ตอนที่ 287 สืบทอดฐานันดรศักดิ์ตามสายเลือด ตามหมอกลางดึก (4)

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

“…มนุษย์มีนับพันนับหมื่นประเภท แต่โดยทั่วไปแล้วเลือดจะถูกจำแนกเพียงสี่กลุ่ม ใต้หล้านี้นอกจากความสัมพันธ์ของบิดา บุตร และพี่น้องแล้ว คนมากมายที่มีเลือดกลุ่มเดียวกัน ตอนที่เผชิญกับภัยอันตราย เลือดยังแบ่งปันกันได้ เพื่อที่จะช่วยชีวิตของคนให้รอดพ้นจากความตาย…”

เว่ยจางอ่านตัวอักษรเป็นแผ่นเหล่านั้นจึงนิ่งงันอยู่ตรงนั้น

นี่ช่างแปลกประหลาดเกินไปแล้ว!

แต่กลับเป็นความหวังอันยิ่งใหญ่ของมนุษย์!

พอนึกถึงทหารนับหมื่นที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์อาบเลือดในเขตชายแดน มีผู้ได้รับบาดเจ็บมากเพียงใดที่ต้องสูญสิ้นชีวิตและถูกยกศพกลับมา หากวิชาการถ่ายเลือดดังกล่าวใช้ควบคู่กับยาห้ามเลือด จะเป็นวิธีกู้ชีพฉุกเฉินที่สมบูรณ์แบบมาก หากนำไปเป็นที่รู้จักในค่ายทหารต้องลดอัตราการเสียชีวิตของเหล่าทหารได้แน่นอน

แต่ว่า…เรื่องที่แปลกประหลาดเช่นนี้คงมีคนมากมายคัดค้าน

หากเรื่องนี้เกิดสถานการณ์ไม่คาดคิดขึ้น นางต้องเผชิญกับสถานการณ์อะไรบ้าง

เจิ้นกั๋วกงเห็นทุกคนอ่านจดหมายแล้วจึงเอ่ยถามขึ้น “พวกเจ้าลองแสดงความเห็นว่าเรื่องนี้ทดลองใช้ได้หรือไม่”

อวิ๋นคุนเอ่ยก่อนเป็นคนแรก “เนื้อหาจดหมายกล่าวได้ชอบกลเกินไป แค่กล่าวถึงเรื่องเชื้อสายก็มีมาตั้งแต่สมัยก่อน ทายาททางสายเลือดสืบทอดวงศ์ตระกูลโดยธรรมชาติแล้วทุกคนต่างมีสายเลือดของตนเอง วันนี้กลับจำแนกเลือดเป็นสี่กลุ่มเท่านั้น นี่ไม่น่าขบขันไปหน่อยหรือ ท่านกั๋วกงอย่าได้สนใจเรื่องที่แปลกพิลึกเหล่านี้เลย จะได้ไม่ต้องถูกคนอื่นหลอกลวง”

หันซังเกอกลับพูดขึ้น “หากมีเช่นนี้จริงๆ จะลดอัตราการเสียชีวิตของเหล่าสหายในสนามรบได้มากเพียงใด แม้ความสัมพันธ์ทางสายเลือดจะสำคัญอย่างมาก แต่ในจดหมายระบุว่าเป็นการถ่ายเลือด หากยอมแพ้ตั้งแต่ตอนนี้ไม่ได้เท่ากับว่าเป็นการตัดหนทางการรอดชีวิตของเหล่าทหารที่ได้รับบาดเจ็บในสนามรบหรือ ข้ารู้สึกว่าไม่ว่าอย่างไรก็ควรลองดูก่อน อีกอย่างด้านบนก็เขียนไว้แล้ว ต่อให้เป็นวงศ์ตระกูลใหญ่ กลุ่มเลือดก็อาจจะไม่เหมือนกัน หากเป็นพี่น้องที่มีบิดาและมารดาเดียวกันโดยธรรมชาติแล้วจะมีกลุ่มเลือดเหมือนกัน ทว่าพวกพี่น้องที่มีบิดาเดียวกันไม่มีมารดาที่ให้กำเนิดเดียวกัน และพวกที่เกี่ยวดองโดยการสมรส จะมีกลุ่มเลือดที่แตกต่างกันไปจริงๆ หากครุ่นคิดอย่างละเอียดก็ต้องมีหลักเหตุผลที่จะยืนยันเรื่องนี้ได้อยู่แล้ว”

ซูอวี้ผิงพูดขึ้นต่อ “อีกอย่าง จดหมายฉบับนี้ก็ไม่ได้ระบุว่าสายเลือดในใต้หล้านี้มีเพียงสี่ชนิดนี้เท่านั้น นี่แค่เน้นเรื่องการถ่ายเลือดช่วยชีวิต ข้าจำความได้…” ซูอวี้ผิงยื่นมือไปเอากระดาษสองสามแผ่นในมือของเว่ยจาง หาคำพูดสองสามประโยคในนั้นพร้อมอ่านทวนอีกครั้ง “หากวิเคราะห์อย่างตั้งอกตั้งใจ ลักษณะทางพันธุกรรมของเลือดมนุษย์ที่แสดงออกมาโดยอาศัยสารก่อภูมิต้านทานจะแบ่งเป็นสามลักษณะ และจะมีลักษณะพิเศษ…เจ้าดูสิ ทุกคนบอกว่านี่ก็มีลักษณะพิเศษเกิดขึ้นอยู่เหมือนกัน แค่โอกาสเกิดขึ้นน้อยเท่านั้น”

หันซังเย่ว์พูดขึ้น “อื้มข้ายังจำได้ว่าก่อนหน้านี้ข้าเคยอ่านตำราเล่มหนึ่งที่ไม่รู้ได้มาจากที่ใด ด้านในเล่าถึงหมอคนหนึ่งที่ช่วยให้ผู้ป่วยใกล้สิ้นใจเพราะเสียเลือดมากดื่มเลือดแกะ จากนั้นก็ช่วยชีวิตคนคนนั้นไว้ได้ ในตำราเล่มนั้นยังบอกอีกว่า มีสามีคนหนึ่งที่รักใคร่ภรรยามาก ให้ภรรยาที่ตกเลือดมากดื่มเลือดมนุษย์ แล้วสตรีผู้นั้นก็รอดชีวิต…”

“ชิงจือ” หันซังเกอขัดคำพูดของคุณชายรองหันด้วยเสียงทุ้มต่ำส ายตากวาดผ่านร่างของซูอวี้ผิง

“อ้อ” หันซังเย่ว์ตั้งใจเอ่ยถึงเรื่องที่เจ็บปวดของซูอวี้ผิงเพื่อที่จะให้เขายืนตรงฝั่งที่เห็นด้วย หลังจากถูกพี่ชายของตนตักเตือนจึงทำท่าทางเหมือนนึกคิดอะไรออกทันทีแล้วพยักหน้าใส่ซูอวี้ผิง “พี่ซู ข้าไม่ได้ตั้งใจ ได้โปรดอย่าถือสาข้าเลย”

ซูอวี้ผิงผายมือ แสดงว่าตนเองไม่ได้ถือสาอะไร

“อย่างไรข้ารู้สึกว่ามันเหลือเชื่อเกินไป ข้าไม่เห็นด้วยกับสิ่งเหล่านี้” อวิ๋นคุนยังคงคัดค้าน

ซูอวี้ผิงยกยิ้ม “จริงๆ ก็แค่เสียเลือดหน่อยก็เท่านั้นมิใช่หรือ ข้ากลับคิดว่าลองดูได้”

หันซังเย่ว์พยักหน้า “ข้าก็ว่าปกติพวกเราก็ฝึกวรยุทธ์อยู่ประจำ อย่างไรก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ร่างกายจะถูกกระทบกระทั่ง นี่ก็แค่เรื่องเล็กน้อย แค่กินเนื้อหนึ่งชิ้นก็บำรุงกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้แล้ว ว่าไหม”

“ชิงจือ! นี่ไม่ได้เป็นปัญหาแค่เสียเลือดเท่านั้น!” อวิ๋นคุนขมวดคิ้วแล้วแอบครุ่นคิดว่า เหตุใดวันนี้คุณชายรองหันถึงไม่ถูกคอกับตนเองตลอดแบบนี้

หันซังเย่ว์ยิ้มอย่างไม่สนใจแล้วพูดขึ้น “ใช่ๆๆ! ความหมายของท่านซื่อจื่อคือปัญหาทางสายเลือดที่มิควรให้เลือดของผู้อื่นมาปะปน นี่เป็นเรื่องใหญ่ในใต้หล้านี้ ห้ามพูดจาเหลวไหลเด็ดขาด”

“ชิงจือ!” หันซังเกอขมวดคิ้วถลึงตามองน้องชายเพียงปราดเดียว

หันซังเย่ว์ได้ยินคำพูดของพี่ชายจึงหุบปากทันที

“เสี่ยนจวิน ความคิดของเจ้าล่ะ” เจิ้นกั๋วกงมองเว่ยจาง

“กระหม่อมคิดว่าไหนๆ เป้าหมายของเรื่องนี้คือเหล่าสหายในสนามรบแล้วก็กันไว้ดีกว่าแก้ ให้เหล่าทหารที่อยู่ภายใต้การดูแลของกระหม่อมเจาะเลือดลองดูก่อน หากไม่มีประโยชน์อะไรก็แค่เสียเลือดไปเล็กน้อยเท่านั้น ทว่าถ้าเกิดอนาคตมีประโยชน์ขึ้นมาก็ถือเป็นเรื่องโชคดีของพวกเขา”

“ไหนๆ เซ่าชู (นามทั่วไปของซูอวี้ผิง) และเสี่ยนจวินก็เห็นว่าทดลองดูได้ เช่นนั้นก็ลองดูกับคนกลุ่มเล็กก่อนเถอะ พวกเจ้าสองคนเลือกทหารมายี่สิบนาย ประเดี๋ยวข้าจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้เอง”

“ท่านกั๋วกง!” อวิ๋นคุนขมวดคิ้วแล้วยังคิดจะคัดค้านต่อ

เจิ้นกั๋วกงยิ้มน้อยๆ “จวินเจ๋อร์อย่าได้กระวนกระวายไปเลย เรื่องนี้ข้าจะไปปรึกษากับฮ่องเต้และเฉิงอ๋องก่อน หากฮ่องเต้ทรงเห็นว่าเหมาะสมพวกเราถึงจะลองดู”

อวิ๋นคุนอยากพูดอะไรต่อ สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร แท้จริงแล้วสิ่งที่เขากังวลทุกคนก็ย่อมรู้ดีแก่ใจ ตั้งแต่สมัยก่อนฮ่องเต้ทรงรับโองการสวรรค์ นั่นก็คือสายเลือดของโอรสสวรรค์ ตระกูลสูงศักดิ์เกิดมาจะมีฐานันดรศักดิ์ที่มั่งมี ส่วนชาวบ้านยากไร้ก็เกิดมามีฐานะที่ทุกข์ยากลำบาก

ตอนนี้สิ่งที่กระดาษสองสามแผ่นเหล่านี้เอ่ยถึงกลับลบล้างโองการสวรรค์อย่างสิ้นซาก อวิ๋นคุนที่เกิดเป็นราชนิกุลก็ย่อมไม่ยอมฟังเป็นเรื่องธรรมดา

แค่ว่าความคิดภายในใจของสองพ่อลูกเจิ้นกั๋งกง ซูอวี้ผิง เว่ยจาง และคนอื่นๆ อวิ๋นคุนก็เข้าใจดี เขาก็เคยเสี่ยงตายมาหลายครั้ง เรือนร่างเต็มไปด้วยบาดแผล เขาก็เคยเสียเลือดเสียเหงื่อเพื่อราชวงศ์อวิ๋น เป็นเรื่องธรรมชาติที่เขาก็หวังว่าจะมีหลายวิธีที่จะช่วยชีวิตทหารที่อยู่ในสนามรบ

หลังจากพวกเขาปรึกษาหารือกันเสร็จ ฟ้าก็มืดมากแล้ว เจิ้นกั๋วจงจึงเชิญทุกคนร่วมกินอาหารด้วยกัน อวิ๋นคุนที่ไม่อยากจะจากไปตั้งแต่แรกตอนนี้จึงอยู่ต่อที่นี่อย่างมีความสุข เว่ยจางรู้ว่าเหยาเยี่ยนอวี่ก็อยู่ที่นี่เลยไม่อยากกลับเช่นกัน มีเพียงซูอวี้ผิงที่ลุกขึ้นกล่าวอำลา “ท่านกั๋วกง กระหม่อมยังต้องไว้อาลัยให้ท่านย่าจึงไม่สะดวกอยู่กินข้าวที่นี่ น้ำใจอันดีงามของท่านกั๋วกงกระหม่อมรับไว้แล้ว หากท่านกั๋วกงไม่มีสิ่งใดจะสั่งการ กระหม่อมขอตัวก่อน”

เจิ้นกั๋วกงถอนหายใจแล้วพูดขึ้น “ไม่เป็นไร เจ้ากลับไปเถอะ มีธุระใดข้าจะสั่งให้คนไปบอกเจ้าเอง”

“พ่ะย่ะค่ะ” ซูอวี้ผิงค้อมตัวลงอีกครั้ง “เช่นนั้นกระหม่อมจะเฝ้าคอยรับคำสั่งของท่านกั๋วกงที่จวนพ่ะย่ะค่ะ”

หันซังเย่ว์ลุกขึ้นก่อนตั้งแต่แรก “พี่ใหญ่ซู ข้าไปส่งท่านเอง”

ซูอวี้ผิงกล่าวอำลากับคนที่อยู่ในเรือนแล้วหันหลังจากไป

หลังจากคุยกิจธุระทางราชการเสร็จ อวิ๋นคุนจึงเอ่ยถามเจิ้นกั๋วกงด้วยใบหน้าที่เคล้าด้วยรอยยิ้ม “ไม่ทราบว่าช่วงนี้พลานามัยของเสด็จป้าดีหรือไม่ ช่วงก่อนมัวแต่ไปสถานตากอากาศเป็นเพื่อนเสด็จพ่อ หลังจากกลับมาก็มัวแต่ยุ่งเรื่องขององค์หญิงต้าจั่งจึงไม่มีเวลามาน้อมทำความเคารพเสด็จป้าเลย ประเดี๋ยวคงต้องไปคอยให้เสด็จป้าว่ากล่าวตำหนิต่อหน้าท่านแล้วแหละ”

เจิ้นกั๋วกงยกยิ้มจางๆ “พลานามัยขององค์หญิงใหญ่ยังดี ช่วงก่อนเพราะไปส่งศพขององค์หญิงต้าจั่งจึงทำให้ป่วยเพราะพิษร้อน หลายวันมานี้ก็ได้บำรุงร่างกายมาพอประมาณแล้ว เกรงว่าตอนนี้เจ้าคงไม่ได้เจอนางแล้ว หากเจ้าอยากเข้าเฝ้าเพื่อพูดคุยเล่นก็มาเยือนที่จวนในวันพรุ่งนี้เถอะ”

อวิ๋นคุนพลันตอบตกลงด้วยรอยยิ้ม “พรุ่งนี้กระหม่อมต้องไปแน่นอน ได้โปรดท่านกั๋วกงบอกเสด็จป้าสักคำที”

ดังนั้นบุรุษสองคนที่อยู่กินข้าวต่างไม่ได้สมดั่งใจปรารถนา จวนกั๋วกงเป็นสถานที่อะไร เป็นสถานที่ที่แบ่งแยกเรือนหน้าเรือนในอย่างชัดเจน! จะเป็นสถานที่ที่เหล่าบุรุษคิดอยากทำสิ่งใดก็กระทำเช่นนั้นหรือ