ตอนที่ 96 ความเกลียดชังจากหมาป่าตัวน้อย
เด็กทั้งสี่คนนั่งพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
หยุนเชวี่ยพบว่าเจ้าอ้วนเป็นที่รู้จักของคนในมณฑลอันผิง ตั้งแต่ร้านอาหารเลื่องชื่อและร้านขายของเล็ก ๆ ตลอดจนขอทานยังรู้จักเขาดี
“ตึง…”
“ตึง…”
“ตึง…”
ลูกจ้างของร้านขนมหวานยังคงเผยสีหน้าบูดบึ้งราวกับมีคนติดหนี้เขาหลายร้อยตำลึงขณะโยนจานขนมลงบนโต๊ะ
ฝีมือการโยนของเขานั้นคล่องแคล่วไม่น้อย จานขนมหวานหมุนและส่ายไปมา ทว่าขนมในจานกลับไม่ตกลงพื้นแม้แต่ชิ้นเดียว
หยุนเชวี่ยครุ่นคิดว่านี่ไม่ใช่การจ่ายเงินเพื่อมากินขนมหวาน แต่จ่ายเงินเพื่อมาดูการแสดงใช่หรือไม่?
“ด้วยความโชคร้ายจึงต้องจากบ้านเกิดมาต่างถิ่นเพื่อพึ่งพาญาติที่เป็นเจ้าของร้านอาหาร เขาคงลำบากใจกระมัง” เจ้าอ้วนเฉียนไม่ถือสากับการกระทำนั้นก่อนกระซิบบอกทุกคนหลังจากลูกจ้างหนุ่มเดินจากไป
หยุนเชวี่ยมองตามลูกจ้างของร้านขนมหวานและสะดุดตาเข้ากับรอยแผลเป็นด้านหลังคอของเขาก่อนแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เขาช่างร้ายกาจยิ่ง ในเมื่อไม่เต็มใจที่จะให้บริการจึงทำท่าทีเช่นนี้เพื่อไล่พวกนางออกไป
เมื่อใกล้ยามเที่ยง หยุนเชวี่ยและเหอยาโถวจึงกลับมาที่หมู่บ้านไป๋ซี
“อ้อ เชวี่ยเอ๋อ พี่รองบอกข้าว่าพรุ่งนี้ขบวนขนส่งสินค้าจะกลับมาแล้ว”
“เยี่ยมไปเลย ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปเก็บสะระแหน่ไว้ก่อนแล้วกัน”
“ข้าไปด้วย”
หยุนเชวี่ยหยุดเดิน “ข้าจะขึ้นไปบนภูเขาหลังหมู่บ้าน”
“อ๋อ” เหอยาโถวพลันนึกขึ้นได้ว่าบนภูเขาด้านหลังหมู่บ้านมีบุคคลหนึ่งซ่อนตัวอยู่ “เขาดีขึ้นหรือยัง?”
หยุนเชวี่ยส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้
ไม่ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย ฝีหนองยังคงกัดกินเนื้อมากขึ้น ไม่รู้ว่าเขาจะทนพิษบาดแผลได้อีกนานเท่าใด อีกทั้งนางยังไม่รู้เลยว่าวิธีการรักษาที่กำลังทำอยู่นั้นถูกต้องหรือไม่
แต่ถึงอย่างไรก็ต้องลองทำทุกอย่างให้ดีที่สุด แม้จะอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังก็ตาม
ยามบ่าย
เหอยาโถวเดินตามหยุนเชวี่ยไปยังภูเขาด้านหลังหมู่บ้าน ทั้งสองเดินไปพลางและหยุดขุดสะระแหน่ตามข้างทางไปพลาง
“เชวี่ยเอ๋อ เสี่ยวอู่เรียนตำรากับฟางซิ่วไฉเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ดีมากเลยล่ะ พี่สือยวินสอนหนังสือดีมาก เสี่ยวอู่ท่องจำและเขียนตัวอักษรได้ดีขึ้น”
เสี่ยวอู่เรียกฟางซิ่วไฉว่า ‘พี่สือยวิน’ ดังนั้นหยุนเชวี่ยจึงเรียกเขาตามน้องชายเพื่อความสนิทสนม
“ดีแล้ว ข้าว่าคนในหมู่บ้านเราคงไม่มีใครด่าว่าเสี่ยวอู่โง่งมอีกแล้ว” เหอยาโถวเช็ดเหงื่อ “เชวี่ยเอ๋อ เอ่อ… เจ้าคิดว่า…”
“หืม?” หยุนเชวี่ยยังคงไม่คุ้นชินกับท่าทางอึกอักของเขา เหตุใดแต่งตัวเป็นชายแล้วนิสัยเปลี่ยนฉับพลันเพียงนี้?
เหยาโถวหัวเราะคิกคัก ใบหน้าแดงก่ำขณะเลียริมฝีปาก “เจ้าคิดว่าข้าเชิญฟางซิ่วไฉมาเปลี่ยนชื่อให้ข้าดีหรือไม่?”
“หา?”
“ข้ารู้สึกว่าชื่อเหออวี้เฟิ่ง… ไม่น่าฟังเอาเสียเลย”
“เจ้าอยากเปลี่ยนชื่อหรือ?” ความจริงแล้วหยุนเชวี่ยรู้สึกว่าชื่อนี้ออกเสียงยากเช่นกัน
นางจ้องมองเหอยาโถวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ภายภาคหน้าเขาต้องเติบใหญ่เป็นชายร่างกำยำ อกผายไหล่ผึ่ง รูปร่างสูงโปร่ง และมีชื่อว่า ‘อวี้เฟิ่ง’ คงเป็นภาพที่แปลกตา
“แล้วแม่ของเจ้าเต็มใจหรือไม่?” หยุนเชวี่ยถามย้ำ
“ท่านแม่ตามใจข้าทุกอย่างแหละ” เหอยาโถวแสดงท่าทีเอ็นดูออกมา
“ดีแล้วล่ะ” หยุนเชวี่ยพยักหน้าพลางครุ่นคิด “เหตุใดถึงไม่ให้หวังหลี่เจิ้งตั้งชื่อใหม่ให้เล่า?”
ปกติแล้วชาวบ้านมักขอให้ผู้อาวุโสตั้งชื่อแก่ตนหรือลูก ๆ เพื่อความเป็นมงคล ทว่าเฟิงสือยวินและเหอยาโถวอายุเท่ากัน ดังนั้นมันจึงไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย
เหอยาโถวแสร้งทำทีหูทวนลม “เช่นนั้นก็ตกลง พลบค่ำวันนี้เจ้าไปที่บ้านพี่สือยวินกับข้านะ”
หยุนเชวี่ยชำเลืองมองท่าทีกระตือรือร้นของเขา ดูเหมือนว่านางจะเข้าใจอะไรบางอย่าง…
ภายในถ้ำบนภูเขา
สืออีนั่งพิงผนังพลางมองเด็กหนุ่มหน้าหยกที่ยืนข้างหยุนเชวี่ยด้วยสายตาไม่เป็นมิตรราวกับลูกหมาป่าที่หวงอาหาร
เขาคือผู้ใด?
มีเจตนาอะไร?
เหอยาโถวรู้สึกอึดอัดใจเมื่อถูกจ้องมองด้วยสายตาเกลียดชัง เขาจึงดึงแขนเสื้อของหยุนเชวี่ยโดยไม่รู้ตัว
สืออี!
ไอ้หนุ่มนั่นสนิทสนมกับหยุนเชวี่ย!
คิ้วหนาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ดวงที่มักมีเมฆครึ้มปกคลุมพลันทอประกายเย็นเยียบ แม้สีหน้าของเขาจะดูซีดเซียว แต่รังสีอาฆาตกลับแผ่ออกมาอย่างรุนแรง…
เหอยาโถวขยับตัวไปหลบอยู่ด้านหลังของหยุนเชวี่ยอย่างไม่รู้ตัวพลางหดคอลงด้วยความหวาดกลัว “เจ้าจะทำอะไร? ข้าหรือเจ้าเป็นคนจ่ายเงินค่ายากันแน่…”
สืออี?
เหตุใดเสียงของเขา… ถึงคุ้นหูเช่นนี้?
“เขาคือเหอยาโถว เจ้าลืมไปแล้วหรือ?” หยุนเชวี่ยวางตะกร้าสะพายหลังลงก่อนหยิบน้ำและอาหารยื่นให้สืออี
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจ้าหมาป่าน้อยจึงลดความระแวดระวังลงและส่งเสียง “อ๋อ” ในลำคอ ก่อนก้มหน้าลงกัดขนมเปี๊ยะพลางเลียริมฝีปาก
เหอยาโถวกลอกตาพลางล้วงมือเข้าไปหยิบผ้าเช็ดหน้าในแขนเสื้อหลังจากไม่ได้สัมผัสมาครู่หนึ่ง จากนั้นจึงนั่งลงบนหินก้อนใหญ่
“ตัวของเจ้ายังร้อนอยู่หรือไม่?” ดวงตาของหยุนเชวี่ยเลื่อนไปยังริมฝีปากของอีกฝ่ายอย่างไม่รู้ตัว
ริมฝีปากของเขานั้นเรียวบางและซีดขาวจนไม่มีสีเลือด ทว่ามันกลับดึงดูดสายตาและเย้ายวนยิ่งจนทำให้นางอยากลิ้มลอง
สืออียังคงมีสติครับถ้วน เขาเอนตัวพิงหยุนเชวี่ยพลางขยับใบหน้าเข้าไปใกล้นางเผยให้เห็นไฝสีแดงเม็ดเล็กบริเวณติ่งหู
หยุนเชวี่ยเอื้อมมือไปอังบนหน้าผากของสืออี
หน้าผากเย็น แต่มีเหงื่อออกเล็กน้อย
“กินยาเสีย” หยุนเชวี่ยหยิบห่อยาขนาดเท่าฝ่ามือที่ห่ออย่างแน่นหนาด้วยใบบัวออกมาจากด้านล่างสุดของตะกร้าไม้ไผ่
“นี่คืออะไรหรือ?” หอยาโถวเอ่ยถามพลางขมวดคิ้วพร้อมย่นจมูก “เหตุใดถึงมีกลิ่นเหม็นราวกับมูล?”
หางตาของสืออีกระตุกขณะกลืนอาหารในปากอย่างยากลำบาก
“สูตรลับน่ะ มันขึ้นอยู่กับร่างกายของเจ้าว่าจะซึมซับยานี้ได้ดีหรือไม่”
หยุนเชวี่ยยังไม่ทันที่จะเปิดห่อยา สืออีก็มีลางสังหรณ์ไม่ดีนักขณะที่กลิ่นจาง ๆ ของมันเริ่มทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
สืออีเช็ดทำความสะอาดปลายนิ้วที่เปื้อนขนมเปี๊ยะด้วยใบไม้ จากนั้นกลืนน้ำลายทำให้ลูกกระเดือกของเขากลิ้งขึ้นลง
เหอยาโถวปิดจมูกพลางสงสัยว่า ‘สูตรลับ’ ของหยุนเชวี่ยคืออะไร
หยุนเชวี่ย “ถอดเสื้อผ้าออก”
เจ้าหมาป่าน้อยยกแขนขึ้นอย่างเชื่อฟัง
เหอยาโถวเบะปาก คุณชายผู้นี้ช่างเชื่อฟังดีเหลือเกิน
หยุนเชวี่ยดึงแขนเสื้อและคอเสื้อของเขาออกอย่างชำนาญ จากนั้นใช้นิ้วจิ้มบริเวณที่บวมแดงรอบแผลอย่างแผ่วเบา
เลือดค่อย ๆ ไหลซึมออกมา
“อดทนไว้แล้วอย่าส่งเสียงดังล่ะ”
สืออีคิดว่าตนเองอดทนต่อความเจ็บปวดได้จึงพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจ
หลายวันมานี้มีการล้างแผลครั้งไหนบ้างที่ไม่เหมือนกับการเฉือนเนื้อ? แล้วมีครั้งไหนบ้างที่เขาร้องครวญคราง?
คนเราไม่สามารถเป็นวีรบุรุษได้ในพริบตา
จากนั้น…
หยุนเชวี่ยเปิดห่อยาออกอย่างช้า ๆ เผยให้เห็น ‘ยา’ สีดำมะเมื่อมที่อยู่ด้านใน
“อ๊ะ…” เหอยาโถวปิดปากและจมูกพลางยืดคอก่อนก้าวถอยหลังราวกับอยากรู้อยากเห็น ทว่ารังเกียจ
สืออีผงะชั่วขณะ
ดวงตาสีดอกท้อคู่นั้นกะพริบปริบ ๆ
และกะพริบตาอีกครั้ง
ริมฝีปากของสืออีสั่นระริก เขากำเสื้อของตนเองที่ถูกถอดออกครึ่งหนึ่งแน่นราวกับว่ากำลังถูกเฉือนเนื้อออกเป็นชิ้น ๆ
“เชวี่ยเอ๋อ ข้ามีอะไรจะถาม… จะ เจ้ากำลังทำอะไร?”
หยุนเชวี่ย “เปลี่ยนยา”
เมื่อเห็นว่านางเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง สืออีจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกคันแปลก ๆ บริเวณที่ฝีหนองกัดกินไปถึงกระดูกก่อนรู้สึกเสียวซ่านไปทั่วทั้งหนังศีรษะ
สาวน้อยผู้งดงามนางนี้กล้าทำเรื่องน่ากลัวเช่นนี้… จริงหรือ?