การตรวจกลุ่มเลือดคือการทดสอบการเกาะติดในซีรัม ทว่าอุปกรณ์ในยุคสมัยปัจจุบันไม่ทำให้เสียแรงแม้แต่น้อย สถานรับบริจาคเลือดก็ตรวจกลุ่มเลือดได้ทุกที่ ทว่าในยุคสมัยโบราณ เหตุเพราะอุปกรณ์มีจำกัด ดังนั้นจึงค่อนข้างเสียแรงเสียเวลาในการทดลอง แต่แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเหยาเยี่ยนอวี่
นางเริ่มจากการตรวจกลุ่มเลือดของตนเองก่อน หลังจากแน่ใจในกลุ่มเลือดของตัวเอง วันถัดมาถึงจะสั่งให้ชุ่ยเวย ชุ่ยผิง และน้าตู้ซานเข้าไปในเรือนของนาง จากนั้นนางจึงอธิบายถึงเรื่องความสำคัญของกลุ่มเลือดและการเจาะเลือดให้ทั้งสามฟัง แล้วค่อยเจาะเลือดของพวกนางไปแบ่งเป็นกลุ่ม
เรื่องเหล่านี้ใช้เวลาไปเพียงไม่กี่วัน เหล่าข้ารับใช้ในบ้านนาน้อยวัวจวูต่างก็ถูกคุณหนูเหยาเจาะเลือดไปและแบ่งเป็นกลุ่มเลือดไว้
อย่างไรคนพวกนี้ก็ขายตัวมาเป็นทาสแล้ว อย่าว่าแต่นายที่ต้องการเลือดเพียงเล็กๆ น้อยๆ เลย ต่อให้นายจะเอาแขนข้างหนึ่งหรือขาข้างหนึ่ง หรือแม้แต่ชีวิต พวกเขาก็ไม่กล้าคัดค้านใดๆ
แค่ว่าหลังจากที่เกิดเรื่องนี้ขึ้น คนในบ้านนาเหมือนยิ่งอยู่ยิ่งกลัวคุณหนูเหยา มีคนชราและเด็กบางคนเห็นหน้านางก็ยังแอบเดินอ้อมไปทางอื่น กลัวว่าตนเองจะเป็นที่โดดเด่นเกินไป และกลัวว่าเกิดวันไหนนายอารมณ์ไม่ดีอาจลากตัวทุกคนไปเอาเข็มกระบอกยาเจาะเลือดก็ว่าได้
เรื่องนี้มันโหดเหี้ยมเกินไป หากจะให้เก็บไว้อย่างไรก็เก็บไม่อยู่ ต่อให้ข้ารับใช้เหล่านี้ไม่มีใครอยากนินทาว่าร้ายนายของพวกเขา ทว่าใครจะรับประกันได้ว่าบ่าวรับใช้หลายสิบคนเหล่านี้จะไม่ปากโป้งปล่อยข่าวออกมาโดยที่ไม่ทันระวังปากในภายภาคหน้า
เรื่องที่คุณหนูเหยาเจาะเลือดใช้เวลาไม่ถึงห้าหกวันก็ถึงหูของแม่ทัพเว่ย
ตอนนั้นแม่ทัพเว่ยกำลังอยู่ในค่ายทหารเพื่อให้ทหารสี่สิบนายที่เขาเลือกมาโดยเฉพาะฝึกขี่ม้าเร็วและยิงธนู รองแม่ทัพเก๋อไห่ที่อยู่ด้านข้างของเขากลับมาจากด้านนอกแล้วหาโอกาสตอนว่างมากระซิบข้างหูแม่ทัพเว่ยไปสองสามคำ
“พูดจาเหลวไหล” แม่ทัพเว่ยเหลือบตามองเก๋อไห่
เก๋อไห่ถลึงตาทันที “เปล่าขอรับ ข้าน้อยกล้าเอาหัวของเจ้าหมอนี่ไปประกันเลย”
เว่ยจางมองเหล่าทหารหลายสิบนายที่กำลังเร่งม้าในสนามฝึกแล้วเหลือบมองต้นหลิ่วด้านข้างพร้อมพูดขึ้น “ไปฝั่งโน้น เล่าทุกอย่างให้ข้าฟัง”
เก๋อไห่ตอบกลับแล้วรอตรงนั้นก่อน เว่ยจางสั่งงานเฮ่อซีก็หันหลังเดินจากไป
สหายที่เคยผ่านความตายทั้งสองจึงนั่งเคียงไหล่กันใต้ต้นไม้แล้วเตรียมตัวเสวนากันยาวๆ
“ว่ามาเถอะ” เว่ยจางดึงถุงน้ำออกจากเอวแล้วเงยหน้าดื่มน้ำไปหลายอึกพลางพูดขึ้น
เก๋อไห่เล่าเรื่องที่ได้ยินทั้งหมด เล่าอย่างละเอียดหนึ่งรอบ สุดท้ายรองแม่ทัพเก๋อก็ถอนหายใจ “ท่านแม่ทัพ ท่านว่าว่าที่ฮูหยินของเราเป็นคนเช่นไรกันแน่! เหตุใดจู่ๆ ก็มาเจาะเลือดคนอื่น…นี่มันโหดเหี้ยมเกินไปหรือเเปล่า”
เว่ยจางครุ่นคิดไปสักพักแล้วแค่นเสียงแผ่วเบา “คำพูดเหลวไหลเหล่านี้ เจ้าคงไปฟังมาจากคนที่อยู่ด้านนอกใช่หรือไม่”
“นี่จะเรียกว่าพูดจาเหลวไหลได้อย่างไร ก่อนหน้านี้ข้าก็ไม่เชื่อ! ฮูหยินของเราข้าก็เคยเห็นมาก่อน แม้ตอนที่รักษาผู้ป่วยจะดูน่าเกรงขาม ทว่า…อย่างไรนางก็เป็นเพียงสตรีผู้อ่อนแอคนหนึ่ง แต่วันนี้ข้าได้ไปเจอกับข้ารับใช้คนหนึ่งในบ้านนาของฮูหยิน…อ๋า บ่าวที่ชื่อว่าเซินเจียงคนนั้น ข้าเห็นแขนของบ่าวคนนั้นเขียวช้ำกับตา พอถามเขาว่าเป็นอะไรมา แม้ว่าเขาจะพยายามปิดบังความจริง ทว่าข้าน้อยทำงานอะไร แค่พูดจาหว่านล้อมกับบ่าวคนนั้นเพียงสองสามคำก็หลอกถามความจริงมาได้แล้ว ที่แท้พวกเขาโดนคุณหนูเจาะเลือดตรงแขนแล้วสั่งให้เขากดตรงบริเวณแผลไว้ แต่แรงที่กดไม่เพียงพอ ตรงจุดที่เข็มแทงลงไปจึงเขียวช้ำ!”
เก๋อไห่เห็นเว่ยจางเริ่มเชื่อจึงพูดขึ้นต่อ “ท่านแม่ทัพ ท่านว่าในภายภาคหน้าฮูหยินแต่งเข้าไปในจวนเอะอะก็จะเจาะเลือดให้ท่านหรือไม่ นางจะเอาเลือดมากมายเช่นนั้นไปทำอะไร ไม่ใช่ปีศาจเสียหน่อย”
“หุบปาก!” เว่ยจางยกเท้าถีบเขา “เจ้านี่แหละปีศาจ!”
เก๋อไห่รีบหลบไปด้านข้างแล้วสารภาพความผิด “ท่านแม่ทัพอย่าขุ่นเคืองใจเลย บ่าวเองที่ปากพล่อย ฮูหยินไม่ใช่ปีศาจ ฮูหยินคือหญิงงาม ฮ่าๆ!”
“ไสหัวไป!” เว่ยจางทำท่าทางว่าจะถีบเขาอีกครั้ง
ตลอดทางกลับจากสนามฝึก เว่ยจางก็เต็มไปด้วยความสงสัย เหตุใดถึงนึกคิดอย่างไรก็นึกไม่ออกว่าว่าที่ฮูหยินของเขาจะการทำใหญ่ใด ทางฝั่งเว่ยจางคิดจนหัวใกล้จะระเบิดแล้วก็ยังคิดไม่ออก ขณะเดียวกัน อีกฝั่งก็มีคนมาเยือนถึงที่
พอเข้าจวนไป พ่อบ้านฉังเหมาก็เข้ามาต้อนรับพร้อมค้อมตัวพูดขึ้น “นายท่านกลับมาแล้ว คนของจวนกั๋วกงมาคอยนานแล้วขอรับ”
“คนของจวนกั๋วกง?” เว่ยจางค่อนข้างสงสัย มีกิจธุระทางราชการก็ไม่ใช่ว่าควรไปคุยที่สนามฝึกหรือไร เหตุใดถึงมาหาถึงจวน
“ขอรับ” ฉังเหมาตอบกลับ “บอกว่าท่านกั๋วกงมีธุระจึงเชิญนายท่านไปหาขอรับ”
เว่ยจางยิ้มๆ แล้วมองเสื้อผ้าที่เปียกเหงื่อของตน “เช่นนั้นก็ต้องรอข้าเปลี่ยนชุดก่อน”
“น้ำอุ่นและเสื้อผ้าบ่าวเตรียมไว้ให้นายท่านแล้วขอรับ” ฉังเหมาพูดไปก็เดินหน้าเลิกม่านขึ้น
หลังจากกลับจวนอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็ติดตามคนของจวนกั๋วกงไปจวนเจิ้นกั๋วกง กลับเห็นนอกประตูโถงหน้าของจวนกั๋วกงมีรถม้าคันหนึ่งจอดทิ้งไว้
รถม้าคันนั้นแม่ทัพเว่ยรู้จัก นั่นก็คือรถม้าว่าที่ฮูหยินของเขา บนแอกม้ามีบ่าวคนหนึ่งนั่งอยู่ ก็คือเซินเจียงที่เก๋อไห่เอ่ยถึงเมื่อครู่ บ่าวคนนี้พิงอยู่บนรถม้าอย่างสุขสบาย ในมือถือผิงกั่วลูกใหญ่เอาไว้ กำลังแทะอย่างมีความสุข
คงไม่ใช่เรื่องที่เร่งด่วนอะไร ทว่าไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด วันนี้ได้เจอหน้านางที่จวนเจิ้งกั๋วกง อารมณ์ของแม่ทัพเว่ยก็ดีขึ้นมาทันที แม้กระทั่งฝีเท้ายังก้าวอย่างแผ่วเบามากขึ้น
วันนี้คุณหนูเหยาเตรียมตัวมาเยี่ยมเยียนจวนเจิ้นกั๋วกงเป็นอย่างดี ทีแรกนางนึกว่าองค์หญิงใหญ่หนิงหวารับสั่งให้เข้าเฝ้า นึกไม่ถึงว่ากลับเป็นเจิ้นกั๋วกง
เมื่อพูดถึงเหตุผล เหตุเพราะหลังจากที่นางทำการทดลองตรวจกลุ่มเลือดได้สำเร็จจึงเขียนจดหมายฉบับหนึ่งให้หันหมิงชั่น ในจดหมายระบุถึงเรื่องหนึ่งอย่างชัดเจนนั่นก็คือความสำคัญของกลุ่มเลือดและการเจาะเลือด
เรื่องที่เกี่ยวกับวิชาการเป็นเรื่องที่ง่ายดายสำหรับคุณหนูเหยา นางเขียนได้อย่างคล่องมือ
จดหมายฉบับนี้ทำให้คุณหนูหันอ่านแล้วทั้งรู้สึกดีใจและรู้สึกปลงอนิจจังในขณะเดียวกัน ช่างเป็นเรื่องที่เดือดดาลจริงๆ นางรู้สึกว่าหากเรื่องนี้สำเร็จ มนุษย์ก็คงไม่ต้องตายเพราะว่าเสียเลือดอีกต่อไป เช่นนั้นหากตอนทำมหาสงคราม ทหารผู้กล้าหาญของราชวงศ์ต้าอวิ๋นคงสูญสิ้นชีวิตได้น้อยไปกว่าครึ่ง
และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือทั้งบิดาและบุตรชายตระกูลหันล้วนผ่านศึกสงครามในสนามรบมาแล้ว โดยเฉพาะพี่ชายทั้งสอง ไม่แน่ในภายภาคหน้าอาจจะต้องไปทำสงครามอีก หันหมิงชั่นถือว่าทำเพื่อบิดาและพี่ชายของตนเองเลยสนับสนุนเหยาเยี่ยนอวี่
เว่ยจางเข้าไปในจวนเจิ้นกั๋วกงแล้วตรงไปที่ห้องอักษรของท่านกั๋วกงทันที สองพี่น้องตระกูลหันและอวิ๋นคุนต่างก็อยู่ในห้อง และยังมีซูอวี้ผิง นี่จึงทำให้เว่ยจางตกตะลึง นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น ท่านกั๋วกงกลับสั่งให้คนพวกนี้มารวมตัวกันแบบนี้
เจิ้นกั๋วกงรอให้เว่ยจางน้อมทำความเคารพเสร็จก็สั่งให้บ่าวที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องออกไปพร้อมทั้งพูดขึ้นโดยไม่อ้อมค้อม “วันนี้เรียกพวกเจ้ามาแน่นอนว่ามีเรื่องสำคัญอยากจะปรึกษาหารือ” ขณะที่พูดจึงเอากระดาษสองสามหน้าที่อยู่ข้างมือให้หันซังเย่ว์
สองพี่น้องตระกูลหันเคยอ่านจดหมายฉบับเหล่านี้แล้ว หันซังเย่ว์จึงยื่นกระดาษสองสามหน้าให้อวิ๋นคุน อวิ๋นคุนอ่านแล้วมีสีหน้าคาดไม่ถึงแล้วส่งต่อให้ซูอวี้ผิง ซูอวี้ผิงอ่านแล้วก็มีสีหน้าตกตะลึงงันเช่นกัน จากนั้นค่อยยื่นกระดาษให้เว่ยจาง
นั่นเป็นจดหมายที่เหยาเยี่ยนอวี่เขียนให้หันหมิงชั่น แต่แน่นอนว่าจดหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรของคุณหนูเหยาก็ไม่ได้เอาออกมาให้เหล่าบุรุษพวกนี้ดูอยู่แล้ว นี่เป็นจดหมายฉบับที่หันหมิงชั่นอ่านแล้วสั่งให้เสนาธิการของจวนกั๋วกงคัดลอกออกมาอีกที