ตอนที่ 98 ทนไม่ได้ ทนไม่ได้อีกต่อไป
หากหยุนเชวี่ยรู้ว่าหมาป่าตัวน้อยผู้จงรักภักดีมีความคิดมากมายเพียงนี้ นางต้องกระอักเลือดเป็นแน่
“เจ้าไปเอาวิธีการรักษาเช่นนี้มาจากที่ใด? มันจะไม่ฆ่าใครตายใช่หรือไม่?” เหอยาโถวเอ่ยถามขณะเดินทางกลับบ้าน
“ไม่… หรอก” หยุนเชวี่ยคิดว่าต่อให้วิธีการรักษานี้ไม่ได้ผล เขาก็คงไม่ถึงกับเสียชีวิตหรอก
หยุนเชวี่ยเลี้ยงหนอนทุกตัวมากับมือโดยเลี้ยงมันในมูลไก่ ไม่ใช่ในบ่ออุจจาระแต่อย่างใด
เหอยาโถวเลิกคิ้วขึ้น “ข้าอยากบอกว่าเจ้าใจกล้ามาก!”
“มิฉะนั้นจะทำเช่นไร? หนองกำลังไหลซึมเข้ากระดูกของเขา หากติดเชื้อบาดทะยักคงเป็นอันตรายต่อชีวิต”
“นั่นก็จริง” เหอยาโถวพยักหน้า “นักเล่าเรื่องเฒ่าที่อยู่ในเมืองกล่าวว่าถ้าไม่ตายในภัยพิบัติ ภายภาคหน้าจะมีโชคลาภมากโข”
“ตาแก่นั่นไม่ได้พูดหมิ่นพระเกียรติของฝ่าบาทจนถูกท่านเจ้าเมืองจับตัวเข้าตะรางหรอกหรือ?” หยุนเชวี่ยครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น
“ข้าคิดว่าไม่หรอก เรื่องผ่านมาเดือนกว่าแล้ว และข้าก็ไม่ได้ยินใครพูดถึงเขาในทางที่ไม่ดีเลย…”
เด็กทั้งสองถอนหายใจพร้อมกัน ไม่นานหัวข้อสนทนาก็วนกลับมาที่บ๊วยดองน้ำตาลอีกครั้ง
เรื่องราชสำนัก อำนาจ และความสำเร็จเหล่านั้นเป็นเรื่องที่ไกลตัวของประชาชนในหมู่บ้านไป๋ซี
ภายในสังคมแออัดที่ผู้คนส่วนมากไม่เคยเดินทางไกลแม้แต่ครั้งเดียวในชีวิต นับประสาอะไรกับเมืองหลวงและพระราชวังเล่า
ใครจะเป็นผู้มีอำนาจไม่สำคัญ ผู้ใดก่อกบฏเป็นจริงหรือเท็จไม่สำคัญ แม้แต่ในลานประหารที่ตัดหัวนักโทษหลายพันคน เมื่อเห็นชาวบ้านก็ทำเพียงถอนหายใจและไว้อาลัยชั่วครู่ จากนั้นพวกเขาจึงกลับไปสนใจฟืน ข้าว น้ำมัน และเกลือ* ขนไก่เปลือกกระเทียม* เรื่องติฉินนินทาวันแล้ววันเล่า
*ฟืน ข้าว น้ำมัน และเกลือ หมายถึง สี่สิ่งที่สำคัญต่อชีวิตประจำวัน
*ขนไก่เปลือกกระเทียม หมายถึง เรื่องหยุมหยิมเล็กน้อย
นี่คือวิถีชีวิตของผู้คนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านรวมถึงหยุนเชวี่ย
ก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับไปหามารดา เหอยาโถวพูดกำชับอีกครั้ง “คืนนี้เจ้าต้องไปหาพี่สือยวินกับข้า”
“ข้าจำได้ ๆ” หยุนเชวี่ยฉีกยิ้มพร้อมโบกมือลา “ไปเถอะ ข้าจะกลับบ้านไปอาบน้ำแต่งตัวก่อน”
ตระกูลเหอ
เหอยาโถวบอกมารดาของตนว่าไม่อยากใช้ชื่อ ‘เหออวี้เฟิ่ง’ อีกต่อไป เนื่องจากมันไม่ไพเราะจึงต้องเปลี่ยนชื่อให้ดูมีการศึกษามากกว่านี้
มารดาของเขาตักข้าวเข้าปากก่อนวางตะเกียบลง “เหตุใดถึงไม่ไพเราะ หงส์หยก หยกแกะสลักเป็นรูปหงส์ ฟังแล้วสูงศักดิ์ไม่น้อย! หมอดูตาบอดบอกว่ามันคือโชคชะตาของเจ้า”
เหอเซียงเอ๋อลูกสาวคนที่สามผู้ยังไม่ได้ออกเรือนกล่าวเตือน “ท่านแม่ น้องเล็กไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว เขาจะใช้ชื่อที่ฟังดูคล้ายผู้หญิงได้อย่างไร?”
มารดาของนางเอ่ยตอบ “หญิงชราเป็นสตรี ไม่อาจปิดบังสวรรค์ได้ หากต้องประสบเภทภัย ข้าคงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้”
เหอยาโถวพองแก้มอย่างไม่พอใจ “สวรรค์จ้องจะจับผิดข้าคนเดียวหรือ? ข้าเป็นชายหรือหญิงยังมองไม่ออก สวรรค์ต้องตาบอดเป็นแน่”
“หุบปาก ๆ!” มารดาของเหอยาโถวรีบปรี่เข้ามาปิดปากของลูกชายพลางท่องบทสวด “สวรรค์อย่าถือสา ทวยเทพอย่าถือสา เด็กน้อยผู้นี้ยังเล็กนัก ไม่รู้ประสีประสา ข้าจะชดใช้ให้ท่านเองหรือไม่ก็…”
เหอยาโถวกลอกตาและพยายามจะพูดบางอย่างทว่าถูกมารดาปิดปากเอาไว้ ฮูหยินเฒ่าอายุราวเจ็ดสิบปีตบท้ายทอยของลูกชายเบา ๆ “เจ้าเด็กน้อย เจ้าไม่รู้หรอกว่าเรื่องนี้สำคัญเพียงใด!”
บิดาของเหอยาโถวจิบสุราหนึ่งอึกก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เจ้าเล็ก เจ้าจะทำเรื่องไร้สาระไปทั่วไม่ได้ พ่อของเจ้าเป็นถึงคนที่มีหน้ามีตาในหมู่บ้าน!”
“เพื่อให้ได้ชื่อของเจ้า เจ้าทุ่มจ่ายหนึ่งตำลึงเงินเพื่อให้ผู้สูงศักดิ์ตั้งชื่อนี้ให้ และทุ่มบริจาคอีกหนึ่งตำลึงเงินให้แก่วัดในหมู่บ้าน ข้าทุ่มเทเงินไปมาก!” ผู้เฒ่าเหอตะโกนเสียงดัง
เหอยาโถวรู้สึกหดหู่ยิ่งนัก เขาจ้องมองเหอเซียงด้วยสายตาพร่ามัว เนื่องจากคาดหวังว่าพี่สามจะกล่าวเข้าข้างตนบ้าง
เหอเซียงเหยียดยิ้มด้วยความลำบากใจ “แค่มีชื่อเรียก… ก็เพียงพอแล้ว ลูกหมาลำดับที่สองขออารองสวียังมีชื่อเรียกเลย…”
ในเมื่อคนในครอบครัวไม่เห็นด้วย เหอยาโถวจึงตัดสินใจเป็นนายของตนเอง
เหอยาโถวตักอาหารเย็นเข้าปากสองสามคำก่อนมุ่งหน้าไปที่บ้านของหยุนเชวี่ย ทว่ายังไม่ทันถึงหน้าประตูเรือน เขาก็ได้ยินเสียงแม่เฒ่าจูเอะอะโวยวายราวกับกำลังแสดงงิ้ว
“ข้าอยากจะฆ่าเจ้าทุกวัน! สวรรค์พาข้าไปอยู่ด้วยทีเถิด หญิงชราคนนี้ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว!”
นางสาปแช่งไปพลางสะอึกสะอื้นไปพลาง น่าสังเวชไม่น้อย หากไม่ใช่เพราะเหอยาโถวได้ยินคำด่าทอเหล่านี้จนคุ้นชิน เขาคงรู้สึกสงสารนางอยู่บ้าง
แต่เมื่อคิดว่าในแต่ละวันหญิงชราผู้นี้ชอบด่าทอผู้อื่นไปทั่ว อีกทั้งยังมีวาจาที่เจ็บแสบ เขาก็อดไม่ได้ที่จะกลอกตา
“เชวี่ยเอ๋อ… เชวี่ยเอ๋อ” เหอยาโถวชะโงกหน้าเข้าไปในบ้านพลางกวักมือเรียก “ไปกันเถอะ ๆ”
หยุนเชวี่ยสังเกตเห็นว่าเหอยาโถวแต่งกายเป็นชายอีกครั้ง ตอนนี้เขาสวมเสื้อแพรผืนบางสีขาวนวลดั่งดวงเดือน สวมรองเท้าสีฟ้าอ่อน ท้องฟ้ามืดมิด แสงจันทร์กระจ่าง สายลมเย็นพัดโชยมาทำให้เสื้อผ้าของเขาพลิ้วไหว ช่างเป็นหญิงและชายผู้สง่างามไร้ที่ติ
“ชุดนี้สวยมาก” หยุนเชวี่ยเอื้อมมือไปลูบคลำเสื้อผ้าของสหายพลางถอนหายใจ ‘เหตุใดหมอนี่ถึงมีใบหน้าที่งดงามกว่าคุณหนูทั้งหลายอีกเล่า?’
“จริงหรือ? ข้าคิดอย่างนั้นเช่นกัน” เหอยาโถวสะบัดผมพลางกวาดสายตามองรอบ ๆ
“หากเจ้าไม่ทำเช่นนี้อีกจะดีกว่า” หยุนเชวี่ยยกมือขึ้นเชยคางพลางหรี่ตาพร้อมส่งสายตาเย้ายวน
เหอยาโถวบิดเอว “ข้าเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรกัน”
“เรื่องจริง…”
“อย่างน้อยก็ดีกว่าที่เจ้าเลียนแบบ…”
หยุนเชวี่ย…
บุรุษรูปงามแต่งกายหล่อเหลาและมีเสน่ห์เพียงนี้ ใครเล่าจะทนไหว…
เฟิงซิ่วไฉอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน
เมื่อไปถึง เด็กทั้งสองคนก็เห็นว่าเขากำลังนั่งโบกพัดอย่างสบายอารมณ์อยู่ในลานบ้าน
เฟิงซิ่วไฉเป็นชายหนุ่มอายุสิบห้าปีรูปร่างสูงโปร่ง แม้จะมีร่างกายผอมบาง ทว่าเขากลับดูไม่อ่อนแอแม้แต่น้อย ริมฝีปากแดงระเรื่อ ฟันขาวเรียงตัวสวยงาม ดวงตาทอประกายดุจดวงดาราอันหนาวเหน็บ แฝงไปด้วยสายตาเฉยเมยที่ไม่สอดคล้องกับอายุ
“พี่สือยวิน” หยุนเชวี่ยเดินเข้าประตูพลางตะโกนเรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
เหอยาโถวยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อได้ยินเสียงเรียกของหยุนเชวี่ย เฟิงสือยวินจึงลุกยืนขึ้นอย่างเชื่องช้าพลางหรี่ตาลงพร้อมเหยียดยิ้ม
ด้วยเหตุผลบางอย่าง ฉับพลันเขาก็ไม่สามารถอ้าปากขานรับได้
“ยาโถวมาแล้ว นั่งลงสิ” เฟิงสือยวินใช้พัดชี้ไปยังเก้าอี้ด้านข้าง ขณะเหลือบมองเหอยาโถวที่แต่งกายเป็นผู้ชายด้วยหางตา
เหอยาโถวไม่รู้ว่าคำว่า ‘ยาโถว’ นั้นใช้เรียกตนหรือเรียกหยุนเชวี่ย ดังนั้นเขาจึงยืนนิ่งอยู่กับที่
“พี่สือยวิน ท่านลองเพ่งมองอย่างพินิจสิเจ้าคะ แล้วจะรู้ว่าเขาคือใคร?” หยุนเชวี่ยคิดว่าท้องฟ้ามืดมิดจนเขาดูไม่ออกว่าคนที่มากับนางคือผู้ใด
เฟิงสือยวินเผยสายตาอ่อนโยนขณะที่มุมปากยกขึ้น “ยังต้องให้ข้าเพ่งมองอีกหรือ? เขาไม่ใช่บุตรชายของอาสามเหอหรอกรึ?”
เหอาโถวแต่งกายด้วยเสื้อผ้าบุรุษอีกครั้ง เฟิงซิ่วไฉย่อมไม่เรียกเขาว่า ‘ยาโถว’ อีกต่อไป กล่าวได้ว่าเฟิงซิ่วไฉสุภาพและมีน้ำใจไม่น้อย
“พี่สือยวิน ท่านมีสายตาเฉียบแหลมจริง ๆ ข้ายังจำเขาไม่ได้เลยเจ้าค่ะ” หยุนเชวี่ยถือไก่ป่าตัวหนึ่งก่อนยกมันขึ้นและส่ายไปมา “โอ้ เสี่ยวอู่ให้ข้าเอามาให้”
เมื่อพูดจบ นางจึงหันหลังกลับและเขย่งปลายเท้าเอาไก่ฟ้าแขวนไว้กับผนังด้านนอกห้องครัว
เฟิงซิ่วไฉไม่ปฏิเสธ เขานั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิมพลางลูบหัวแมวที่นอนหมอบอยู่
“หากเป็นเช่นนี้ต่อไป อย่าว่าแต่ข้าเลย เกรงว่าจะต้องป้อนข้าวป้อนน้ำให้มันแน่”
แมวตัวนี้ไม่มีชื่อเรียก เพราะเพียงแค่ส่งเสียง “เหมียว เหมียว” มันก็เดินเข้ามาคลอเคลียแล้ว
“ฮี่ฮี่ ท่านแม่บอกว่าพี่สือยวินผอมเกินไป อีกทั้งท่านพี่ศึกษาตำราอย่างหนักจึงต้องกินให้มากกว่านี้เจ้าค่ะ” หยุนเชวี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
เฟิงสือยวินเอนตัวพิงต้นไม้ด้านหลังอย่างเกียจคร้าน ขณะครุ่นคิดว่าศิษย์ตัวน้อยของตนช่างใส่ใจเสียจริง
“เจ้าสองคนมาที่นี่มีเรื่องอะไรรึ?” เฟิงซิ่วไฉเอ่ยถามพลางหรี่ตาลงอย่างสบายใจ