ตอนที่ 97 รสไก่ทอดกรุบกรอบ

ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน

ตอนที่ 97 รสไก่ทอดกรุบกรอบ

“อย่าขยับ” ดวงตาดำขลับของหยุนเชวี่ยจ้องมองสืออีก่อนโน้มตัวเข้าไปใกล้อย่างช้า ๆ

สิ่งที่ตามมาคือกลิ่นเหม็นฉุนที่ทวีความรุนแรงขึ้น…

เหอยาโถวยืดคอมองจากที่ไกล ๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดผวา “เจ้าจะเอาของสิ่งนี้ให้เขา… กินหรือ?”

ดวงตาของสืออีเบิกโพลง ท้องไส้พลันปั่นป่วน

นั่น…

ไม่เด็ดขาด!

ข้าไม่กินมันแน่นอน!

ต่อให้ภายในใจของตนจะมีแต่เชวี่ยเอ๋อตลอดมา ทว่าเขาไม่สามารถกลืนมันลงท้องได้จริง ๆ!

มันเหม็นเกินไป…

น่าขยะแขยง!

“พวกเจ้าสองคนคิดอะไรอยู่?” หยุนเชวี่ยกลอกดวงตาดำขลับคู่นั้น

นางคิดว่ามันง่ายเพียงนั้นเลยหรือ? ข้ากลัวมันมากที่สุด?

สิ่งที่อยู่ในห่อนั้นมีมากกว่าสิบตัว เพียงถือมันไว้ในมือและกลืนสิ่งเน่าเหม็นนั้นลงไป…

หยุนเชวี่ยพยายามหายใจเข้าออกเพื่อสงบสติอารมณ์ เนื่องจากชายตรงหน้านั้นขนลุกไปทั้งร่าง

“นอนลง” หยุนเชวี่ยชี้ไปยังเสื่อฟางด้านข้าง

สืออีแสดงท่าทีราวกับสาวน้อยถูกบังคับให้ค้าประเวณี เขาขยับตัวตามคำสั่งอย่างเชื่องช้าพลางเผยสีหน้าเศร้าโศก

“นอนลง อย่าขยับ”

ใบหน้าหล่อเหลาบิดเบี้ยวเล็กน้อย ทว่ายังคงสง่างามดังเดิม

เหอยาโถวยังคงยกนิ้วเรียวยาวราวกล้วยไม้ขึ้นปิดจมูกพลางแสยะยิ้มด้วยความยินดีในความโชคร้ายของผู้อื่น และไม่ลืมที่จะหันไปส่งสายตาให้สืออี

“จุ๊ ๆ เจ้าไปหามันมาจากไหนหรือ? เชวี่ยเอ๋อ… เจ้าไปเจอมันที่บ่ออุจจาระหรือ?”

เจ้าพูดถูก

หนอนตัวน้อย

หนอนน้อยตัวขาวอวบตัวหนึ่งดิ้นไปมา

ในเวลานี้หยุนเชวี่ยสามารถจินตนาการได้เพียงว่าพวกมันน่ารักและมีรสชาติคล้ายกับไก่ทอดกรอบ

นางเอียงศีรษะพร้อมใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้หยิบตัวหนอนขึ้นมา ความรู้สึกนุ่มนิ่มนั้นช่างน่าขนลุก…

“เชวี่ยเอ๋อ…” สืออีปฏิเสธในใจ

เจ้าหมาป่าตัวน้อยที่พูดว่า ‘คนเราไม่สามารถเป็นวีรบุรุษได้ในพริบตา’ พลันกลายเป็นลูกหมาบ้านขี้กลัวในทันที

“อย่าไปฟังที่เขาพูด ข้าไม่ได้จะให้เจ้ากินสักหน่อย” หยุนเชวี่ยเกรงว่าตนจะบีบหนอนตัวเล็กจนแบนจึงวางลงชั่วครู่ “แล้วก็ไม่ได้เก็บมันมาจากบ่ออุจจาระด้วย”

สืออี…

“ข้าเลี้ยงมันมากับมือ”

เหอยาโถว…

ในชีวิตเขาเคยเห็นเพียงคนเลี้ยงไก่ เป็ด และกระต่าย ทว่าไม่เคยเห็นผู้ใดเลี้ยงตัวหนอนมาก่อน หยุนเชวี่ยเปรียบเสมือนธารน้ำใสแห่งหมู่บ้านไป๋ซีจริง ๆ

“โอ้ ข้าขังมันไว้ภายใต้แสงแดดร้อนระอุเป็นเวลาสามวัน ซึ่งกว่าจะทำสำเร็จช่างยากเย็นแสนเข็ญ ดังนั้นมันไม่สกปรกหรอก เลิกชักช้าลีลาได้แล้ว” หยุนเชวี่ยเร่งเร้า

ยืดยาดเสียจริง

สืออีไม่รู้จะทำตัวอย่างไร และในเมื่อนางไม่ได้ให้เขากินหนอนตัวนี้… ดังนั้นก็ไม่มีอะไรต้องกลัว

ไม่ว่าเชวี่ยเอ๋อจะทำอะไร สิ่งนั้นย่อมส่งผลดีต่อเขาแน่นอน

“ท่าทางของเจ้าเหมือนหญิงสาวเลย” หยุนเชวี่ยเอ่ยคำหนึ่งก่อนหันกลับไปมองเหอยาโถว “มาช่วยข้าหน่อย”

เหอยาโถวตะลึงงัน “หืม? ทำอะไรหรือ?”

นางเชิดคางตนเองขึ้น “บีบหนองออกจากแผล”

ฝีบริเวณบาดแผลตรงหัวไหล่ของสืออีนั้นฝังลึกเข้าไปในกระดูก อีกทั้งบาดแผลยังไม่ได้ถูกรักษาเป็นเวลานานจึงทำให้แผลขยายเป็นวงกว้างและดูรุนแรงกว่าเดิม

เหอยาโถวยกนิ้วเรียวขึ้นจิ้มบริเวณที่บวมแดง

ยังไม่ทันที่สืออีจะร้องโอดโอย เหอยาโถวก็ถอนหายใจพลางตะโกนเสียงดัง “โอ๊ย ข้าทำไม่ได้”

“เจ้าปาดคอไก่มาแล้ว เรื่องแค่นี้จะกลัวอะไร?”

“สัตว์เดรัจฉานไม่เหมือนมนุษย์นี่?” คิ้วของเหอยาโถวขมวดเป็นปม

ยิ่งไปกว่านั้นใบหน้าของเขายังงดงามเพียงนี้ ใครจะใจดำทำได้ลงคอเล่า!

“ถ้าอย่างนั้นรับนี่ไป หากข้าบอกให้เอามันวางไว้ตรงไหน ให้วางมันตามที่ข้าบอก” หยุนเชวี่ยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากส่งตัวหนอนให้เขา

เหอยาโถวแทบอยากกระโดดออกไปสามฟุต ไม่ใช่เพราะรังเกียจ แต่เป็นเพราะขยะแขยงมากกว่า เขานั่งยอง ๆ บนพื้นพลางก้มหน้ามองต่ำ

หยุนเชวี่ยเลิกคิ้วพลางเผยสีหน้าไร้อารมณ์

เหอยาโถวมีท่าทีลำบากใจในคราแรก แต่สุดท้ายก็กัดฟันกรอดพลางกล่าวว่า “มา! ข้าจะบีบฝีหนองให้เขาเอง!”

เหอยาโถวเอื้อมมือที่อ่อนนุ่มกว่าหญิงสาวลูบไล้ไปตามผิวกายของสืออีอย่างไม่รู้ตัว

สืออีเบือนหน้าไปด้านข้างด้วยความอึดอัดใจเล็กน้อย

แม้เด็กหญิงจอมปลอมผู้นี้จะแต่งกายเป็นชาย แต่เหตุใดสืออียังรู้สึกว่าเขาเป็นผู้หญิงเล่า?

“แล้วหนอนล่ะ? เจ้าตั้งใจหน่อยสิ!” หยุนเชวี่ยแทบจะร้องไห้ออกมาอย่างจนปัญญา

เหอยาโถวตัวสั่นงันงกพลางจิ้มนิ้วลงไปที่บาดแผลอีกครั้งหนึ่ง มุมปากของเขากระตุกเล็กน้อยก่อนร้องโอดครวญเสียงดัง

“โอ๊ย…”

“ซี๊ด…”

“แม่หล่น…”

สืออีรู้สึกว่าเหอยาโถวเจ็บปวดกว่าตนเสียอีก ส่วนเสียงโอดครวญนั้นช่างแสบแก้วหูและน่ารำคาญยิ่ง เขาจึงเพ่งสมาธิทั้งหมดไปที่ใบหน้าของหยุนเชวี่ย

ใบหน้าเรียวเล็กและขาวผ่องแต้มสีแดงระเรื่อ สีหน้าสงบนิ่งไม่เหมาะกับหญิงสาวรูปร่างบอบบางเอาเสียเลย

“นี่ อย่าขยับสิ” หยุนเชวี่ยยื่นมือออกไปหยิบตัวหนอน ขณะที่เจ้าตัวหนอนสีขาวตัวน้อยดีดดิ้นไปมาตลอดเวลา

ตัวที่หนึ่ง…

ตัวที่สอง…

ตัวที่สาม…

เหอยาโถวมองภาพตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนเบือนหนีไปด้านข้าง และเหลือบมองอีกครั้งด้วยความอยากรู้อยากเห็นก่อนอ้าปากค้าง

สืออีคงเจ็บปวดไม่น้อย เพราะแค่ตนมองหนอนเหล่านั้นชอนไชไปมาในบาดแผลยังเจ็บปวดถึงเพียงนี้…

เหอยาโถวทำหน้าที่ของตนอย่างขันแข็ง นิ้วเรียวราวกล้วยไม้แตะบริเวณบาดแผลด้วยความกังวลใจเนื่องจากกลัวว่าจะคลำไปเจอกับเหล่าตัวหนอน

“เจ้าทำไปเพื่ออะไรหรือ? หากรออีกสองสามวัน เนื้อของเขาจะเกิดขึ้นใหม่หรือไม่?”

“ปล่อยให้พวกมันกัดกินชิ้นเนื้อที่ตายไปแล้ว” หยุนเชวี่ยโน้มตัวเข้าไปใกล้พลางกล่าวอย่างใจเย็นว่า “อย่าว่อกแว่กสิ บีบต่อไป”

ร่างกายของเหอยาโถวสั่นเทา “มันจะได้ผลหรือ?”

หยุนเชวี่ย “ได้ผลหรือไม่ ข้าก็ไม่รู้ ของเช่นนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา”

สืออี…

นาง ‘ลองใช้ยา’ กับเขารึ?

“เจ้าคิดอย่างไรถึงให้หนอนกัดกินเนื้อตายของเขาเล่า? หากมันชอนไชเข้าไปในร่างกายจะทำอย่างไร?” เพียงแค่คิดเส้นขนบนร่างของเหอยาโถวก็ตั้งชันทันที

“ป้อนยาให้กับซากม้า*” หยุนเชวี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง

*ป้อนยาให้กับซากม้า หมายถึง ทำทุกอย่างให้ดีที่สุด แม้จะอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังก็ตาม

วันที่ผ่านมาหยุนเชวี่ยเห็นซากหนูที่แม่นางเฉินโยนทิ้งไว้ข้างสวนผัก จู่ ๆ นางก็นึกถึงนิยายเรื่องหนึ่งที่เป็นสิ่งจุดประกายความคิดนี้

ตัวเอกของเรื่องถูกเนรเทศไปยังเกาะร้าง ระหว่างทางเได้รับบาดเจ็บสาหัส มีบาดแผลฉกรรจ์ และมีไข้สูงอย่างต่อเนื่องจนเกือบเสียชีวิต เคราะห์ดีที่เจอเข้ากับตัวหนอนที่กำลังกัดกินซากนกนางนวล จากนั้น… ตัวเอกของเรื่องก็รอดชีวิต

ไม่ว่าตัวนอนเหล่านี้สามารถจำกัดเนื้อตายได้จริงหรือเป็นเพียงเรื่องเหลวไหลที่นักเขียนนิยายผู้นั้นจินตนาการ มันก็ขึ้นอยู่กับดวงชะตาของสืออีแล้วล่ะ

อย่างไรก็ดีกว่านอนรอความตายอยู่เฉย ๆ

เมื่อได้ฟังบทสนทนาของทั้งสองคน สืออีจึงจ้องมองใบหน้าของหยุนเชวี่ยด้วยความเศร้าสลด ในใจของหยุนเชวี่ยคิดว่าตนเป็น ‘ซากม้า’ หรือ?

แต่นางมาเยี่ยมทุกวัน อีกทั้งยังนำขาไก่และซาลาเปามาให้ด้วย!

หรือว่านางคงรู้สึกว่าบรรยากาศเคร่งเครียดเกินไปจึงจงใจกล่าวหยอกล้อ!

ต้องเป็นเช่นนั้นแน่!

หยุนเชวี่ยเพียงต้องการลองผิดลองถูก นางไม่มีความคิดใดในสมองเลย นางหยิบหนอนใส่ในบาดแผลของสืออีราวยี่สิบตัวจนเกือบเสร็จ จากนั้นจึงเช็ดเหงื่อก่อนใช้ผ้าสะอาดพันแผลให้เขา

เหอยาโถวหายใจเข้าลึกก่อนวิ่งไปแหวกเถาวัลย์ที่อยู่ปากถ้ำออกเพื่อให้อากาศถ่ายเทสะดวก

“เจ้าอย่าไปคิดถึงมันและอย่าแกะผ้าพันแผลเข้าใจหรือไม่?” หยุนเชวี่ยกล่าวขณะเก็บข้าวของ

สืออีพยักหน้า

เขาไม่คิดว่าวิธีการรักษาที่พิลึกพิลั่นเช่นนี้จะได้ผลดีเท่าที่ควร ทว่าในเมื่อเชวี่ยเอ๋ออยากทำเช่นนี้ก็ปล่อยนางเถิด

เมื่อคิดว่าสาวน้อยคนนี้เอาใจใส่ตนเพียงใด สืออีพลันคิดในใจว่าหากนางจะครองตัวโสดไปตลอดชีวิต นางคงเป็นหญิงสาวที่ใจร้ายที่สุด