“สกุลเฉิงจัดการ? ใครจัดการอะไรให้เธอกัน?” ด้านนอกมีชายวัยกลางคนหนึ่งเดินเข้ามา เมื่อได้ยินโอหยางเวยพูดเช่นนี้ ก็ตอบกลับอย่างเย็นชา “คำพูดเหิมเกริมของเขาก็ให้เจ้าตัวไปจัดการเอง สกุลเฉิงคงไม่ต้องขายขี้หน้า!”
“เฉิงเหราฮั่น!” นายท่านเฉิงวางแก้วชาในมือลง ใบหน้าสุขุมลุ่มลึกเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ ขัดคำพูดของเขาด้วยสายตาอันแหลมคม
โอวหยางเวยตะลึงงัน เธอยืนขึ้นอย่างระมัดระวัง “คุณปู่เฉิง คุณอาเฉิง พวก…”
เรื่องนี้ไม่เคยมีใครหยิบมาพูดต่อหน้านายท่านเฉิง
ดวงตาทั้งสองข้างของเขามองมาอย่างไร้จุดหมาย พลางโบกมือตอบด้วยรอยยิ้มและน้ำเสียงอบอุ่น “ไม่เป็นไร เด็กคนนั้นมีคนคอยหนุนหลังอยู่เสมอนั่นแหละ”
เมื่อได้ยินนายท่านเฉิงพูดเช่นนี้ มือทั้งสองข้างของโอวหยางเวยก็ค่อยๆ กำแน่น เธอเพียงยิ้มตอบไปว่า “เรื่องที่ปู่พูดให้หนูช่วยจัดการเถอะค่ะ งั้นหนูไม่รบกวนอะไรปู่แล้วนะคะ”
นายท่านเฉิงเดินออกมาส่งเธอที่หน้าประตูด้านนอกด้วยตัวเอง
โอวหยางเวยเดินออกไปแล้ว นายท่านเฉิงจึงค่อยๆ เดินกลับไป
“พ่อ พ่อยอมน้องสามเกินไปแล้วรึเปล่า? ช่วยจัดการให้ผู้หญิงที่อยู่ข้างตัวเองเนี่ยนะ? เรื่องนี้พูดออกไป สกุลเฉิงจะเอาหน้าไปวางไว้ที่ไหน?!” เฉิงเหราฮั่นพูดพลางมองนายท่านเฉิงอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก “พ่อจะไม่สนใจอะไรหน่อยเหรอครับ?”
“พอแล้ว จะถือสาเรื่องเล็กน้อยไปทำไม” นายท่านเฉิงพูดอย่างใจเย็น
เขาเดินกลับขึ้นชั้นบน แม้ปากพูดอย่างใจเย็น แต่หัวคิ้วของนายท่านเฉิงกลับขมวดหากันด้วยความเครียด
ด้านนอกประตูสกุลเฉิง
รถของโอวหยางเวยจอดรออยู่ด้านนอก โอวหยางเวยยืนอยู่ด้านข้างรถ ไม่ได้เข้าไป เพียงหยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดดูข้อความในวีแชท
เธอส่งข้อความหาเฉิงมู่ตั้งแต่ตอนบ่าย ถึงตอนนี้อีกฝั่งก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา
หรือว่าไม่มีเวลา?
โอวหยางเวยหงุดหงิดเล็กน้อยอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ก่อนหน้านี้เวลาเธอถามเฉิงมู่ ปกติเฉิงมู่ก็ตอบกลับมาทันที
ตั้งแต่ที่เขาไปรัฐ M …เหมือนกับว่าอะไรก็ล้วนเปลี่ยนไปหมด
แท้จริงแล้วเกิดอะไรกับพวกเขาที่รัฐ M กันแน่?
โชเฟอร์ของสกุลโอหยางเดินมาเปิดประตูด้านข้างคนขับ ผ่านมาสักพักแล้ว โอวหยางเวยก็ยังไม่ขึ้นรถ เขาจึงพูดเบาๆ ขึ้นมาคำหนึ่ง “คุณหนู?”
โอวหยางเวยที่ได้สติกลับมาจึงเม้มปาก ทำท่าทางราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ไปเถอะ”
เธอก้มตัวเข้าไปนั่งในรถ
**
วันจันทร์ที่สามเดือนหก
โรงเรียนมัธยมเหิงชวน มีนักเรียนมารวมตัวกันเพื่อแจกใบอนุญาตเข้าห้องสอบให้แก่เด็กมัธยมปลายปีสาม
บ้านสกุลหลิน
ฉินอวี่ที่ขึ้นเครื่องบินแต่เช้าเพิ่งมาถึงสนามบิน
ป้าจางเดินเข้าไปรับกระเป๋าให้เธออย่างมีมารยาท “คุณหนู คุณกลับมาแล้ว”
ฉินอวี่ผงกศีรษะ ยิ้มให้
หลังจากที่เธอได้เรียนไวโอลินจากอาจารย์ไต้ ก็สำเร็จในขั้นแรกแล้ว เธอเป็นคนที่มีพรสวรรค์ แต่ไม่นับว่าโดดเด่น
ทว่าหลังจากที่กลับมาจากรัฐ M ก็ตั้งใจเรียนไวโอลินมากกว่าครั้งก่อน ราวกับว่าทุกวันไม่มีเวลาหยุดซ้อม ถือว่าเป็นสมาชิกใหม่ของสมาคมไวโอลินในเมืองหลวงที่มีฝีมือยอดเยี่ยม
อาจารย์ไต้ให้ความสำคัญต่อฉินอวี่อย่างมาก รอให้เธอเข้าแข่งขันเพื่อถูกเลือกให้เป็นสมาชิกอันดับต้นในสมาคมไวโอลินแก่เขา
ผู้เฒ่าหลินรู้ว่าวันนี้ฉินอวี่กลับมาวันนี้ จึงรีบกลับมาจากบ้านเก่านานแล้ว
“อวี่เออร์ ช่วงเช้าเธออยากกลับไปทำเรื่องที่โรงเรียนต่อเลยไหม?” ผู้เฒ่าหลินถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ในเมื่อฉินหร่านไม่คิดที่จะกลับมาหาแม้แต่น้อย ผู้เฒ่าหลินก็ไม่คิดใส่ใจแต่อย่างใด
ทว่าฉินอวี่ก็ไม่ทำให้เขาผิดหวัง
“ค่ะ หนูจะไปพร้อมกับคุณแม่” ฉินอวี่รับแก้วชาจากป้าจาง ยิ้มให้เล็กน้อยพลางหันไปมองหนิงฉิง “จริงสิ แม่ได้ข่าวจากพี่บ้างรึเปล่าคะ? สอบเข้ามหาลัยเร็วๆ นี้ พี่ก็น่าจะกลับมาด้วยล่ะมั้ง?”
หนิงฉิงส่ายหัว ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ความหมายก็คือยังไม่กลับมาหรือ?
ฉินอวี่จิบชา ส่ายหัวเบาๆ ราวกับว่ารู้ว่าสึกเหนื่อยใจยิ่ง “งั้นพี่ก็น่าจะตัดสินใจพักการเรียนอีกแล้วเหรอ? น่าเสียดายจัง คิดว่าพวกเราจะอยู่ที่เมืองหลวงด้วยกันเสียอีก”
“ไม่ต้องพูดแล้ว” หนิงฉิงย่นคิ้ว
หนิงฉิงให้ฉินอวี่พักเล็กน้อย ช่วงบ่ายค่อยพาเธอไปโรงเรียนเพื่อจัดการเรื่องใบสมัครสอบ
“ตอนบ่ายจัดการเรื่องใบสมัครสอบเสร็จแล้วแม่จะพาหนูไปหาน้าเล็ก ทั้งสองคนก็ไม่ได้เจอกันหลายเดือนแล้วหนิ” หนิงฉิงกินข้าวเสร็จ ก็นั่งส่องกระจกทาลิปสติกอยู่บนโซฟา
ฉินอวี่พยักหน้า ตอบอย่างไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก “ค่ะ”
**
ขณะเดียวกัน ณ โรงเรียนมัธยมเหิงชวน
ห้องเก้า
พรุ่งนี้นักเรียนชั้นมัธยมปลายปีสามล้วนหยุดเรียน วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่พวกเขาจะได้เข้าเรียนในห้องนี้ เฉียวเซิงที่อยู่ด้านหลัง และสวีเหยากวงที่อารมณ์ไม่ค่อยดีนัก
“ทำไมระเบียงหน้าห้องเรามีคนเยอะขนาดนี้?” เฉียวเซิงเงยหน้ามองอย่างเกียจคร้าน ก็เห็นกลุ่มคนบนระเบียงห้องเก้า “หรือว่ามาหานายให้เขียนสมุดเฟรนชิพ?”
เฉียวเซิงเลิกคิ้วมองสวีเหยากวงแวบหนึ่ง
ใกล้จบการศึกษาแล้ว ช่วงนี้มีคนมาหาสวีเหยากวงเยอะมากจริงๆ
สวีเหยากวงมองดูคนกลุ่มนั้น สายตาล้วนมองข้ามคนพวกนั้นทั้งเย็นชาและแข็งกร้าว เดินไปอยู่พักหนึ่ง เขาเงยหน้า ลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไม่น่าจะมาหาฉันนะ”
ทันใดนั้นเฉียวเซิงหยุดชะงัก จู่ๆ ก็นึกถึงคนคนหนึ่งขึ้นมาได้
ในเวลานั้นเองทั้งเนื้อทั้งตัวก็เต็มไปด้วยอารมณ์ชื่นมื่น เขาเงยหน้า ผลักกลุ่มคนข้างหลังออกไป มองไปทางบริเวณหน้าต่าง
ครึ่งปีมานี้ เนื่องจากบรรยากาศการเรียนของห้องเก้านับว่าไม่เลวนัก คะแนนก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกาหยางไม่ได้เปลี่ยนที่นั่งแต่อย่างใด
อีกทั้งการเปลี่ยนที่นั่งของนักเรียนอาจจะต้องใช้เวลาในการปรับตัว เกาหยางยอมรับข้อเสนอของนักเรียนว่านักเรียนปีสามทั้งชั้นจะไม่มีการปรับตำแหน่งที่นั่งอีก
กลุ่มที่อยู่หน้าสุดลำดับที่สี่แถวติดกับหน้าต่างคือบัลลังก์ของลูกพี่ ที่ผ่านมาก็เป็นตำแหน่งว่างมาโดยตลอด ในที่สุดก็มีร่างของคนผู้หนึ่งปรากฏ
เธอไม่ได้สวมเครื่องแบบ เพียงแค่ใส่เสื้อยืดสีขาว ใบหน้าหันข้างเล็กน้อย มือซ้ายยังคงถือปากกา กำลังเขียนข้อความจบการศึกษาให้คนเหล่านั้น คิ้วที่โค้งลงเป็นท่าทางที่ไม่แยแสต่อสิ่งใดที่ทุกคนต่างคุ้นเคยกันดี
“อะไรกัน เจ๊หร่าน ในที่สุดพี่ก็กลับมาได้ครบสมบูรณ์หรือเนี่ย?!” เฉียวเซิงพยายามพูดด้วยน้ำเสียงปกติ พลางเดินไปหาเธอด้านข้าง
นักเรียนที่อยู่หน้าโต๊ะฉินหร่านกระเถิบพื้นที่ให้เขาเข้ามาเหมือนเช่นเคย
“อืม” ตอนนี้มือซ้ายของฉินหร่านเขียนตัวอักษรได้อย่างคล่องแคล่ว เธอยังคงเขียนอย่างไม่ใส่ใจนัก
ราวกับว่าสายตาของทุกคนจับจ้องมายังตัวของเธอ สวีเหยากวงเดินมาจากด้านหลัง นั่งบนเก้าอี้ของเขา พลางหยิบหนังสือฟิสิกส์ออกมาเป็นนิสัยปกติ
ตอนที่เปิดหนังสืออยู่นั้น สายตามองหาฉินหร่านโดยไม่รู้ตัว
ใกล้เข้าคาบแรกแล้ว เฉียวเซิงจึงละจากฉินหร่านกลับมานั่งที่เดิม แต่ความรู้สึกดีใจยังไม่จางหาย
พลางใช้ปากกาสะกิดหลังสวีเหยากวง “นายน้อยสวี นายว่าสภาพของฉินหร่านดูเป็นยังไงบ้าง? อีกไม่กี่วันก็ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว มีอาจารย์ในโรงเรียนเริ่มเดิมพันกันแล้วด้วย”
เมื่อได้ยินเฉียวเซิงพูดเช่นนี้ ทั้งคิ้วและขนตาโค้งยาวของสวีเหยากวงสั่นสะท้านครู่หนึ่ง “ไม่แน่ใจเหมือนกัน”
เพิ่งพูดจบ เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะก็ดังขึ้น
สวีเหยากวงวางปากกาลง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู
เฉียวเซิงเห็นท่าทางของเขาก็รู้เลยว่าฉินอวี่ส่งข้อความมา ก็เหลือกตาขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ “เธอกลับมาอวิ๋นเฉิงแล้วหรอ?”
“อืม” สวีเหยากวงตอบอย่างไม่ใส่ใจ ทว่าพิมพ์ตอบกลับฉินอวี่อย่างรวดเร็วไปประโยคหนึ่ง
คาบสุดท้ายในช่วงบ่ายคือ ประชุมชั้นเรียน
เกาหยางได้อภิปรายถึงหลักการดำเนินชีวิตให้นักเรียนห้องเก้าทั้งหมดฟัง ก่อนส่งใบเข้าห้องสอบให้
บนกระดานดำมีตัวอักษรจีนสี่ตัวเขียนอวยพรให้นักเรียนประสบความสำเร็จในการสอบ จากนั้นจึงประกาศเลิกเรียน
คาบเรียนสุดท้ายของมัธยมปลายปีสามได้สิ้นสุดลงแล้ว
ทุกคนยืนขึ้นอย่างเป็นระเบียบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทุกคนกล่าวอย่างเสียงดังฟังชัดว่า “แล้วพบกันใหม่ครับ/ค่ะ อาจารย์”
โต๊ะของฉินหร่านไม่มีของสิ่งใด มีเพียงใบเข้าสอบเท่านั้น เมื่อเธอจัดการเรียบร้อยแล้ว จึงรอหลินซือหราน
โทรศัพท์ที่อยู่ในมือได้รับข้อความจากหนิงเวย บอกให้เธอไปทานข้าวเย็นที่นั่น
ฉินหร่านตอบกลับไปว่า “ค่ะ”
เฉียวเซิงก็ยังเป็นเช่นเดิม ถือลูกบาสรอพวกเขาที่ประตูหลัง
“เจ๊หร่าน จะสอบเข้าที่เมืองหลวงรึเปล่า?”เฉียวเซิงหันมาถามฉินหร่าน
ฉินหร่านหยิบหมวกแก๊ปมาใส่ มือข้างหนึ่งส่งข้อความหาเฉิงเจวี้ยนว่าตอนเย็นจะไปหาหนิงเวย พลางตอบเฉียวเซิงไปด้วย
“ฉันก็จะไปเมืองหลวง” หลินซือหรานหัวเราะ
สวีเหยากวงเดินตามหลังพวกเขาอยู่ก้าวหนึ่ง สายตามองไปข้างหน้า
พวกเขาล้วนเป็นคนที่มีชื่อเสียงในรุ่น คนกลุ่มนี้เมื่อยืนอยู่รวมกันก็ดึงดูดสายตาจากนักเรียนจำนวนมาก
“ฉินหร่านกลับมาแล้วจริงๆ ด้วย!” มีนักเรียนส่งเสียงอย่างดีอกดีใจ
“มีคนอีกกลุ่มหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงอันเบาว่า “แล้วพวกเธอว่าใครจะคว้าอันดับหนึ่งของการสอบปีนี้ล่ะ? ฉินหร่าน สวีเหยากวง พานหมิงเย่ว์ หรือว่าพวกโรงเรียนมัธยมอวิ๋นเฉิง?”
เพียงฉินหร่านกลับมาโรงเรียนทุกคนล้วนพูดคุยเกี่ยวกับเธอ
ดูเหมือนทุกคนจะลืมเมิ่งซินหรานผู้นี้ไปแล้ว อีกทั้งเนื่องจากเธอกระวนกระวายเกี่ยวกับเรื่องของสกุลเมิ่ง ทำให้คะแนนตกลงอย่างเห็นได้ชัด
เมิ่งซินหรานได้ยินเรื่องนี้เต็มสองหู ก่อนมองไปยังฉินหร่านที่อยู่อีกฝั่ง มือกำกระเป๋าเป้แน่นอย่างไม่รู้ตัว
หน้าตาพลันหมองคล้ำ ทั้งตัวมืดมนลงอย่างน่ากลัว
**
บ้านหนิงเวย
ครึ่งปีผ่านไป เท้าของหนิงเวยดีขึ้นแล้ว เวลาเคลื่อนไหวร่างกายก็ไม่รู้สึกลำบากแต่อย่างใด
ขณะที่น้ำซุปในหม้อกำลังเดือด
เธอมองไปยังประตูอยู่เนืองๆ ขณะที่มู่หนานนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านนอก ในมือถือหนังสือเล่มหนึ่งอยู่
เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู มู่หนานไม่รอให้หนิงเวยมาเปิด ก็ตรงไปเปิดประตูเองทันที
ใบหน้าที่เย็นชาอยู่เสมอดูอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย
ด้านนอกประตูคือฉินอวี่และหนิงฉิง
มู่หนานเห็นทั้งสองคนอย่างชัดเจน เขาโน้มตัวเปิดประตูพูดอย่างไม่เต็มใจ “คุณป้า”
จากนั้นตะโกนเรียกแม่ที่อยู่ในห้องครัว “แม่ครับ คุณป้ามาแล้วครับ”
น้ำเสียงตะโกนดังก้อง ทำให้มู่หยิงที่อยู่ในห้องก็ได้ยินด้วย ก่อนรีบลงไปด้วยท่าทีตื่นเต้น “พี่รองกับคุณป้ามาด้วยเหรอ?”
เธอรีบรินน้ำให้ทั้งสองคนอย่างกระฉับกระเฉง
ด้านล่าง
เฉิงมู่หยุดรถ ฉินหร่านเปิดประตูออก กล่าวด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย “นายกลับไปก่อนเถอะ อีกสักพักค่อยมารับฉัน”
เฉิงมู่พยักหน้า บอกให้ฉินหร่านโทรหาเขาล่วงหน้าก่อน
ฉินหร่านเดินขึ้นชั้นหก ก่อนเคาะประตู
คนเปิดประตูก็ยังเป็นมู่หนานเช่นเดิม เขาก้มหน้ามองต่ำ แม้ท่าทางจะดูเย็นชา แต่กลับพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “แม่ พี่ใหญ่มาแล้ว”
ฉินหร่านเดินเข้าไป
ในห้องรับแขกขนาดเล็ก พวกของหนิงฉิงทั้งสามคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะทางฝั่งนั้นมองมายังฉินหร่านราวกับเห็นผีก็ไม่ปาน
“หรานหร่าน? ลูกกลับมาเมื่อไหร่?” หนิงฉิงวางแก้วชาดังปัง ไม่อยากจะเชื่อว่าจะเจอฉินหร่าน “ทำไมจู่ๆ หนูถึงพักการเรียนไปละ?”
ฉินหร่านก็ไม่คิดว่าจะได้เจอกับทั้งสองคนนี้ที่นี่ เธอลากเก้าอี้บาร์นั่งไขว่ห้าง ตอบอย่างไม่สนใจเช่นเคย “เพิ่งกลับมาค่ะ”
มู่หนานรินชาให้เธอ
ยังคงเป็นแก้วชาที่เธอเคยใช้ ด้านบนมีลายสตอเบอร์รี่วาดไว้
ฉินอวี่มองเธอด้วยใบหน้าที่เปลี่ยนไปอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเรียกสติตัวเอง เธอมองฉินหร่าน พูดด้วยน้ำเสียงกังวล ราวกับว่าความห่างเหินที่ผ่านมาล้วนไม่มีอยู่แล้ว “พี่ หลายเดือนที่ผ่านมานี้พี่ไปอยู่ที่ไหนมาคะ?”
“ไม่ได้ไปไหน” ฉินหร่านจิบชา ตอบอย่างไม่ใส่ใจ “แค่อยากไปไหนก็ไป”
“อ้อ” ฉินอวี่ยิ้ม ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องที่เธอไปไหนอยู่แล้ว
มู่หยิงเม้มปาก ตอนนี้เธอไม่กล้ามองหน้าฉินหร่าน ทำได้แค่ม้วนริมฝีปาก ยิ้มให้ฉินอวี่ “พี่รอง ตอนนี้มีแฟนคลับติดตามพี่ในเวยป๋อกี่คนแล้วคะ?”
ฉินอวี่มองแก้วชา ไม่ได้ยกดื่มแต่อย่างใด ตอบอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เก้าล้านคนมั้ง”
หนิงเวยยกอาหารจานหนึ่งจากห้องครัวมาวาง “อะไรคือเก้าล้าน”
“ก็เวยป๋อของพี่รองไงคะ แม่ แม่รู้ไหม ปีที่แล้วพี่เขาเป็นนักแสดงคนเดียวของหอแสดงศิลปะเมืองหลวงรอยัลที่ถูกโพสต์ลงโซเชียลแล้วดังโดยไม่ทันตั้งตัว” น้ำเสียงของมู่หยิงมีความอิจฉาอย่างชัดเจน “ตอนนี้พี่กลายเป็นคนดังในโลกโซเชียลแล้ว”
ฉินอวี่เล่นแก้วชาตัวเอง หัวเราะพลางมองฉินหร่านแวบหนึ่ง ราวกับว่าไม่ได้สนใจเรื่องจำนวนคนติดตามในเวยป๋อ
มู่หนานช่วยหนิงเวยจัดวางอาหาร
กับข้าววางบนโต๊ะ หนิงเวยถามฉินอวี่เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างเป็นมารยาท
“อวี่เอ๋อร์ไปรัฐ M กับอาจารย์ของเธอน่ะ” หนิงฉิงยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดเล็กน้อย น้ำเสียงเต็มไปด้วยความภาคภูมิอย่างไม่ปิดบัง “ตอนนี้เธอเป็นนักเรียนใหม่อันดับหนึ่งของสมาคมไวโอลิน”
มู่หยิงเงยหน้า พูดอย่างตกใจ “รัฐ M ?”
รัฐ M นับว่าเป็นสหภาพหนึ่ง เป็นศูนย์รวมแหล่งการค้าของนานาประเทศ และเป็นแหล่งรวมตัวของผู้มีอำนาจทั้งหลาย มู่หยิงเพียงแค่เคยได้ยินอาจารย์วิชาภูมิศาสตร์ชอบพูดถึงเท่านั้น แต่คนธรรมดาไม่เคยไป หากอยากไปต้องไปหากลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีอำนาจเท่านั้น
ฉินอวี่ยิ้ม แต่ไม่ได้ใส่ใจแต่อย่างใด เธอถือตะเกียบพลางตอบ “อืม พี่เตรียมตัวเพื่อสอบเข้าองค์กรไวโอลินของรัฐ M น่ะ”
เรื่องนี้เธอไม่ได้พูดอะไรมาก พูดไปก็ไม่แน่ว่าพวกเขาจะเข้าใจ
“พี่คะ” ฉินอวี่เพียงมองฉินหร่าน “ปีที่แล้วพี่บอกว่า พี่อยากสอบเข้ามหาลัยเมืองหลวง พี่ยังจำได้ไหม?”
ฉินอวี่มองฉินหร่าน แน่นอนว่าฉินอวี่ไม่ได้จะเยอะเย้ยฉินหร่านแต่อย่างใด เพียงแค่เรื่องเคยไปรัฐ M ก็เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่สำหรับฉินอวี่แล้ว เดิมตอนนี้ก็ไม่ได้มองเรื่องที่ฉินหร่านซ้ำชั้นสองปีติดกันเป็นคู่แข่งของตัวเองได้