกลับมาก็ได้ เหตุใดท่านจึงต้องทำให้มันแตกแล้วเอามากรีดหม่อมฉันเล่า ท่านต้องการสั่งสอนให้บทเรียนกับหม่อมฉันเช่นไรจึงจะพอใจ?”
ทันใดนั้น กู้โม่หานที่เพิ่งก้าวเข้ามาในเรือนเซียงหลิน หัวใจก็หล่นไปที่ตาตุ่มและโมโหขึ้นในทันที
เมื่อครู่พ่อบ้านกาวเข้าไปรายงานว่าหยุนอี่ว์โหรวเดินทางไปคารวะหนานหว่านเยียน แต่ยังมิกลับมาสักที เป็นกังวลว่าพระชายารองหยุนจะถูกหาเรื่อง ทำให้อึดอัดใจ
ด้วยความรีบร้อนใจเขาจึงเดินทางมาที่เรือนเซียงหลิน คิดมิถึงว่าพ่อบ้านกาวจะเอ่ยได้ถูกต้อง
กู้โม่หานรีบพุ่งเข้าไปในเรือนแล้วพยุงไหล่ของหยุนอี่ว์โหรวเอาไว้ หันไปดุด่าด้วยความโมโห “หนานหว่านเยียน เจ้าช่างกล้าหาญยิ่งนัก อาศัยตอนที่ข้ามิอยู่ทำร้ายนาง!”
ดวงตาของหนานหว่านเยียนหรี่ลงทันใด
เจ้าหมอนี่ทุกครั้งที่เกิดเรื่องขึ้นกับหยุนอี่ว์โหรว กู้โม่หานก็จะออกมาปกป้องทันที คำนวณเวลาไว้แล้วสินะ?
“ข้าทำร้ายนางหรือ กู้โม่หาน เจ้าควรต้องมีหลักฐาน เจ้าว่ามาสิว่าตาข้างไหนของเจ้าที่เห็น”
“ท่านอ๋องเพคะ” แววตาของหยุนอี่ว์โหรวเป็นประกาย ดวงตานั้นมีน้ำตาไหลพราก นางยื่นมือข้างที่เลือดไหลออกไปกล่าวว่า “หาใช่เช่นนั้นเพคะท่านอ๋อง โหรวเอ๋อร์ซุ่มซ่ามและโง่เง่าเอง ทำอะไรก็มิดี พระชายาอ๋องจึงได้ลงโทษโหรวเอ๋อร์เพียงเล็กน้อย เป็นความผิดของโหรวเอ๋อร์เองท่านอ๋องอย่าได้เอ่ยโทษพระชายาไปเลย”
กู้โม่หานเห็นเลือดสีแดงสดที่บนฝ่ามือของหยุนอี่ว์โหรวก็โมโหยิ่งกว่าเดิม “หนานหว่านเยียน เจ้ากล้าใช้ความรุนแรงกับหยุนอี่ว์โหรว ฝ่ามือของโหรวเอ๋อร์ถูกบาดจนเป็นรอยเช่นนี้ ดูเหมือนว่าสามสิบโบยที่เจ้าโดนเมื่อคืนนี้จะยังมิพอ เจ้าจึงยังมีเรี่ยวแรงในการทำร้ายคนอื่นเช่นนี้อีก”
แววตาของหยุนอี่ว์โหรวเป็นประกายด้วยความสุข เอาสิ ด่าเลย! จัดการกับนังหนานหว่านเยียนนี้เอาให้มันตายเลยก็ดี
มิอย่างนั้นนางคงจะเจ็บตัวเปล่า
“ท่านอ๋องอย่าได้โมโหไปเลยเพคะ โหรวเอ๋อร์จะไปบัดเดี๋ยวนี้ โหรวเอ๋อร์จะมิอยู่สร้างความเดือดร้อนให้พระชายาอ๋องอีก ท่านอ๋องอย่าได้ ทะเลาะเบาะแว้งกันกับพระชายาเพียงเพราะโหรวเอ๋อร์เลย”
กู้โม่หานรู้สึกสงสารนางยิ่งนัก “โหรวเอ๋อร์ เจ้าอย่าได้จิตใจดีงามและใจดีเช่นนี้ไปเสมอ……”
ในที่สุดหนานหว่านเยียนก็มิอาจทนดูได้อีกต่อไป