ตอนที่ 122-4 ละโมบสินเดิมเจ้าสาว? ฝันไปเถอะ!

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

เวลานี้ อวิ๋นหว่านชิ่นฟังคำพูดของบิดา เดิมทีก็พอเดาออกถึงความหมายที่เขาเรียกตนเองมา เหลือบมองอนุภรรยาที่อยู่ข้างกายเขาอีกครั้ง ที่กำลังยิ้มมุมปาก ไม่จำเป็นต้องพูดอะไร แล้วนี่อนุภรรยาคงเป่าหูข้างเขนยอะไรอีกสิท่า จึงถามกลับไป “ท่านพ่อว่าจะวางแผนอย่างไร” อวิ๋นเสวียนฉั่งที่หน้าไม่แดงไม่หายใจหอบ[1] กล่าวอย่างหนักแน่นว่า “แม้จะบอกว่าองค์ชายสามจะให้ของขวัญแก่เจ้า แต่ในเมื่อเจ้ายังเป็นหญิงที่ยังไม่ออกเรือน พูดแบบเป็นเหตุเป็นผลแล้ว ไม่ควรจะมีทรัพย์สินส่วนตัว ทรัพย์สินทั้งหมดควรขึ้นกับตระกูลบิดา ยิ่งกว่านั้นราคาผลึกจินเฝ่ยก็สูงมาก อายุเจ้ายังน้อย ประการแรกพ่อกลัวจะเก็บรักษาไว้ไม่ดี ประการสองกลัวเจ้าจะโดนคนหลอกเข้า เท่าที่พ่อดูมา มิสู้ส่งผลึกจินเฝ่ยให้สกุลเหนียงเก็บรักษาไว้ก่อน เจ้าว่าอย่างไร?”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเผยรอยยิ้มจางๆ “จะไม่เก็บไว้ที่ห้องเก็บของในจวนรึ? แล้วให้สกุลเหนียงเก็บรักษา”

 

 

ให้สกุลเหนียงเก็บรักษาเนี่ยนะ? ตู้ล็อคสามชั้น นางที่กุมกุญแจตู้ชั้นสุดท้ายเอาไว้ เขาที่คิดพลาดพลั้งไป อวิ๋นเสวียนฉั่งก็ขมวดคิ้ว แล้วพูดเข้าตรงประเด็น “ความหมายของพ่อคือ พ่ออาจให้เจ้าเตรียมพิธีสมรส ในด้านสินสอดไม่อาจปฏิบัติต่อเจ้าอย่างขาดยุติธรรมได้ ให้เจ้ามีหน้ามีตาเข้าจวนอ๋อง ไม่ให้โดนคนดูถูกเด็ดขาด สำหรับผลึกจินเฝ่ย เจ้าก็ไปอยู่ที่สกุลเหนียงซะ สกุลเหนียงจะดูแลเจ้าเอง พ่อไม่ได้ละโมบของของเจ้า วันหลังถ้าเจ้าคิดอยากได้ ข้าค่อยให้เจ้า”

 

 

ยังจะให้ข้าอยู่หรือ? แววตาอวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มอย่างเย็นชา ราวกับกลืนกินเนื้อติดมัน ยังพ่นคำพูดออกมาได้อีกรึ? อยากจะครอบครองสิ่งของของตน ยังมาพูดจาอย่างดูจากภายนอกสง่าผ่าเผยแต่ความจริงไม่ใช่

 

 

อนุภรรยาผู้นี้ ยิ่งเลี้ยงไว้ความทะเยอทะยานยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ รับนางมาในราคาสี่พันตำลึงแต่กลับไม่พอใจรึ? จึงคิดหาวิธีตีหัวนาง! แม้ฉินอ๋องจะส่งของโบราณล้ำค่าของนางให้ก็ล้วนคิดเองเออเองทั้งนั้น! ต่อให้นางไม่ต้องการ กี่ครั้งแล้วที่วนกลับมาที่อนุภรรยาผู้นี้? คิดละโมบทรัพย์สินสินเดิมเจ้าสาวของตนอย่างนั้นหรือ? ฝันไปเถอะ!

 

 

“หากลูกไม่ต้องการนำผลึกจินเฝ่ยออกเรือนเล่า ท่านพ่อกำลังปฏิบัติต่อลูกอย่างไม่ยุติธรรมเรื่องสินสอดหรือไม่?” อวิ๋นหว่านชิ่นยกถ้วยชาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ลูบถ้วยชา ด้วยจิตใจสงบนิ่ง

 

 

“เจ้า เจ้าว่าอย่างไรนะ!” อวิ๋นเสวียนฉั่งโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ตบโต๊ะไปหนึ่งที ตะลึงจนถ้วยชาลอยขึ้นฟุ่บ น้ำชาสาดกระเซ็นเล็กน้อย “ที่ข้าคิดมาก็เพื่อผลดีแก่เจ้า ลูกต้องการให้ตนมีทางถอยห่างออกมาจากตรงนั้น เจ้าเอาทรัพย์สินไปไว้ที่สกุลเหนียง พ่อก็แค่จะเก็บรักษาให้เจ้าก่อน มีอะไรไม่ถูกต้องหรือ? อีกทั้งสกุลอวิ๋น ยังมีน้องชายเจ้า! นางลูกสาวอกตัญญู เปลี่ยนน้ำใจพวกข้ากลายเป็นตับปอดลา[2]ไปเสียได้!” โธ่ ยังไม่ทันได้พูดอะไรเลย ก็เป็นสุนัขจนตรอก คงฉีกหน้าสิท่า ยังมีลับลมคมในภายในใจ! อวิ๋นหว่านชิ่นจิบชา ยิ้มกริ่มอ่อนช้อยบนขอบถ้วยลายคราม

 

 

อวิ๋นเสวียนฉั่งเห็นนางนิ่งเงียบไม่แยแส ดื่มชาอย่างไม่เดือนไม่ร้อน จึงยิ่งโกรธจนหน้าแดง เหลียนเหนียงที่เห็นสถานการณ์ ที่กัดปากอยู่ข้างๆ ก็เอ่ยเสียงต่ำว่า “คุณหนูใหญ่ นายท่านก็คิดเพื่อผลประโยชน์ของคุณหนู นายท่านเป็นบิดาของท่าน เป็นคนสกุลอวิ๋น มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับท่าน ไม่อาจทำร้ายท่านได้หรอก ก่อนที่สินสอดจะส่งมา ในหมู่องค์ชายก็นับว่าท่าทางไม่มีสง่าราศีเอาเลยเลย ภูมิหลังของฉินอ๋องนั้น คุณหนูใหญ่คงแจ่มแจ้งมากกว่าพวกข้า…ในหลายวันนี้ นายท่านก็แค่เป็นห่วงท่าน กลัวท่านจะลำบาก เลยจะเก็บรักษาให้ท่าน ให้เจ้ามีหนทางมากกว่าเดิม หากต้องการในภายหลัง เจ้าก็หมุนเวียนเอาไปใช้ได้ ทว่าถ้าเอาไปหมด มันจะเสี่ยงเกินไป…”

 

 

“หุบปาก ที่เจ้าจะพูดมีแค่นี้ใช่ไหม? มีแต่แม่เล็กนั่นแหล่ะ!”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นวางถ้วยชาลายครามที่แตกร้าวลงบนโต๊ะเสียงดังสนั่น ‘แม่เล็ก’ สองคำนี้ที่แสนเย็นเยือกและแหลมคม ยิ่งโดยเฉพาะจิตใจที่ถูกทำให้ตกใจกลัว

 

 

เหลียนเหนียงตระหนกตกใจ

 

 

“แม่เล็กได้ขึ้นเป็นฮูหยินตั้งแต่เมื่อไรกัน แม้แต่สินสมรสของคุณหนูนางคณิกาก็ต้องกลุ้มใจด้วยหรือ? มือนี้ของแม่เล็ก ก็ยืดได้ยาวพอควรนี่!” อวิ๋นหว่านชิ่นเชิดคางขึ้น จ้องเขม็งที่เหลียนเหนียง ด้วยแววตาที่เหยียดหยาม ภายใต้การสนทนาที่รุนแรง

 

 

เหลียนเหนียงกัดฟันกรอด ไม่เปล่งเสียงใดๆ มีเพียงหยดน้ำตาที่ดุจลูกปัดไหลหยดลงมา

 

 

“พอได้แล้ว!” อวิ๋นเสวียนฉั่งที่เห็นอนุคนโปรดน้อยใจ จึงตบโต๊ะไปอีกครั้ง ระบายอารมณ์แทนอนุคนโปรด “สกุลอวิ๋นเลี้ยงเจ้ามากว่าสิบปี ในเมื่อเจ้าว่าให้พวกข้าเป็นหัวขโมย คอยระแวงจนเครียดขนาดนี้ พ่อก็จะไม่บีบบังคับเจ้าแล้ว! ผลึกจินเฝ่ยนั่น เจ้าจะเอาไปก็เอาไปเลย! ไม่ต้องผ่านการตระเตรียมเรื่องพิธีสมรส ที่หลังจวนไม่มีคน ร่างกายของท่านย่าเจ้าก็เพิ่งหายป่วย อนุฟางที่นิสัยเสีย ที่ทำการใดก็ไม่มีความสุขุม ครั้งนี้ ข้าต้องการให้เหลียนเหนียงดูแลแทน ครั้งนี้ เรื่องสินสมรสของเจ้าต้องให้นางรับผิดชอบ!”

 

 

ต้องการให้เหลียนเหนียงจัดการหรือ? ไม่ใช่ว่าต้องการให้นางมีโอกาสได้หน้าหรือ? อวิ๋นหว่านชิ่นดึงชายกระโปรง แย้มยิ้มอย่างธรรมชาติ ลุกขึ้นยืน เลิกคิ้วบางอันงาม ไม่ซ่อนเร้นใบหน้าที่เต็มเปี่ยมด้วยเหยียดหยามและยั่วเย้าแม้แต่น้อย “ลูกต้องการสินสมรสของราชวงศ์ ท่านพ่อต้องการให้อนุที่มาจากสมาคมม้าผอมจัดการเรื่องสินสอดของข้า ท่านจะไม่ไว้หน้าตนเอง ไม่ไว้หน้าข้า หรือว่า…ไม่ไว้หน้าราชวงศ์กันรึ?”

 

 

“เจ้า…” อวิ๋นเสวียนฉั่งหายใจถี่ กลับไม่รู้จะว่าอย่างไรดี

 

 

สีหน้าเหลียนเหนียงที่คล้ายจะหมองหม่น กลับติดสอยห้อยตามหลังนายท่านอย่างแนบแน่น ประหนึ่งต้นฝอยทอง[3]!

 

 

“อ้อ ใช่แล้ว ที่ท่านพ่อพูดมาทั้งหมด ยังเป็นปัญหาใช่หรือไม่ ที่หลังจวนไม่มีคน การรักษาท่านย่าในช่วงแรก อนุฟางก็ไม่มีความสามารถ ท่านย่าก็ถูกกักตัวในอาราม เช่นนั้นแล้ว” อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มกริ่ม “ก็ให้ลูกจัดการสินเดิมเจ้าสาวเองเถอะค่ะ ถ้าท่านพ่อรู้สึกไม่ดี ก็ให้ข้ายืมตัวฮุ่ยหลาน พอถึงเวลาออกงานให้นามเป็นชื่อของท่านย่าและนาง” ในชาตินี้ นางจะจัดการด้วยตัวเอง ตามฉบับพิธีสมรสแบบดั้งเดิม จนคนนอกไม่ต้องคิดเดินหอบเงินให้แก่ตนแม้แต่น้อย!

 

 

“ที่คุณหนูใหญ่พูดว่ามาจากสมาคมม้าผอมไม่เหมาะสมกับการจัดการเรื่องสินสอด แล้วไฉนต้องให้ฮุ่ยหลานช่วยเจ้า?” เหลียนเนียงหายใจหอบ สะอึกสะอื้นพลางน้ำตาไหลริน ดูไม่น่าเลื่อมใสไปเสียทุกอย่าง

 

 

“ใช่แล้ว” อวิ๋นเสวียนฉั่งออกโรงปกป้องเหลียนเหนียง “เหลียนเหนียงสติปัญญาดี ความสามารถในการจัดการก็เก่งมากกว่าฮุ่ยหลานหลายโข!”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มอย่างดูหมิ่น “ท่านพ่อ สติปัญญาดีก็ต้องใช้ให้ถูกวิธีด้วย หนูที่ฉลาดพอ ถึงข้าจับหนูเลี้ยงในยุ้งฉาง จะเผยช่องโหว่ให้ข้าเห็นรึ? ที่กลัวแค่ว่าข้าจะกินข้าวจนเกลี้ยง” แล้วหันไปทางเหลียนเหนียง “คนแต่ละคนล้วนแตกต่างกัน ที่เหมือนกันคือคนที่ออกมาจากสมาคมม้าผอม ที่ชอบยุให้รำตำให้รั่วและละโมบทรัพย์สินของผู้อื่น ยิ่งควรจะเป็นหนอนแมลงที่ต้อยต่ำ! ทำตัวดีๆ ไม่ออกนอกลู่นอกทาง จึงจะเป็นเรื่องที่ถูกต้อง! ถ้าครั้งหน้า มือยังยื่นออกมาอีก ข้าจะต้องตัดมันทิ้งเสีย!” เหลียนเหนียงร่างสั่นเทา ตัวหดอยู่หลังอวิ๋นเสวียนฉั่ง ชักมือที่ดึงชายเสื้อเขา ราวกับสัตว์ตัวน้อยที่โดนข่มขู่

 

 

อวิ๋นเสวียนฉั่งเห็นสถานการณ์ที่อยู่เบื้องหน้าตน ลูกสาวผู้นี้ที่กล้าขู่ขวัญอนุคนโปรด ไม่ไว้หน้าตนแม้แต่น้อย จนหน้าม่วงไปหมดแล้ว กระเพาะก็เกิดปวดขึ้นมา จึงลุกขึ้นยืนอย่างฉับพลัน ท้ายที่สุดก็ยกมือขึ้น

 

 

ชูซย่าทำเสียงฮึดฮัดเบาๆ กล่าวเตือนสติขึ้นว่า “นายท่าน ภายภาคหน้า รับรองว่าสำนักการพระราชวงศ์จะต้องส่งตัวแม่นมมาแน่เจ้าค่ะ”

 

 

อวิ๋นเสวียนฉั่งราวกับมีก้อนบางอย่างจุกที่คอ ค่อยๆ วางมือวางลง ตามกฎแล้ว ก่อนที่พระชายาขององค์ชายจะออกเรือน ในวังหลวงจะส่งตัวแม่นมเข้าจวนมาสอนกฎและมารยาทในวันแต่งงานใหญ่ ถึงเวลาให้นางในที่กุมอำนาจมาดูหน้าเจิ้งเฟยของฉินอ๋องแล้วรึ?

 

 

ด้วยความโกรธที่ไม่มีที่ระบาย ทั้งยังไม่ได้ผลึกจินเฝ่ยนั่นอีก กลับกันยังโดนลูกสาวยั่วยุ จนโรคเก่าของอวิ๋นเสวียนฉั่งกำเริบอีกครั้ง ปวดกระเพาะมากขึ้น จนงอตัวลง

 

 

เหลียนเหนียงที่มีหยดน้ำตาเกาะบนขนตา ก็รีบประคองตัวนายท่าน “นายท่านเป็นอย่างไรบ้าง?” แล้วพาอวิ๋นเสวียนฉั่งนั่งลงโดยพลัน

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นค่อยๆ ยิ้มขึ้นพลางสะบัดแขนเสื้อ ฉายแววตาที่เย็นยะเยือก โจรยังแสร้งว่าโดนปล้นอย่างอยุติธรรม ร่างกายที่เปี่ยมสุข ไร้ซึ่งความเมตตา “ท่านพ่อดื่มช้าๆ หน่อย อย่าให้ร่างอ่อนเพลีย วันพิธีสมรส ท่านยังต้องมาคุกเข่า เวลานี้ไม่ดูแลร่างกายจะทำอย่างไรกันเล่า? ลูกขอตัวกลับเรือนก่อน” ทิ้งเรื่องระเกะระกะ แล้วเดินนำหน้าชูซย่าจากไป

 

 

อวิ๋นเสวียนฉั่งได้ฟังก็คุกเข่าลง ยิ่งโกธามากกว่าเดิม ประคองที่ท้องเจ็บไปครึ่งวันก็ยังไม่ดีขึ้น

 

 

 

 

——

 

 

[1] หน้าไม่แดงหายใจไม่หอบ หมายถึงคนที่แม้จะแก่แล้ว แต่ก็ยังมีสุขภาพดี ที่หน้าไม่เปลี่ยนสีไม่หายใจหอบเหนื่อย

 

 

[2] เปลี่ยนน้ำใจกลายเป็นตับปอดลา หมายถึงเวลาคนทำเรื่องดีๆ จะโดนต่อต้านหรือโดนโจมตี

 

 

[3] ต้นฝอยทอง มีความหมายแฝงว่าคนที่ทำตัวเป็นกาฝาก เพราะต้นฝอยทองเป็นวัชพืชกาฝาก จึงเอามาเปรียบเปรยคนที่ต้องพึ่งพาคนอื่นทำตัวเป็นกาฝาก