ตอนที่ 99 มันคือบทกวีแห่งความรัก... เข้าใจหรือไม่

ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน

ตอนที่ 99 มันคือบทกวีแห่งความรัก… เข้าใจหรือไม่

เฟิงสือยวินใช้เวลาส่วนมากในการอ่านหนังสือ สายตาของเขาจึงไม่ดีนัก ดังนั้นเมื่อมองเห็นใครไม่ชัด เขาต้องหรี่ตาลงเพื่อเพ่งมอง

ดวงตาที่หรี่ลงเล็กน้อยคู่นั้นแฝงไว้ด้วยเสน่ห์ที่ไม่สามารถอธิบายได้

การมองใบหน้าของผู้คนภายใต้แสงจันทร์ต้องเพ่งสายตามองมากกว่าปกติถึงสามส่วน

แม้จะเคยชินกับภาพตรงหน้า ทว่าลมหายใจของเหอยาโถวยังคงติดขัดเหมือนทุกครั้ง คำพูดที่ตระเตรียมมาถูกลืมสิ้น

หยุนเชวี่ยใช้ข้อศอกกระทุ้งท้องของเหอยาโถว เมื่อเห็นสหายตะลึงงัน นางไม่รู้ว่าเขากำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ “พี่สือยวิน เหอยาโถวต้องการเชิญท่านเปลี่ยนชื่อให้เขาเจ้าค่ะ”

“เปลี่ยนชื่อรึ?” เฟิงซิ่วไฉวางพัดในมือลง “บิดามารดาของเจ้าและผู้อาวุโสยินยอมหรือยัง?”

เหอยาโถวหลุดออกจากห้วงความคิด เขาไม่ได้ยินคำพูดของเฟิงซิ่วไฉชัดเจนนักจึงพยักหน้าเออออ

เฟิงสือยวินนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ เขาเชิดคางขึ้นด้วยความเกียจคร้าน ขณะที่เหยียดยิ้ม

เมื่อสายตาของเหอยาโถวสบเข้ากับอีกฝ่าย เขาก็รู้สึกราวกับตนถูกมองลึกเข้าไปในจิตวิญญาณจนทะลุปรุโปร่ง ดังนั้นเหอยาโถวจึงรู้สึกประหม่า แต่กลับไม่รู้ว่าตนประหม่าเรื่องใด

“ยินยอมแล้วขอรับ…” เฟิงสือยวินพยักหน้า เขาไม่พูดคำว่า ‘ผิดธรรมเนียม’ แต่กลับจ้องมองเหอยาโถวพร้อมเลิกคิ้ว

เหอยาโถวลนลานมากยิ่งขึ้น

“ชื่อเดิมไม่เหมาะสมหรือ?” เฟิงซิ่วไฉเอ่ยถาม

“ปีนี้เขาอายุสิบสี่ปีแล้วจึงไม่อยากถูกเรียกว่ายาโถวอีกต่อไปเจ้าค่ะ” หยุนเชวี่ยกล่าวตอบ

“ชื่อเดิมชื่ออะไร?”

หยุนเชวี่ย “ชื่อเหออวี้เฟิ่งเจ้าค่ะ”

เหอยาโถวเคยใช้ชีวิตราวกับผู้หญิงและไม่เคยรู้สึกว่ามันผิดปกติมาก่อน แต่ตอนนี้เขาทั้งอับอายและกลัวว่าเฟิงซิ่วไฉจะหัวเราะเยาะ

เฟิงสือยวินยังคงมีท่าทีเฉยเมยเช่นเดิม ราวกับมันเป็นชื่อที่คนในชนบทมักตั้งให้ลูกหมาหรือลา

เขาหรี่ตาลงเล็กน้อยขณะใช้นิ้วเรียวเกาหัวแมวพร้อมครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

“ชื่อคือคำสัญญาของบิดามารดาที่มีต่อบุตร เจ้าเป็นบุตรชายคนเดียวของท่านอาสามแห่งตระกูลเหอ… พูดอ่านเช่นสุภาพบุรุษ อ่อนโยนดั่งหยก อย่างนั้นชื่อว่า ‘เหออวี้’ แล้วกัน”

เหอยาโถวไม่เข้าใจความหมายของคำว่า ‘พูดอ่านเช่นสุภาพบุรุษ อ่อนโยนดั่งหยก’ อย่างไรก็ตามหากเฟิงซิ่วไฉบอกว่าความหมายดี มันก็ต้องดีแน่นอน

แม้จะมีเพียงคำเดียวก็ตาม

“เหออวี้…”

“เหออวี้…”

ระหว่างทางกลับบ้าน เหอยาโถวท่องคำสองคำนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า หัวใจเต้นแรงอย่างไม่มีสาเหตุ แม้แต่ฝีเท้ายังเบาขึ้นมาก

“หยุนเชวี่ย เจ้าเป็นคนฉลาด… รู้หรือไม่ว่าคำพูดของพี่เฟิงสือยวินหมายความว่าอย่างไร?”

หยุนเชวี่ย?

“อะไรดั่งหยกหรือ?”

“พูดอ่านเช่นสุภาพบุรุษ อ่อนโยนดั่งหยกรึ?”

“ใช่ ๆ ๆ”

หยุนเชวี่ยคุ้นเคยกับ ‘คัมภีร์กวี’ อย่างดีจึงเอ่ยตอบว่า “พูดอ่านเช่นสุภาพบุรุษ อ่อนโยนดั่งหยก ภายในกระท่อมนั้น หัวใจของข้าปั่นป่วน หมายความว่า…”

ช้าก่อน!

เมื่อกล่าวออกไปได้เพียงครึ่งหนึ่ง นางก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง…

เหอยาโถวเบิกตากว้าง “มันหมายความว่าอะไร?”

“ก็หมายความว่าชายผู้นี้อ่อนโยนและไร้ที่ติเหมือนกับหยก เมื่อเห็นเขาอยู่ในกระท่อม หัวใจของข้าก็เริ่มสั่นไหว…”

หยุนเชวี่ยอธิบายความหมายที่แท้จริงอย่างตรงไปตรงมา เพราะมันคือบทกวีแห่งความรัก!

เป็นไปได้หรือที่เฟิงซิ่วไฉจะลืมความหมายของมัน?

แล้วอย่างไรต่อ?

เขาตั้งใจหรือ?

หรือแค่พูดออกมาโดยไม่คิด?

หยุนเชวี่ยรู้สึกกระวนกระวายและรู้สึกว่าตนคิดมากเกินไป เนื่องจากเขากล่าวเพียง ‘พูดอ่านเช่นสุภาพบุรุษ อ่านโยนดั่งหยก’ และไม่ได้พูดประโยคหลัง…

เมื่อมองไปที่เหอยาโถว นางก็เห็นว่ากรามของเขาอ้าค้าง ขณะยืนนิ่งไม่ไหวติงราวกับวิญญาณออกจากร่างไปแล้ว

“มันเขียนไว้ในตำราน่ะ เฟิงซิ่วไฉคงอ้างอิงมาจากตำราเล่มนั้น… เข้าใจหรือไม่?” หยุนเชวี่ยรีบอธิบายทันที

เหอยาโถวพยักหน้าด้วยความงุนงง

“สุภาพชนมักอ้างอิงคำพูดจากตำราน่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า…”

เหอยาโถวพยักหน้าอีกครั้ง

หยุนเชวี่ยพลันคิดว่าเจ้าเด็กคนนี้ต้องคิดไม่ซื่อแน่นอน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนางยึดถือพื้นฐานความเป็นมนุษย์และละทิ้งข้อจำกัดทางจริยธรรมหรือไม่ แต่เขากับเฟิงซิ่วไฉดูเหมือนจะ… เข้ากันดี?

ท้องฟ้ามืดมิด จักจั่นและกบส่งเสียงร้องระงมตามท้องทุ่งสองข้างทาง

เหอยาโถวเดินกลับบ้านด้วยความตะลึง

หยุนเชวี่ยเป็นห่วงเหอยาโถวยิ่ง ท้ายที่สุดแล้วขนมธรรมเนียมของราชวงศ์เหลียงนั้นไม่ได้เปิดกว้างมากนัก หากเกิดการบิดเบือนขึ้นมา หนทางข้างหน้าคงลำบากไม่น้อย!

นางผล็อยหลับไปด้วยความกังวล

รุ่งเช้า

เหอยาโถวรู้สึกกระปรี้กระเปร่าไม่น้อย เขาตะโกนเสียงดังมาจากที่ไกล ๆ “เชวี่ยเอ๋อ พี่รองของข้าบอกว่าเกวียนขนส่งบ๊วยมาถึงแล้ว!”

“ข้ากำลังจะไปหาเจ้าพอดี” หยุนเชวี่ยเก็บข้าวของก่อนเดินไปที่ประตูและพบว่าชีจินและเสี่ยวส้วยเอ๋ออยู่ที่นี่ด้วย

“พวกเขาสองคนก็มาช่วยเช่นกัน” เมื่อคิดว่าจะออกไปทำงานหาเงินอีกครั้ง เหอยาโถวก็ลูบฝ่ามือเข้าด้วยกันอย่างตื่นเต้น ดวงตาของเขาเปล่งประกายวาววับ

บ๊วยสดห้าสิบกิโลกรัมถูกบรรจุเต็มตะกร้า เด็กทั้งสี่คนผลัดกันยกตะกร้าไปยังแม่น้ำ

เวลาเช้าตรู่ หยุนเชวี่ยและเหอยาโถวฉวยโอกาสขณะที่แสงแดดยังไม่แผดเผาไปตักน้ำที่แม่น้ำในตอนที่ยังไม่มีผู้ใดซักผ้า เมื่อชาวบ้านเห็นทั้งสองคนจึงพากันเอ่ยถาม “โอ้ เชวี่ยเอ๋อกับยาโถวทำธุรกิจใหญ่จริงหรือ?”

เรื่องที่ทั้งสองเข้าเมืองไปขายบ๊วยดองน้ำตาลนั้นถูกมารดาของพี่น้องโฉ่วเหือกับโฉ่วช่วนป่าวประกาศไปทั่วทั้งหมู่บ้าน และพูดสบประมาทว่า ‘เด็กน้อยไม่มีความน่าเชื่อถือที่จะทำสิ่งต่าง ๆ’ และ ‘เด็กน้อยไม่รู้ความมักทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า’ ตลอดเวลา

ตอนนี้เด็กน้อยทั้งสองคนกลับซื้อบ๊วยมาจริง ๆ และยังจ้างเด็กน้อยอีกสองคนให้มาช่วยขายอีก!

“หนักหรือไม่ วางลงเถิด อาจะช่วยยกเอง” ชายผู้หนึ่งกำลังจะเดินเข้ามาช่วยเด็กน้อยทั้งสอง

เหอยาโถวเบี่ยงตัวหลบขณะที่ร่างกายเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ “ฮ่าฮ่า ไม่ต้องหรอกขอรับท่านอา พวกเราแรงเยอะอยู่แล้ว!”

“บ๊วยเหล่านี้ขายหมดภายในกี่วันรึ?” หญิงสาวผู้หนึ่งเอ่ยถามขณะถืออ่างไม้เตรียมตักน้ำขึ้นมาซักผ้า

“ขายหมดภายในสามวันเจ้าค่ะ” หยุนเชวี่ยหลีกทางให้เสี่ยวส้วยเอ๋อเข้ามายกตะกร้าพลางเอ่ยตอบขณะสะบัดแขนด้วยความเจ็บปวด

“ขายหมดภายในสามวันรึ? จุ๊ ๆ ๆ การค้าขายจะง่ายดายเช่นนั้นได้อย่างไรกัน?” หญิงสาวส่ายศีรษะพลางเผยสีหน้าไม่เชื่อ

หยุนเชวี่ยยิ้มตอบและไม่เอ่ยคำใด นางบอกว่าตามปกติแล้วจะขายหมดภายในสามวัน ทว่าพรุ่งนี้ที่ในเมืองอันผิงจัดงานเทศกาล ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจขายได้มากกว่าครึ่งโดยใช้เวลาเพียงครึ่งวัน

เหอยาโถวยังไม่พอใจ “รอบก่อน ข้าและหยุนเชวี่ยขายบ๊วยดองน้ำตาลห้าจินหมดภายในช่วงเช้า! บางคนมาซื้อไม่ทันก็มีขอรับ!”

หญิงสาวปิดปากหัวเราะ “ขายได้เงินเท่าไรล่ะ? และอีกอย่างในเมืองไม่ได้มีแต่พวกเจ้าที่ขายบ๊วยดองเสียหน่อย”

“ฝีมือของเชวี่ยเอ๋อยอดเยี่ยมมากขอรับ!” เหอยาโถวตื่นเต้นเล็กน้อย

“มันไม่แน่เสมอไปหรอก คนเรามีรสนิยมไม่เหมือนกัน…”

“เฉี่ยวเอ๋อ เด็ก ๆ คิดทำงานหาเงินนั้นถือเป็นเรื่องดี เจ้าพูดให้น้อยลงหน่อยเถอะ” แม่นางหยางมารดาของเฟิงซิ่วไฉกล่าวตัดบท

“ท่านป้า ข้าไม่ได้เกรงว่าพวกเขาจะไม่รู้วิธีบริหารธุรกิจจนโดนหลอกให้เสียเงินอีกครั้งหรอกนะเจ้าคะ…” หญิงสาวผู้นี้เป็นคนปากเปราะ เมื่อเห็นว่าที่นั่งบริเวณกังหันน้ำถูกแย่งไปแล้ว นางจึงถืออ่างในมือแน่นและวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วราวกับลมกระโชกแรง

แม่นางหยางมองนางด้วยสายตาขบขัน “กังหันน้ำอันนี้กลายเป็นสมบัติของหมู่บ้านเราไปแล้ว ชาวบ้านแห่มาใช้กันทั้งวันไม่ขาดสาย”

“หมู่บ้านหลิ่วชู่ก็เลียนแบบกังหันน้ำของหมู่บ้านเรานะขอรับ” เหอยาโถวกล่าวด้วยความภาคภูมิใจพร้อมยื่นมือไปแตะบ่าของหยุนเชวี่ย “เชวี่ยเอ๋อทำดีแล้ว เจ้าทำประโยชน์ต่อบ้านเมือง!”

เผยเสี่ยวส้วยพยักหน้าด้วยความชื่นชม…

ชีจินฉีกยิ้มพร้อมพยักหน้า…

หยุนเชวี่ยมีความรู้สึกว่าตนสร้างคุณูปการอันยิ่งใหญ่แก่ชาวบ้านในหมู่บ้านไป๋ซีด้วยการประดิษฐ์กังหันน้ำ…