ตอนที่ 252 ลูกพี่กลับมาแล้ว โรงเรียนกลับมาคึกคักอีกครั้ง!

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

เกาหยางวางปากกาในมือลง พลางหยิบขึ้นมาดู 

 

 

เขาเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า 

 

 

เมื่อคนอื่นพูดถึงฉินหร่านขึ้นมา เขาก็ยิ้มร่า แต่ไม่ได้พูดสิ่งใด เพียงมองตัวอักษรสองตัวที่ปรากฏชัดบนหน้าจอโทรศัพท์ ก่อนหยุดชะงักไป 

 

 

จากนั้นรีบหยิบโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว พลางดันเก้าอี้แล้วยืนขึ้นเดินออกจากประตูไป 

 

 

“เธอกลับมาอวิ๋นเฉิงแล้วหรอ?” น้ำเสียงตื่นตระหนกแปรเปลี่ยนเป็นความอบอุ่น 

 

 

เกาหยางรับโทรศัพท์ในห้องทำงาน เหล่าอาจารย์กลุ่มหนึ่งในห้องจึงมองหน้ากัน 

 

 

ด้านหลังสุดยังมีอาจารย์สอนฟิสิกส์มองมายังอาจารย์เฉิน พูดอย่างลังเลว่า “เมื่อครู่อาจารย์เกาบอกว่า…ฉินหร่านกลับมาแล้วหรอ?” 

 

 

อาจารย์เฉินส่ายหน้าอย่างไม่มั่นใจเท่าไหร่นัก 

 

 

คนที่โทรหาเกาหยางคือฉินหร่านจริงๆ 

 

 

เธออยู่ที่สนามบินอวิ๋นเฉิง เพิ่งลงจากเครื่อง สวมเสื้อเชิ้ตสีแดงขาวลายสก็อต ชายแขนเสื้อพับขึ้นเล็กน้อย นั่งอยู่บนกระเป๋าเดินทาง โดยมีมืออีกข้างหนึ่งของเฉิงเจวี้ยนดันกระเป๋าเดินทางไว้ 

 

 

ซือลี่หมิงที่เดินตามด้านหลังทั้งสองคน มองดูรอบด้านด้วยท่าทีที่ตื่นเต้นอย่างมาก  

 

 

ขณะเดียวกันเฉิงมู่ได้ออกไปเอารถก่อนหน้านี้แล้ว 

 

 

“อาจารย์เกา วันจันทร์หนูถึงจะไปโรงเรียนนะคะ” ฉินหร่านยื่นมือออกไปดึงหมวกแก๊ปลง เผยให้เห็นเพียงกรามล่างอันเรียบเนียนดั่งหยกเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น 

 

 

เกาหยางที่ยืนอยู่บนระเบียงทางเดิน มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์ อีกข้างดันขอบระเบียงไว้ พลางก้มลงมองเหล่าอาจารย์และนักเรียนด้านล่าง หน้าตาเปี่ยมไปด้วยความสุขอย่างชัดเจน “กลับมาก็ดีแล้ว เอกสารของเธอครูเก็บไว้ให้อย่างดีเลย” 

 

 

ผ่านไปสักพักหนึ่ง เกาหยางถามขึ้นมาอีกว่า “การเรียนมีตกหล่นอะไรไหม?” 

 

 

“ไม่มีค่ะ” ฉินหร่านยิ้มตอบ พลางหมุนสายหูฟังที่หูข้างหนึ่ง “ปกติหนูเรียนที่บ้านเอาน่ะค่ะ”  

 

 

ฉินหร่านเป็นคนที่มีแบบแผนมาโดยตลอด เมื่อได้ยินเธอพูดเช่นนี้เกาหยางจึงวางใจ “ไม่ตกหล่นอะไรก็ดีแล้ว เธอเป็นคนมีความคิดเป็นของตัวเอง ครูก็ไม่พูดอะไรมาก กลับมาโรงเรียนครั้งนี้ ยังมีเรื่องบางเรื่องที่เธอต้องจัดการให้เรียบร้อย” 

 

 

เขาพูดคุยกับฉินหร่านอีกไม่กี่คำก็วางสาย 

 

 

เกาหยางมองดูหน้าจอโทรศัพท์ที่วางสายไป ขณะคิดอะไรอยู่ชั่วครู่ ก่อนเปิดรายชื่อในโทรศัพท์ จิ้มหมายเลขโทรศัพท์ของอาจารย์ใหญ่สวี เพื่อส่งข้อความให้อีกฝ่ายทราบ 

 

 

เสร็จแล้วจึงกลับห้องทำงาน เกาหยางรู้สึกโล่งใจ 

 

 

อาจารย์ท่านอื่นๆ ต่างระมัดระวังท่าทีของเกาหยาง แม้ว่าตอนนี้หลี่อ้ายหรงกำลังจัดการกับหนังสืออยู่ แต่สายตากำลังจับจ้องเกาหยางที่อยู่อีกฝั่ง 

 

 

“อาจารย์เกา คนที่โทรหาคุณคือฉินหร่านเหรอคะ?” อาจารย์เฉิน อาจารย์สอนภาษาอังกฤษประจำห้องเก้ากับเกาหยางมีความสัมพันธ์ที่ดีมาโดยตลอด เธอวางกระดาษข้อสอบที่อยู่ในมือ ก่อนถามด้วยความสงสัย 

 

 

เกาหยางพยักหน้า ยิ้มตอบ “ใช่ครับ วันนี้เพิ่งกลับมาถึงอวิ๋นเฉิง เพื่อมาสอบเข้ามหาวิทยาลัยสองวันตามเวลาที่กำหนดไว้” 

 

 

เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ อาจารย์เฉินก็ถอนหายใจด้วยความโล่งใจ 

 

 

ฉินหร่านพักการเรียนไปก็เกือบแปดเดือนแล้ว ตอนแรกไม่ว่าอาจารย์ท่านไหนก็ต่างรู้สึกสบายใจอย่างมาก แต่ระยะหลังก็เริ่มรู้สึกกังวลว่าฉินหร่านจะเรียนไม่ทันคนอื่น 

 

 

เนื่องจากก่อนหน้านี้เธอก็เคยพักการเรียนมาแล้ว ไม่รู้ว่าเธอจะสามารถสอบเข้ามหาลัยได้หรือไม่ 

 

 

ตอนนี้เมื่อเกาหยางบอกว่าเธอจะกลับมา ส่วนลึกในใจของอาจารย์เฉินก็รู้สึกวางใจแล้ว 

 

 

หลี่อ้ายหรงจัดการกับหนังสือเสร็จเรียบร้อย พลางมองดูใบหน้าอันชื่นมื่นของอาจารย์เฉินและเกาหยาง ก็อดไม่ได้ที่จะเม้มปาก “ไม่ได้มาโรงเรียนตั้งเจ็ดเดือน ใครจะไปรู้ เด็กคนนั้นอาจจะไม่เหลือความรู้อะไรแล้วก็ได้” 

 

 

คาบต่อไปคือวิชาคณิตศาสตร์ของเกาหยาง เขาหยิบม้วนกระดาษ เมื่อได้ยินหลี่อ้ายหรงพูดเช่นนี้ เขาก็ได้แต่ยิ้ม ไม่ได้ตอบอะไร พลางไขว้มือเดินขึ้นชั้นเรียนด้วยท่าทีไม่แยแส 

 

 

เมื่อเขาเดินออกไปแล้ว อาจารย์ท่านอื่นในห้องทำงานก็ต่างมองหน้ากัน 

 

 

“นักเรียนคนอื่นฉันไม่รู้หรอก แต่ว่าฉินหร่านน่ะ เธอไม่เหมือนกับนักเรียนทั่วไป” อาจารย์สอนฟิสิกส์ยิ้มพูด ขณะเอนตัวพิงเก้าอี้ ในมือยังคงถือแก้วเก็บความร้อนของตัวเองไว้ “เธอมีแผนในชีวิตของตัวเอง” 

 

 

หลี่อ้ายหรงก็ปากคอเราะราย ผลการเรียนของฉินหร่านเป็นอย่างไร ทุกคนก็เห็นกันมาแล้ว 

 

 

เพียงแค่ฉินหร่านลาหยุดไปครั้งนี้ก็เจ็ดเดือนเข้าไปแล้ว เป็นเรื่องที่พบได้ยาก ระยะการสอบก็กระชั้นชิดเข้ามา ทั้งมีคนพูดถึงฉินหร่านมากขึ้นเรื่อยๆ บางคนสงสัยว่าฉินหร่านจะสอบทันภายในระยะเวลาที่สั้นขนาดนี้หรือ 

 

 

ในที่สุดตอนนี้ได้รับข่าวคราวจากเกาหยาง อาจารย์ท่านอื่นๆ ในห้องทำงานก็ต่างสบตากัน ราวกับโรงเรียนมัธยมเหิงชวนและโรงเรียนมัธยมอวิ๋นเฉิงเกิดเขม่าควันไฟในที่มืด ก่อนหน้านี้ทั้งสองโรงเรียนสอบร่วมกันกี่ครั้ง ก็ดูเป็นคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อ 

 

 

ก่อนหน้านี้มีคนไม่น้อยที่คาดเดาข่าวคราวของฉินหร่านไปต่างๆ นานาแต่ส่วนใหญ่ก็เป็นข่าวปลอม บ้างก็ว่าฉินหร่านไปเรียนแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศแล้ว บางก็ว่าฉินหร่านจะไม่เข้าร่วมการสอบ 

 

 

บัดนี้ตั้งแต่เกาหยางได้รับการตอบกลับที่ชัดเจนแล้ว ว่าฉินหร่านจะกลับมาจริง ๆ…แบบแผนระหว่างมหาวิทยาลัยใหญ่ของอวิ๋นเฉิงก็ต้องเปลี่ยนไป 

 

 

สวีเหยากวงแห่งเหิงชวน พานหมิงเย่ว์และนักเรียนหัวกะทิหลายๆ คนของมัธยมอวิ๋นเฉิง และในตอนนี้ม้ามืดอย่างฉินหร่านได้กลับมาแล้ว การสอบเข้ามหาวิทยาลัยปีนี้คงคึกคักกว่าที่ผ่านมาเป็นครั้งไหน ๆ 

 

 

** 

 

 

ในขณะเดียวกัน 

 

 

เฉิงมู่ที่นั่งอยู่ในตำแหน่งคนขับ กำลังขับรถอยู่บนถนนสายหลักของสนามบินอวิ๋นเฉิง โดยมีซือลี่หมิงนั่งด้านข้าง 

 

 

ทิศทางของรถไม่ได้มุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์ใจกลางเมืองอวิ๋นเฉิง แต่มุ่งตรงไปยังสุสานแห่งหนึ่ง 

 

 

ฉินหร่านจะไปหาเฉินซูหลานก่อน ระหว่างทางเฉิงมู่ได้หยุดแวะร้านดอกไม้แห่งหนึ่ง เพื่อให้เธอและเฉิงเจวี้ยนได้ลงไปซื้อดอกไม้ช่อหนึ่ง 

 

 

ยี่สิบนาทีผ่านไป รถได้หยุดลงที่หน้าประตูสุสาน 

 

 

ซือลี่หมิงและเฉิงมู่ไม่ได้ลงไปด้วย 

 

 

รอให้เฉิงเจวี้ยนกับฉินหร่านเดินผ่านประตูสุสาน ซือลี่หมิงถึงกดเสียงต่ำถามเฉิงมู่ว่า “นายท่านกับคุณหนูฉินไปหาใครครับ?” 

 

 

ต่อไปต้องทำงานร่วมกันอีกยาว เฉิงมู่จึงไม่ได้ปิดบังซือลี่หมิงเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาอธิบายบางเรื่องของเฉินซูหลานให้ฟังอยู่ครู่หนึ่ง 

 

 

ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มลึกว่า “เรื่องนี้เป็นปมในใจของคุณหนูฉิน เฉิงเจวี้ยนพาเธอไปรัฐ M เพราะเหตุผลนี้ นายรู้ต้นสายปลายเหตุก็ดีแล้ว แต่อย่าหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดต่อหน้าเธอเด็ดขาด” 

 

 

เจ็ดเดือนกว่าที่อยู่รัฐ M เมื่อครั้งที่ฉินหร่านกำลังศึกษาเรื่องหุ่นยนต์AIระดับพื้นฐานอยู่นั้น บ่อยครั้งที่เฉิงมู่จะถูกเฉิงเจวี้ยนพาออกไปจากศูนย์ประจำการเพื่อออกไปหาประสบการณ์ ทุกวันนี้ร่างกายของเขาหายใจได้เต็มที่เหมือนปกติ 

 

 

ท่าทีเปลี่ยนไปเมื่อเทียบกับครึ่งปีก่อน 

 

 

เมื่อได้ยินเฉิงมู่พูดเช่นนี้ ซือลี่หมิงจึงตอบรับอย่างเคร่งขรึม “ผมทราบแล้วครับ” 

 

 

เฉิงมู่พยักหน้า ไม่พูดสิ่งใดต่อ ก่อนโทรศัพท์ในกระเป๋าดังขึ้น เขาก้มมองดูทีหนึ่ง 

 

 

เป็นข้อความส่งมาจากโอวหยางเวย 

 

 

ถามว่าตอนนี้เขาอยู่ไหน 

 

 

หากเป็นครึ่งปีก่อน เมื่อเห็นข้อความจากโอวหยางเวย เฉิงมู่ต้องดีใจราวกับคนบ้าไม่ปาน เพราะอย่างไรโอวหยางเวยก็คือนางฟ้าของเขา… 

 

 

เพียงแต่ตอนนี้… 

 

 

เฉิงมู่ขมวดคิ้ว ไม่ได้ตอบข้อความกลับ 

 

 

ฉินหร่านและเฉิงเจวี้ยนอยู่หน้าหลุมศพของเฉินซูหลานอยู่ชั่วครู่ ทั้งสองคนนั่งลงอยู่ครึ่งชั่วโมง ฉินหร่านที่นั่งอยู่ด้านหน้าหลุมศพเล่าเรื่องขณะที่เธออยู่ที่รัฐ M อย่างละเอียดรอบหนึ่ง ก่อนยืนขึ้น ปัดฝุ่นบนเสื้อผ้าออก 

 

 

“ไปกันเถอะ” เธอก้มหัว พูดอย่างเอื่อยเฉื่อย ก่อนม้วนเเขนเสื้อขึ้นอีกครั้งหนึ่ง 

 

 

เดิมเฉิงเจวี้ยนนั่งอยู่กับเธอ เมื่อเห็นเธอยืนขึ้น เขาก็ไม่ได้รีบลุกขึ้นทันที ก่อนวางดอกไม้ลงหน้าหลุมศพเฉินซูหลานแล้วเงยหน้ามองสีหน้าของฉินหร่าน 

 

 

แววตาของเธอมืดสนิท ดวงตาไม่ได้แดงก่ำเหมือนครึ่งปีที่ผ่านมา 

 

 

เขาลุกยืนขึ้น “พวกเราไปกันเถอะ” 

 

 

** 

 

 

คฤหาสน์ใจกลางเมืองอวิ๋นเฉิง 

 

 

ช่วงเวลาสั้นๆ ที่เฉิงเจวี้ยนไม่ได้อยู่ที่อวิ๋นเฉิง พ่อบ้านเฉิงก็กลับเมืองหลวง เมื่อเฉิงเจวี้ยนและฉินหร่านกลับอวิ๋นเฉิง เขาได้กลับมาที่คฤหาสน์เมื่อสองวันก่อนแล้ว 

 

 

ช่วงเวลาที่พวกเขาไม่อยู่ ก็มีแม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดอยู่เสมอ เมื่อพ่อบ้านเฉิงกลับมาก็พาลูกน้องจำนวนหนึ่งมาด้วย เพื่อจัดการซื้อของตกแต่งทั้งในและนอกคฤหาสน์ใหม่อีกครั้ง 

 

 

ทั้งตึกของคฤหาสน์เมื่อเทียบกับช่วงที่เฉิงเจวี้ยนไม่อยู่ก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่นัก 

 

 

“นายน้อย คุณหนูฉิน” พ่อบ้านเฉิงเตรียมโต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้ว 

 

 

พวกเขานั่งลงที่โต๊ะทานข้าว เขาถึงถอดแว่นสายตายาวที่วางอยู่บนสันจมูกลง ก่อนหยิบสมุดเล่มเล็กจากกระเป๋าเสื้อเปิดดู พลิกไปไม่กี่หน้า ก่อนใช้มือดันแว่นสายตายาวมองฉินหร่าน “คุณหนูฉิน ตอนที่คุณอยู่รัฐ M ได้ตั้งใจเรียนกับติวเตอร์ที่บ้านไหมครับ?” 

 

 

ฉินหร่านหยิบตะเกียบ ก้มหัวพูดด้วยน้ำเสียงคลุมเครือ “ค่ะ” 

 

 

พ่อบ้านเฉิงมองฉินหร่านแวบหนึ่ง สัมผัสได้ว่าคำตอบของเธอมีบางอย่างไม่ถูกต้อง 

 

 

เมื่อรอฉินหร่านกินข้าวเสร็จ เขาพิจารณาครู่หนึ่ง ก่อนหยิบโทรศัพท์ส่งข้อความถามอาจารย์ติวเตอร์กลุ่มนั้นสองสามประโยค 

 

 

จากนั้นก็เติมรูปรอยยิ้มน้อยๆ เพื่อความสุภาพ 

 

 

ดูเหมือนว่าอาจารย์ติวเตอร์เหล่านั้นล้วนตอบกลับเขาเป็นข้อความเดียวกันว่า 

 

 

[…..] 

 

 

เรื่องนี้ช่างมันเถอะ ทว่าทุกคนต่างคืนเงินให้เขา 

 

 

มันหมายความว่าอย่างไรกัน?! 

 

 

พ่อบ้านเฉิงตกตะลึงจนใบหน้าซีดเผือด หรือว่าคุณหนูฉินจะอยู่ในสภาพที่เกินเยียวยาแล้ว? 

 

 

ขณะเดียวกันมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น 

 

 

“พ่อบ้านเฉิง เป็นโทรศัพท์จากนายท่านใหญ่ครับ” คนใช้คนหนึ่งถือโทรศัพท์มาให้ พลางพูดกับพ่อบ้านเฉิงอย่างสุภาพ 

 

 

พ่อบ้านเฉิงเดินไปรับโทรศัพท์อย่างกังวลใจ 

 

 

“นายท่าน” เขาหยิบโทรศัพท์แนบหู ตอบรับอย่างมีมารยาท 

 

 

มีคนวงในไม่น้อยที่รู้แล้วว่าฉินหร่านอยู่ที่อวิ๋นเฉิง นายท่านเฉิงก็ได้ยินมาเช่นกัน 

 

 

จึงโทรศัพท์หาพ่อบ้านเฉิงเพื่อถามเรื่องนี้โดยเฉพาะ 

 

 

พ่อบ้านเฉิงมองชั้นบนแวบหนึ่ง พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ น้ำเสียงมีความกังวล “คุณหนูฉินกลับมาเพื่อเข้าร่วมการสอบเข้ามหาวิทยาลัย แต่อาจารย์ที่สอบพิเศษให้เธอล้วนคืนเงินกลับมาครับ” 

 

 

หรือว่าไม่มีทางช่วยเหลือคุณหนูฉินแล้ว? 

 

 

ณ เมืองหลวง ขณะที่นายท่านเฉิงนั่งอยู่บนโซฟาพูดคุยโทรศัพท์เสร็จเรียบร้อย เขานั่งใคร่ครวญ 

 

 

โอวหยางเวยที่นั่งอยู่บนโซฟาอีกฝั่งก็รักษามารยาทเป็นพิเศษ “คุณปู่เฉิงคะ เป็นพ่อบ้านเฉิงเหรอคะ?” 

 

 

เมื่อพูดถึงเรื่องอายุ โอวหยางเวยมีอายุอ่อนกว่าเฉิงเจวี้ยน 

 

 

“เป็นเขาแหละ” นายท่านเฉิงตอบ วันนี้เขาเรียกหาโอวหยางเวยเพื่อถามเรื่องหน่วยสืบสวน129โดยเฉพาะ 

 

 

ปีที่แล้วโอวหยางเวยกลายเป็นสมาชิกสามัญของหน่วยสืบสวน129 เรื่องนี้ดึงดูดข่าวลือต่างๆ นานา จากพวกวงในไม่น้อย 

 

 

“ได้ยินมาว่านายน้อยเฉิงไปเที่ยวที่รัฐ M ในที่สุดก็กลับมาแล้วเหรอคะ?” โอวหยางเวยเม้มปากยิ้มถาม พลางมองไปยังนายท่านเฉิง “ท่านกังวลเรื่องผู้หญิงคนนั้นที่อยู่ข้างตัวเขาเหรอคะ?” 

 

 

ครั้งนี้นายท่านเฉิงถึงกับเงยหน้ามอง ตอบด้วยท่าทีที่เงียบสงบ “ปีนี้เธอต้องสอบเข้ามหาลัย ฉันต้องส่งพ่อบ้านเฉิงไปจัดการกับเรื่องนี้โดยเฉพาะ”“สอบเข้ามหาลัย?” โอหยางเวยตะลึง เธอเม้มปาก พูดด้วยความประหลาดใจยิ่ง “ปีที่แล้ว เฉิงมู่ไม่ได้บอกหรือว่า…คุณหนูฉินคนนั้นไม่จำเป็นต้องสอบเข้ามหาลัย? สกุลเฉิงและสกุลลู่ได้จัดการไว้เรียบร้อยแล้ว?”