ตอนที่ 268 ที่แท้ก็มีคนหนุนหลังนี่เอง

ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม

ฉางเอ๋อยิ้มอย่างมีเลศนัย “ตอนนั้นเลือดของเจ้าแห้งขอด ถูกเคลื่อนย้ายไปอยู่ในโลงเย็นพันธนาการจิต เหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้าย แม้แต่ผู้รู้แจ้งหยินสี่แห่งสรวงสวรรค์ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว”

“ภายหลังซูซูมาขอร้องให้ข้าช่วยเจ้าที่วังจันทรา เพราะการวิงวอนร้องขอของนาง ข้าถึงได้ตัดสินใจปรุงเม็ดยาสรรสร้างชีวิตขึ้นมา เสริมด้วยพลังแห่งแสงจันทร์ ถึงได้ช่วยชีวิตเจ้าไว้ได้”

“นี่เป็นความจริงที่พวกเจ้ารู้ แต่พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่า มีคนหนึ่งที่มาพบข้าก่อนซูเฉี่ยนอวิ๋น และเป็นเพราะการมาของเขา ถึงทำให้ข้าตัดสินใจยอมทุ่มเทมหาศาล ช่วยนักพรตน้อยที่ยังไม่เคยพบหน้าอย่างเจ้า”

เมื่ออันหลินได้ฟัง ก็รู้แล้วว่ามาถึงสาระสำคัญแล้ว สาเหตุที่แท้จริงที่ฉางเอ๋อยอมช่วย กลับเป็นเพราะคนอีกคนงั้นเหรอ

“เป็นใครกันแน่” ตาอันหลินลุกวาว หัวใจเต้นตึกตัก ตื่นเต้นอย่างยิ่ง

ดวงเนตรของฉางเอ๋อสุกใส จ้องชายหนุ่มข้างกายแล้วเอ่ยนิ่งๆ ว่า “คนที่เชื้อเชิญข้า ทำให้ข้ายอมทุ่มเทมหาศาลเพื่อช่วยเจ้าโดยไม่ลังเล ต่อให้จักรพรรดิสวรรค์ออกหน้าก็ไม่ได้ผล เจ้าลองเดาดูสิว่าจะมีใครอีก”

จักรพรรดิสวรรค์ก็ทำไม่ได้งั้นเหรอ

อันหลินนิ่งอึ้ง ในสมองขาวโพลน

ตอนแรกเขาคิดว่าอาจจะเป็นผู้อำนวยการ ไม่ก็เป็นผู้เที่ยงแท้ลึกลับที่มอบระบบให้กับเขา แต่ฉางเอ๋อกลับบอกว่าแม้แต่จักรพรรดิสวรรค์ก็ทำไม่ได้ บุคคลที่สูงส่งกว่าจักรพรรดิสวรรค์งั้นเหรอ จักรพรรดิสวรรค์ก็เป็นเจ้าแห่งเก้าแคว้นแล้ว เป็นผู้เที่ยงแท้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว สูงกว่าเขา มันเหนือฟ้าแล้วไม่ใช่หรือ

อันหลินชี้ท้องฟ้า พูดอย่างตะลึงว่า “พระเจ้าส่งท่านมาช่วยข้าหรือ”

“พรืด…” มาดของฉางเอ๋อถูกทำลายในพริบตา ร่างโยกคลอนดุจบัวน้ำ ขำเบาๆ กล่าวว่า “ขอร้องล่ะ ข้ากำลังพูดเรื่องที่จริงจังมากอยู่นะ เจ้าจริงจังหน่อยได้ไหม”

อันหลินหน้ามุ่ย “แต่ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเป็นใคร”

ฉางเอ๋อมองอากัปกิริยาของอันหลิน ดูไม่เหมือนแสร้งทำ จึงอดสงสัยในใจไม่ได้ เขาไม่รู้จักคนคนนั้นจริงๆ หรือ หรือคนคนนั้นไม่เคยเปิดเผยตัวตนกับเขา คอยดูแลเขาอย่างลับๆ เท่านั้น

นางคิดว่าอันหลินอาจจะไม่รู้จริงๆ ก็ได้ จึงพูดออกมาโดยตรงว่า “คนที่มาขอให้ข้าช่วยเจ้าถึงวังจันทรา มีนามว่าปรมาจารย์ลู่ยา”

“ปรมาจารย์ลู่ยาหรือ เขาเป็นใคร” อันหลินกะพริบตาปริบๆ สีหน้างุนงง

ฉางเอ๋อเห็นท่าทางเช่นนี้ของเขา จึงอดอึดอัดใจไม่ได้ “วิชาประวัติศาสตร์แผ่นดินบรรพกาลของเจ้าเรียนเสียเปล่า!”

อันหลินส่ายหน้า พูดอย่างฉะฉานว่า “วิชานี้เป็นวิชาเลือก ข้าไม่สนใจประวัติศาสตร์ จึงไม่ได้เลือก แต่หากเป็นผู้อาวุโสที่เลื่องชื่ออย่างยิ่ง ข้าน่าจะเคยได้ยินชื่อสิ…”

ฉางเอ๋อถอนหายใจเบาๆ “หากเทียบกับอีกสามท่านในแผ่นดินบรรพกาลแล้ว ชื่อเสียงของเขาไม่ลือเลื่อง น้อยคนจะรู้จัก ไม่ได้ก่อตั้งสำนัก เพียงแค่หลุดพ้นจากไตรภูมิ ท่องไปทั่วทุกภูมิ…”

“อืม…พระโคตมพุทธเจ้าเจ้าน่าจะเคยได้ยินใช่ไหม”

อันหลินพยักหน้าทันที พระองค์เป็นถึงพระยูไล เป็นผู้สูงสุดที่บุกเบิกแดนพุทธ เป็นยอดฝีมือเก่งฉกาจที่เทียบเท่าจักรพรรดิสวรรค์ เขาจะไม่เคยได้ยินได้อย่างไร

“อาจารย์ของพระโคตมพุทธเจ้าคือปรมาจารย์ฮุ่นคุน ปรมาจารย์ฮุ่นคุนกับปรมาจารย์ลู่ยา พระแม่หนี่วา ปรมาจารย์หงจวินถูกขนานนามว่าเป็นเทพผู้สร้างทั้งสี่แห่งแผ่นดิน ตอนนี้เจ้ารู้หรือยังว่า ปรมาจารย์ลู่ยาที่อยากช่วยชีวิตเจ้าเป็นบุคคลแบบใด” ฉางเอ๋อมองอันหลิน พูดพลางยิ้มหยัน

อันหลินฟังแล้วงงเป็นไก่ตาแตก ราวกับฟังคัมภีร์สวรรค์

ปรมาจารย์ลู่ยา เทพสร้างโลก

ให้ตายสิ นี่มันบุคคลที่น่ากลัวกว่าหลงอ้าวเทียน จ้าวรื่อเทียนนับพันหมื่นเท่า! เขาไปเกี่ยวข้องกับบุคคลระดับนี้ตั้งแต่เมื่อใด หรือเขาจะเป็นตัวเอก เขามีความสามารถที่น่าเหลือเชื่อ โลกใบนี้ต้องการให้เขากอบกู้

ความคิดพรั่งพรู อันหลินยืนนิ่งกับที่ปานรูปปั้น เรื่องนี้สะเทือนใจเขามากเหลือเกิน!

ลมราตรีเย็นเยือกพัดผ่าน เงาไม้โยกไหว กลีบดอกขาวผุดผ่องร่วงลงบนศีรษะของอันหลิน เขากลับไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด ฉางเอ๋อไม่รบกวนเขา ปล่อยให้เขาตกตะกอนด้วยตัวเอง

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน กว่าอันหลินจะได้สติกลับมา

“เอ่อ…แล้วที่ท่านช่วยปรุงยาเซียนให้ข้า ข้ายังต้องคืนหรือไม่”

ฉางเอ๋อ “…”

นางกุมขมับอย่างระอาใจ ไม่คิดเลยว่าอันหลินตกตะกอนเนิ่นนานปานนี้ ทว่าสิ่งที่พูดออกมาจะเป็นประโยคนี้

“เอ้อ! ปรมาจารย์ลู่ยาได้พูดกับท่านไหมว่า ข้ามีพรสวรรค์เหนือชั้น กายที่น่าตะลึง ต้องการให้ข้ากอบกู้โลกอะไรเทือกนั้นบ้างไหม”

“ไม่ได้พูด!” ฉางเอ๋อตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “อีกอย่าง ในเมื่อเจ้าพูดถึงค่ายาเซียนแล้วก็อย่าเบี้ยว! ข้าก็จะไม่หลอกเจ้า เก็บแค่ต้นทุน สิบสองล้านหินวิญญาณ!”

อันหลินพยักหน้าอย่างห่อเหี่ยวใจ ขณะเดียวกันก็ผิดหวัง ที่แท้ตนไม่ได้เป็นผู้พิทักษ์โลกเหรอเนี่ย…

จากนั้นความสงสัยมากมายก็ผุดขึ้นในใจเขา เขาจึงอดถามไม่ได้ว่า “ปรมาจารย์ลู่ยาคนนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร เขาเกี่ยวข้องอะไรกับข้า ทำไมเขาต้องช่วยข้าด้วย”

เมื่อเจอกับคำถามเป็นพรวน ฉางเอ๋อก็พูดอย่างหมดอารมณ์ว่า “ปรมาจารย์ลู่ยางดงามมาก ส่วนเรื่องอื่น…ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เจ้าไปถามเขาเอาเอง”

อันหลินนิ่งไปเล็กน้อย ปรมาจารย์ลู่ยาไม่ใช่สัตว์เลี้ยงของตนเสียหน่อย อยู่ไหนก็ไม่รู้ ถามบ้าอะไรกัน

ส่วนที่บอกว่าปรมาจารย์งดงามมาก เช่นนั้นคุณตาที่มอบระบบต้มตุ๋นให้เขาบนโลกมนุษย์ กับความเป็นไปได้เพียงน้อยนิดที่ไม่ควรค่าให้เอ่ยถึงก็ตัดทิ้งไปได้เลย หากเขาหน้าตาหล่อมาก เวลาที่ไปช่วยคนไม่มีทางแปลงร่างตัวเองให้เป็นตาแก่ มันเป็นการทำลายภาพลักษณ์ตัวเองไม่ใช่หรือไง

จิตใจของอันหลินค่อยๆ สงบลง ยอดฝีมือเหนือชั้นระดับนี้ ห่างไกลจากเขาเหลือเกิน ต่อให้มีที่มาที่ไป ตอนนี้ก็ไม่มีปัญญาจะค้นหาคำตอบ

จากสถานการณ์ในตอนนี้ รู้ว่ามีคนหนุนหลังที่คอยรักคอยห่วงใยตัวเองก็เพียงพอแล้ว!

หึๆ…นี่เป็นคนหนุนหลังที่มีระดับเหนือกว่าจักรพรรดิสวรรค์เสียอีก…

เขาโอนสิบสองล้านหินวิญญาณในแหวนมิติให้ฉางเอ๋อ

อันหลินที่ใช้หนี้หมดแล้วโล่งอก ผ่อนคลายไปทั้งตัว

เขาเป็นคนซื่อตรงที่จะไม่สบายตัวเลยเมื่อติดหนี้ อาการนี้คงจะแก้ไม่หายแล้ว

ตอนนี้ในแหวนมิติเหลือเพียงสองล้านแปดแสนหินวิญญาณแล้ว เขาเปลี่ยนจากสุดยอดเศรษฐีเป็นเศรษฐีใหญ่ กำลังทรัพย์ลดลงมาหนึ่งระดับเต็มๆ

มันไม่มีอะไรน่าเสียดาย ลำดับต่อไป เขายังต้องซื้อของขวัญชิ้นใหญ่ให้สวีเสี่ยวหลานอีกแน่ะ

ถ้าให้เงินกับสวีเสี่ยวหลานโดยตรง นางไม่รับแน่นอน จึงแสดงน้ำใจของตนด้วยวิธีมอบของขวัญเท่านั้น

ฉางเอ๋อใช้มนตร์ข้ามมิติ พาทั้งคู่กลับมาที่วังจันทราอีกครั้ง

ซูเฉี่ยนอวิ๋นกับกระต่ายดวงจันทร์มองทั้งสองที่กลับมาอึ้งๆ ราวกับเห็นเรื่องราวมหัศจรรย์

ความกลัดกลุ้มก่อนหน้านี้ของฉางเอ๋อมลายหายไป เดินเข้าไปจับมือซูเฉี่ยนอวิ๋น ขำเบาๆ “ทำหน้าแบบนี้ทำไม ข้ากับอันหลินไม่ได้มีอะไรเสียหน่อย”

“แต่พี่…ท่านกับเขาจับมือกัน…” หน้าอกของซูเฉี่ยนอวิ๋นกระเพื่อม ใบหน้าขาวเนียนดุจหยกแดงระเรื่อ ราวกับกำลังพูดเรื่องที่น่าเขินอายมาก

“ซูซูคนโง่” ฉางเอ๋อยื่นมือเรียวปานต้นหอมออกไปดีดหน้าผากซูเฉี่ยนอวิ๋น “ข้าเคยบอกแล้วไม่ใช่หรือว่า จับมือไม่ท้องหรอก มีแต่จูบเท่านั้น…”

ซูเฉี่ยนอวิ๋นหน้าแดงยิ่งกว่าเดิม ประหนึ่งแอปเปิลสุกงอม ดูน่ารักมากเป็นพิเศษ พูดเสียงอ่อนว่า “ท่านไม่ได้จูบใช่ไหม”

ฉางเอ๋อส่ายหน้าอย่างจริงจัง “ไม่ได้จูบ ข้าจูบแค่ซูซูคนเดียว…”

อันหลินยืนอยู่อีกมุม เลือกอุดหูไม่ยอมฟัง

เขาอยากจะแขวะเหลือเกิน แต่เขารู้ว่าหากพูดขึ้นมาในเวลานี้ เขาจบเห่แน่

กระต่ายดวงจันทร์ยืนเงียบอยู่อีกทาง เคยชินกับเรื่องนี้นานแล้ว ดวงตากลมโตเหลือบมองอันหลินไม่หยุด ราวกับกำลังคิดอะไรอยู่

“อันหลิน แม้ฉางเอ๋อจะไม่แยแสที่เจ้ารู้เรื่องนี้ แต่ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่แพร่งพรายออกไป” จู่ๆ เสียงมีเสน่ห์ของผู้หญิงก็ดังในจิต

อันหลินเสมองกระต่ายดวงจันทร์ รู้ว่ามันหมายถึงเรื่องอะไร จึงพยักหน้าอย่างหนักแน่น ส่งกระแสจิตตอบว่า “วางใจเถอะ ข้าจะปิดปากให้สนิทแน่นอน”

พูดคุยสัพเพเหระพักหนึ่ง อันหลินก็ขี่สุนัขออกจากวังจันทราพร้อมซูเฉี่ยนอวิ๋น

วันหยุดระยะเวลาหนึ่งเดือนเริ่มมาเยือนอีกแล้ว