ตอนที่ 122-3 ละโมบสินเดิมเจ้าสาว? ฝันไปเถอะ!

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

“พูดจาเหลวไหล” อวิ๋นหว่านชิ่นก้มตัวลง จับข้อมือนาง มองนางอย่างเย็นชา ประหนึ่งในลูกตาดำมีเศษน้ำแข็งหิมะ “ก็เห็นๆ อยู่ว่าเจ้าเอาไปวาง วันนั้นตอนเที่ยงคืนเจ้าแอบมาที่ห้องข้า ที่แท้ก็คิดจะทำร้ายข้า ให้ข้าโดนงูที่มาปล่อยไว้ใต้ผ้าห่ม กลับไม่คิดเลยว่าข้าและหลินรั่วหนานจะสลับเตียงกัน จนฆ่าหลินรั่วหนานด้วยความเข้าใจผิด เป็นเจ้าถูกหรือไม่ เจ้าคิดอยากให้ข้าตายมาโดยตลอด! อยากให้ข้าตาย! งูนั่น ก็เป็นเจ้าที่เอามาวาง เป็นเจ้าที่เอามาวาง!”

 

 

ทุกๆ คำดุจมีดเหล็กเฉือนเนื้อ และโซ่ตรวนที่พันธนาการ เหน็บหนาวสุดขั้ว กระตุ้นอาการบ้าเสียสติอวี้โหรวจวงขึ้นมา จนดิ้นรนออกมา ถอยฝีก้าวไปสองสามก้าว หย่อนก้นลงกับพื้น “ไม่ใช่ข้า! ข้าไม่ได้วางงู! ไม่ใช่!”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นมาวันนี้ก็เพื่อยืนยัน

 

 

คนเสียสติไม่สามารถโป้ปดมดเท็จได้ พอดูทีท่าของอวี้โหรวจวงตอนนี้ นางสามารถยืนยันเบื้องต้นได้แล้ว คนที่คิดอยากจะทำร้ายตน ก็เป็นคนอื่นจริงๆ

 

 

สีหน้านางอ่อนโยนลง คลับคลาน้ำแข็งได้มลายหายไป ดวงอาทิตย์ที่อบอุ่นได้เข้ามาแทน พยุงตัวอวี้โหรวจวงขึ้นอย่างนิ่มนวล แล้วเอ่ยน้ำเสียงที่ราวกับปลอบโยนเด็กน้อย “เช่นนั้นเจ้ารู้ว่าใครเอางูมาใส่ในกระเป๋าเจ้าใช่หรือไม่”

 

 

“ข้าไม่รู้ ข้าไม่รู้…” อวี้โหรวจวงส่ายศีรษะอย่างสับสน กล่าวซ้ำว่า “ไม่ใช่ข้า อย่างไรก็ไม่ใช่ข้า”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นขยับริมฝีปาก “คุณหนูอวี้ ท่านหญิงหย่งจยากับเจ้ามีความสัมพันธ์อันดีงาม ใช่หรือไม่ ได้ยินมาว่าเจ้าเข้าวังตั้งแต่เด็กจึงมักจะได้เจอหน้านางบ่อย เรียกได้ว่ารักใคร่ดุจพี่น้องแท้ๆ ถูกหรือไม่? หากพูดง่ายๆ ก็คนที่สามารถเข้าใกล้ใช้ของส่วนตัวเจ้าได้ ท่านหญิงหย่งจยา…แน่นอนว่าก็นับเป็นคนหนึ่งที่ทำได้ถูกไหม? เจ้าว่า งูนั่นน่ะ อาจเป็นนางที่มาวาง?”

 

 

อวี้โหรวจวงอ้ำอึ้ง ได้ยินแค่สองอย่างคือท่านหญิงหย่งจยาและงู สมองก็กระตุ้นความทรงจำในอดีตขึ้นมา ก็เผยยิ้มทึ่มทื่อ แล้วพูดจาส่งเดชเรื่องหยุมหยิมเกี่ยวกับท่านหญิงหย่งจยาขึ้น “หย่งจยา อ่า…หย่งจยาเหอะเหอะ หย่งจยาไม่กลัวงู เหอะเหอะ นางไม่กลัวเลย! นางบอกว่าตอนนางยังเด็กนางไปเจองูเข้าที่วัดเซียงกั๋ว ตกใจมาก ภายหลังจึงไม่ได้กลัวอีกแล้ว…เหอะเหอะเหอะ ท่านหญิงหย่งจยาเป็นหลานสาวที่องค์ฮ่องเต้โปรดปรานมากที่สุด เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของข้า ฮึฮึ เหล่าคุณหนูตระกูลขุนนางคิดจะประจบสอพลอข้า ข้าเลยไม่สนใจ มีเพียงสถานะอย่างท่านหญิงหย่งจยาเท่านั้นที่เหมาะสมเป็นเพื่อนสนิทข้า ฮึฮึ…ใช่สิ หย่งจยายังเคยพูดกับข้าว่า ตำแหน่งของฉินอ๋อง ไม่เหมาะกับข้าหรอก ข้าควรได้องค์ชายที่ดีกว่านี้”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นไม่อยากจะถามต่อแล้ว ดูท่าทีก็สามารถยืนยันได้แล้ว ว่าเป็นอย่างที่ตนคิดไว้เช่นนั้น

 

 

นางมองอวี้โหรวจวงอย่างสลดใจ แล้วเดินจากไป

 

 

ดูทาง ท่านหญิงหย่งจยาจะเริ่มจากการตีสนิทอวี้โหรวจวง ก็แค่เพื่อฉินอ๋อง อวี้โหรวจวงผู้นี้ ที่หยิ่งยโสโอหังตั้งแต่เด็กจนโต ชีวิตผู้อื่นไม่เคยอยู่ในสายตานาง กลับไม่คิดเลยว่าจะโดนเพื่อนสนิทที่เป็นท่านหญิงในวังหลวงเล่นงานเสียได้ ถูกใช้เป็นเครื่องมือ คอยปลูกฝังว่าที่สามีนางไม่ดีอยู่เสมอ แต่ตัวเองกลับไปอยู่ชิดใกล้กับสามีของสหายสนิททั้งวันทั้งคืนเสียเองนี่ ท้ายที่สุดแล้วก็เหยียบย่ำนาง

 

 

เพื่อนที่สนิทชิดเชื้อมากที่สุด แท้จริงแล้วก็แค่หวังตำแหน่งสตรีของนาง

 

 

เมื่อกลับมาที่จวนอวิ๋น อวิ๋นหว่านชิ่นและชูซย่าก็เข้ามาจากประตูด้านข้าง พอเดินถึงเรือนอิ๋งฝู กลับเห็นหญิงชรายืนอยู่หน้าประตูพระจันทร์[1] ซึ่งเป็นผู้ดูแลจวนด้านนั้น

 

 

การปะทะเข้าเจออย่างบังเอิญ อวิ๋นหว่านชิ่นที่ไม่มีโอกาสได้ซ่อนตัว เลยเดินเข้าไปอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา ตั้งแต่ที่สำนักการพระราชวงศ์กำหนดพิธีสมรส ท่าทีภายในบ้านก็ปฏิบัติต่อตนเป็นอย่างดี โดยเฉพาะบิดา ที่พูดกับตนด้วยน้ำเสียงทุ้มอ่อนนุ่ม ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงบ่าวคนใช้ ที่ปรนนิบัติประหนึ่งเจ้าแม่กวนอิม

 

 

อย่างที่คาดไว้ หญิงชราเห็นทีท่าของคุณหนูใหญ่ที่เหมือนได้ออกไปข้างนอกมา แม้จะแปลกใจ แต่ก็กลับแกล้งทำเป็นไม่เห็นไป เดินยิ้มเข้ามาอย่างประจบประแจง โค้งศีรษะแสดงความคารวะ “คุณหนูใหญ่ นายท่านกลับมาแล้ว อยู่ที่ห้องโถงใหญ่ เรียกคุณหนูใหญ่ให้ไปเข้าพบเจ้าค่ะ”

 

 

“ข้าจะเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วจะเข้าไปหา” อวิ๋นหว่านชิ่นเดินไปตามทางพลางเอ่ยอย่างไม่เดือดไม่ร้อน

 

 

“เอ่อ” หญิงชราตามติดมาที่ด้านหลัง “คุณหนูใหญ่เดินช้าๆ หน่อยเจ้าคะ ไม่ต้องรีบร้อน วันนี้ด้านนอกมีลมแรง นายท่านกำชับให้ท่านสวมเสื้อคลุมตัวที่ดีที่สุดเพลาไปหาเจ้าค่ะ”

 

 

ไม่นึกเลยว่าจะน่าหงุดหงิดขนาดนี้? อวิ๋นหว่านชิ่นนึกสงสัย จึงสบตาชูซย่า แล้วสวมเสื้อขนแกะลวดลายกิ่งไม้สีเงิน ไปที่ห้องโถง

 

 

ภายในห้องโถง อวิ๋นเสวียนฉั่งที่นั่งอยู่ตำแหน่งผู้นำ รอมาได้ชั่วครู่หนึ่งแล้ว เหลียนเหนียงสวมใส่เสื้อคลุมตัวบางสีรากบัว ด้านล่างสวมกระโปรงจีบเมล็ดบัว โดยกำลังปรนนิบัติยื่นน้ำชาให้อยู่ข้างๆ และคอยยิ้มอย่างนุ่มละมุน พูดกับนายท่านบ้างสองสามประโยค

 

 

พอเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นมาถึงแล้ว เหลียนเหนียงวางกาน้ำชาลง แล้วเรียกบ่าวให้ยกเก้าอี้และเลี้ยงน้ำชา ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนดุจหยดน้ำที่คงเส้นคงวา “ยังไม่รีบไปถอดเสื้อคลุมให้คุณหนูใหญ่อีก แล้วไปนำโถน้ำร้อน[2]อุ่นมือมาด้วย อากาศเย็นแล้ว ระวังคุณหนูใหญ่จะเป็นหวัดเอา”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเดินตามทางอย่างอิดโรย เพราะเหนื่อยล้าจากการเดินทาง เพิ่งกลับมาหลายวันมานี้จึงเหน็ดเหนื่อย จึงพักผ่อนหย่อนใจฟื้นคืนกำลังกายและจิตใจครึ่งชั่วโมงในห้อง ส่วนเวลาที่เหลือก็ยุ่งตรวจสอบกับการที่ไม่เห็นสถานภาพการวางแผนบริหารและบัญชีเข้าออกของร้านเซียงอิ๋งซิ่วในหลายวันมานี้ ตอนนี้จึงได้ให้ความสนใจ ต่อเหล่าอนุภรรยาทั้งสองที่งามสง่ามีน้ำมีนวลมากกว่าแต่ก่อน อากัปกิริยาคำพูดคำจาก็โสภามากขึ้นเยอะ ที่ใดกันเล่าจะเหมือนที่สมาคมม้าผอม! ยามที่เพิ่งรับอนุภรรยามา เหลียนเหนียงยังเออออห่อหมกอยู่บ้าง ไม่แสดงอารมณ์ เหมือนกับว่าสะใภ้น้อยผู้นี้ ตอนนี้ตัวเองออกจากบ้านมาได้ไม่ถึงสิบวัน นางก็ได้ชี้นิ้วสั่งคนใช้ทำนู้นทำนี่แล้ว ราวกับว่าเป็นคุณหนูใหญ่สกุลอวิ๋น

 

 

พอเห็นเช่นนี้ ที่วันนี้ถูกบิดาเอ็นดูใคร่

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นนางยังอยู่ ความจริงบางอย่างก็กระจ่างขึ้นอย่างไม่มีใครสามารถอธิบายได้ เกรงว่าวันนี้ที่ท่านพ่อเรียกตนมา คงไม่ใช่เรื่องดีอะไร

 

 

พอจิบชาได้สองถ้วยเล็ก อวิ๋นเสวียนฉั่งได้พูดสองประโยคในเรื่องที่ทางสำนักการพระราชวงศ์กำชับไว้ก่อนถึงพิธีสมรส อวิ๋นหว่านชิ่นก็ขานรับ รอจนบิดากำชับเสร็จ หนังตาก็กระตุกขึ้น เมื่อเห็นเหลียนเนียงยืนที่ด้านหลังบิดา กำลังแอบใช้คว้าจับชายแขนเสื้อคลุมของเขา

 

 

อวิ๋นเสวียนฉั่งที่โดนอนุคนโปรดแอบดึงเช่นนั้น พลันนั่งตัวตรงทันใด สูดหายใจเข้าลึก แล้ววางถ้วยชาลง “ชิ่นเอ๋อร์ วันนี้ที่เรียกเจ้ามายังมีเรื่องเกี่ยวกับสินเดิมเจ้าสาวของเจ้าด้วย คิดอยากจะหารือกับเจ้าเสียหน่อย”

 

 

“เชิญท่านพ่อพูดเถิด”

 

 

อวิ๋นเสวียนฉั่งยกถ้วยชาขึ้นจิบสองคำ กำมือขึ้นใกล้ปากไอแค่กแค่ก แล้วนั่งจัดปกเสื้อให้ดี “ชิ่นเอ๋อร์ ขบวนล่าสัตว์วสันตฤดูขององค์ชายสามจะมอบผลึกจินเฝ่ยแก่เจ้า เจ้าตัดสินวางแผนอย่างไร?”

 

 

หลังจากชุดผลึกจินเฝ่ยถูกส่งกลับเมืองหลวง ในคืนนั้นอวิ๋นหว่านชิ่นเดิมทีให้คนย้ายไปที่เรือนอิ๋งฝูของตน อวิ่นเสวียนฉั่งกลับห้ามเอาไว้ บอกว่าเป็นสิ่งที่องค์ฮ่องเต้พระราชทานมา ทรงคุณค่ายิ่งยวด เรือนสตรีไม่มีตู้นิรภัยอะไร จึงไม่ปลอดภัย ให้รวบรวมไว้ที่ห้องเก็บในจวนชั่วคราวเสียก่อน

 

 

ทันใดนั้นอวิ๋นหว่านชิ่นก็มิได้โต้แย้ง เพียงแค่แย้มยิ้ม ก็ดี ห้องเก็บของย่อมประกันสิ่งเหล่านี้ได้ พอนึกตามความหมายของอวิ๋นเสวียนฉั่ง ในเมื่อพูดว่าเป็นสิ่งที่องค์ฮ่องเต้พระราชทาน ยิ่งต้องให้ความสำคัญ จึงล็อคด้วยตู้สามขนาดที่ต่างกัน หลังจากนั้นกุญแจของทุกตู้จะมีนาง อวิ๋นเสวียนฉั่งและม่อไคไหลสามคนที่ถือเก็บไว้

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ ใครก็ไม่อาจคิดเปิดด้วยตัวคนเดียวได้ ต้องทั้งสามคนรวมตัวกัน

 

 

อวิ๋นเสวียนฉั่งไม่คิดว่าลูกสาวจะเดินหมากเช่นนี้ ทว่าก็พูดลำบากเช่นกัน แค่ต้องยินยอมไป

 

 

 

 

 

 

——

 

 

[1] ประตูพระจันทร์ คือทางเปิดโล่งลักษณะวงกลมซึ่งเชื่อมต่อจากผนังหรือกำแพงที่ล้อมรอบสวน เป็นส่วนหนึ่งของสถาปัตยกรรมในสวนจีน ประตูพระจันทร์มีความหมายทางจิตวิญญาณหลากหลายแบบแตกต่างกันไปในแต่ละส่วน จุดประสงค์ของประตูนี้ใช้เพื่อเชื้อเชิญชนชั้นสูงหรือผู้มีฐานดีให้เข้าเยี่ยมชมสวน ดังนั้นในอดีตประตูพระจันทร์จึงมักสร้างขึ้นในสวนของผู้สูงศักดิ์เท่านั้น

 

 

[2] โถน้ำร้อน มีมาตั้งแต่ราชวงศ์ซ่ง โถน้ำร้อนจะมีรูปทรงกลมแบน มักทำมาจากทองแดง ดีบุก หรือเซรามิก ด้านในกลวง ด้านบนมีรูสำหรับใส่น้ำร้อน มีฝาปิด มีหูหิ้วด้านบนคล้ายกาน้ำชาเล็กๆ