ตอนที่ 50 ออกเดินทาง

หลังจากวันนั้นฟางผิงไม่จำเป็นต้องเข้าเรียน เขาเลยใช้เวลาส่วนมากไปกับการฝึกวิชา

ชั่วพริบตาเดียวก็มาถึงวันที่ 29 เมษายน

จิ่งหูหยวน ตอนเย็น

หลี่อวี้อิงช่วยลูกชายจัดเตรียมเสื้อผ้า ยังคงเอ่ยอย่างไม่วางใจอยู่บ้าง “ผิงผิง ไม่ให้แม่ไปกับลูกจริงๆ เหรอจ้ะ?”

“แม่ครับ ครั้งนี้โรงเรียนจัดการอาหารที่พักให้เรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องลำบากแม่หรอก”

“แต่ว่า…”

หลี่อวี้อิงยังคงเป็นห่วงลูกชายที่ออกไปไกลบ้านเพียงคนเดียว

ฟางหยวนที่นั่งด้านข้างพูดอย่างอิจฉาอยู่บ้าง “แม่คะ บางทีวันที่สามฟางผิงอาจจะกลับมาแล้วก็ได้ ไม่ต้องไปกับ…”

ฟางผิงมองค้อนใส่เธอ หลี่อวี้อิงกล่าวตำหนิเหมือนกัน “พูดเหลวไหล!”

วันที่หนึ่งตรวจร่างกาย วันที่สามผลออกอย่างเป็นทางการ

คนที่ไม่ผ่านการตรวจร่างกาย วันที่สามคงต้องกลับมาแล้ว

แต่ถ้าผ่าน ก็ต้องอยู่ที่รุ่ยหยางต่อ เตรียมสอบภาคปฏิบัติวันที่เจ็ดและสอบวิชาเฉพาะวันที่สิบ

ยิ่งพักที่รุ่ยหยางได้นานเท่าไหร่ นั่นหมายความว่าคุณผ่านด่านเข้าไปเรื่อยๆ

ยิ่งนานยิ่งมีโอกาสสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ได้

ฟางหยวนถูกแม่และพี่ชายถลึงตาใส่ จึงเอ่ยอย่างร้อนตัว “หนูแค่พูดกระตุ้นฟางผิง เขาจะได้อยู่รุ่ยหยางนานๆ ไง…”

ระหว่างที่พูด ฟางหยวนเผยอาการดีใจอยู่บ้าง หยั่งเชิงว่า “ฟางผิง ให้ฉันไปกับนายหรือเปล่า จะได้คอยดูแลนาย?”

“เธอเนี่ยนะดูแลฉัน?”

ฟางผิงใบหน้าดำคล้ำ ฉันไร้ความสามารถขนาดนั้นรึไง ถึงต้องให้สาวน้อยอย่างเธอมาดูแล!

เขาคร้านจะรับบทสนทนา กลับไม่คิดว่าหลี่อวี้อิงจะเห็นด้วย “ผิงผิง ไม่งั้น…”

“แม่ครับ!”

ฟางผิงตัดบททันที “นิสัยอย่างฟางหยวน ใครต้องดูแลใครกันแน่ ไม่สร้างความวุ่นวายให้ผมก็ดีเท่าไหร่แล้ว อีกอย่างพรุ่งนี้ฟางหยวนยังมีเรียนอีก ไปกับผมได้ที่ไหน”

“ฟางผิง!”

ฟางหยวนโมโหอยู่บ้าง “นายอย่าลืมว่า หลายวันนี้ฉันซักผ้าให้นายมาโดยตลอด…”

“ทำไมเธอไม่บอกด้วยล่ะว่าซักให้ตัวละเท่าไหร่?”

ฟางผิงกลอกตา สองวันก่อนฟางผิงหยุดอยู่บ้าน ทุกครั้งที่ฝึกวิชาต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า เขานั้นขี้เกียจซักเอง สุดท้ายเด็กแสบจึงเสนอตัวซักให้ แน่นอนว่า คิดค่าซักต่อตัว

ตอนนี้ยังมีหน้ามาถามเอาความดีความชอบอีก!

ฟางหยวนเผชิญกับสายตาตำหนิของแม่ ร้อนตัวขึ้นมาอีกครั้ง “ฉันช่วยนายเก็บเงินต่างหาก ใครคิดค่าซักจากนายกัน…”

ฟางผิงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่คิดเปิดโปงเธอ

รอจนเก็บผ้าเสร็จแล้ว หลี่อวี้อิงจึงส่งแบงก์ปึกหนึ่งมา มองก็รู้แล้วว่าคงจะประมาณพันหยวนเป็นอย่างต่ำ

ฟางผิงไม่รับ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แม่ ผมยังพอมีอยู่ อีกอย่าง ทางโรงเรียนรวมค่าอาหารและที่พักลงในค่าสมัครหมดแล้วด้วย”

หลายวันก่อนแม่จับได้ว่าเขาซื้อขนมให้ฟางหยวนไปไม่น้อย

ฟางผิงเลยถือโอกาสพูดว่า เขาขายลายเซ็นของหวังจินหยางได้เงินไม่น้อย โยนหม้อให้เหล่าหวังแบกอีกครั้ง

เหล่าหวังคงไม่คิดปฏิเสธอะไร ฟางหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงมาโดยตลอด

แม้สองสามีภรรยาฟางหมิงหรงจะคิดว่าฟางผิงใจกล้า ขายลายเซ็นของผู้ฝึกยุทธ์

แต่พอได้ยินจากฟางผิงว่าหวังจินหยางรับรู้ ทั้งสองคนจึงไม่ถามเรื่องนี้อีก

ถึงฟางผิงจะบอกว่าเขามีเงิน แต่หลี่อวี้อิงยังคงยัดเงินให้ฟางผิง

ครั้งนี้ไม่รู้ว่าลูกชายต้องออกไปอยู่ข้างนอกนานเท่าไหร่ ออกจากบ้านคนเดียว ไม่มีเงินติดตัว คงทำเรื่องไม่ค่อยสะดวกนัก

หลี่อวี้อิงไม่ได้ล้าสมัย เธอเคยได้ยินคนพูดเหมือนกัน เพื่อเตรียมตัวให้ลูกสอบศิลปะการต่อสู้ ต้องสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายไม่น้อย

บางคนขายบ้าน บางคนกู้เงินกับธนาคาร บางคนยืมเงินจากญาติพี่น้อง…

มีเพียงครอบครัวตัวเองที่ตั้งแต่ฟางผิงตัดสินใจสอบศิลปะการต่อสู้ กลับเสียเงินไปแค่สามสี่หมื่นเท่านั้น

สำหรับตระกูลฟางแล้ว เงินก้อนนี้ไม่น้อยเลย

แต่สำหรับนักเรียนสายศิลปะการต่อสู้ทั่วไป เงินแค่นี้ ยังไม่พอให้ใช้ซื้อยาบำรุงเตรียมพร้อมก่อนวันตรวจร่างกายด้วยซ้ำ

หลายวันนี้ ฟางหมิงหรงจึงตั้งใจจะซื้อยาบำรุงให้ฟางผิงใช้ก่อนวันตรวจร่างกาย ถึงจะซื้อยาบำรุงเลือดและปราณไม่ได้ ซื้อยาบำรุงกำลังก็ยังดี

แต่ฟางผิงค้านหัวชนฝา บอกว่าเขาสอบได้อยู่แล้ว ฟางหมิงหรงจึงต้องยอมแพ้ไป

ลูกชายรู้ความ ไม่คิดสร้างภาระเพิ่มให้ครอบครัว

แต่สองสามีภรรยาก็ยังละอายใจ มักรู้สึกผิดต่อฟางผิง

หลี่อวี้อิงยัดเงินให้ฟางผิงแล้วกำชับอยู่พักใหญ่ ก่อนจะออกไปทำความสะอาดห้อง

ฟางผิงควักแบงก์ที่ถูกยัดในกระเป๋าออกมา ไม่นับก็รู้แล้วว่า เป็นเงินสองพันหยวน

ไปรุ่ยหยาง อยู่อย่างต่ำที่สุดสามวัน ยาวที่สุดสิบกว่าวัน

แค่นี้กลับให้เงินมามากมาย สำหรับตระกูลฟางแล้ว นี่นับเป็นเงินก้อนใหญ่

ฟางผิงครุ่นคิด ท้ายที่สุดจึงเก็บไว้

ตอนนี้ยังมีเรื่องที่เปิดเผยกับครอบครัวไม่ได้ การสอบศิลปะการต่อสู้ใกล้จะมาถึงแล้ว

รอสอบเสร็จ ค่อยแก้ปัญหาทุกอย่าง แม่ออกไปแล้ว แต่ฟางหยวนยังไม่ไป

เด็กสาวตื่นเต้นกับการเดินทางครั้งนี้ของฟางผิงอย่างยิ่ง เท้าคางมองไปยังพี่ชาย “ฟางผิง นายจะไม่พาฉันไปด้วยจริงๆ เหรอ?”

“ฉันจะซักผ้าให้นาย…แบบไม่เก็บเงินเลย!”

“ทั้งตอนนายไปสอบ ฉันจะเตรียมกระเป๋า เสื้อผ้า…”

“ถ้านายสอบไม่ติด ฉันก็สามารถปลอบใจนาย…”

“…”

“ตั้งใจเรียนหนังสือไปเถอะ อยากออกไปเที่ยว ไว้วันหลังละกัน ครั้งนี้จะยุ่งวุ่นวายไม่ได้!”

ฟางผิงแทบไม่ต้องคิดเรื่องนี้ ปฏิเสธออกไปตรงๆ

บอกว่าฟางหยวนสร้างปัญหา ความจริงก็ไม่ได้ถึงขนาดนั้น แต่จะเหมือนพาลูกติดไปด้วยมากกว่า ฟางผิงคงไม่ทำแบบนั้นหรอก

ฟางหยวนผิดหวังอยู่บ้าง “นายไปแล้ว ถึงวันหยุด ฉันต้องเหงาอยู่บ้านคนเดียวน่ะสิ…”

ทะเลาะกับฟางผิงเป็นอีกเรื่อง แต่สองพี่น้องตั้งแต่เล็กก็ไม่เคยห่างกันมาก่อน

ตอนนี้ฟางผิงต้องออกไปคนเดียว ฟางหยวนจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะเหงา

ฟางผิงหัวเราะลูบหัวของเธอ “เหงาก็ออกไปเที่ยวเล่นกับเพื่อน มีเรื่องอะไรโทรหาฉันละกัน จำเบอร์ได้รึเปล่า?”

“อืม”

ฟางหยวนรู้เรื่องที่ฟางผิงซื้อมือถือเหมือนกัน

ทั้งเธอยังไม่สงสัยเรื่องที่ฟางผิงขายลายเซ็นแม้แต่น้อย

แค่รู้สึกว่าพี่ชายทำตัวน่าเกลียดเพิ่มขึ้นทุกวัน ขโมยความคิดของเธอไปหาเงินได้ก้อนโต จากนั้นยังไม่คิดแบ่งให้เธออีก

นี่เป็นเหตุผลที่ไม่กี่วันนี้เธอเก็บเงินค่าซักผ้าจากฟางผิง ใครใช้ให้เขาใช้เงินสิ้นเปลืองกัน

สองพี่น้องคุยเล่นกันสักพัก แม้เด็กสาวจะเอาแต่พูดว่าฟางผิงสอบไม่ติด

แต่ท้ายที่สุด ตอนออกไปกลับกัดฟันพูดว่า “ฟางผิง ถ้านายกลับมาหลังจากวันที่สิบ ฉันจะเลี้ยงเคเอฟซีนาย!”

ฟางผิงหลุดขำ เอ่ยหยอกว่า “ได้ยินแบบนี้ แสดงว่าคงจะเก็บเงินได้ไม่น้อยแล้ว?”

“เปล่าซักหน่อย!”

ฟางหยวนรีบปฏิเสธ กลัวว่าฟางผิงจะรู้เรื่องที่เธอเก็บเงิน

หลายวันนี้ เธอวางแผนจะย้ายเงินในกระเป๋าฟางผิงมาเก็บไว้ที่ตัวเอง

เมื่อวานฟางหยวนนับเงินในคลังเล็กๆ ของตัวเอง คาดไม่ถึงว่าจะเก็บได้เกือบสามร้อยหยวนแล้ว!

เรื่องนี้จะให้ฟางผิงรู้ไม่ได้!

ฟางผิงหัวเราะออกมาทันที “เด็กเห็นแก่เงิน! รอพี่เธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ เงินจะหายากแค่ไหนกัน? ปีนี้ถ้าปราณถึงมาตรฐานยังมีทุนให้เป็นล้าน ถึงเวลานั้น พี่จะซื้อบ้านหลังใหม่ให้พวกเรา ซื้อของอร่อยๆ เสื้อผ้าสวยๆ ให้เธอ…”

ขณะที่ฟางผิงบรรยาย ฟางหยวนก็ฟังจนตาลายอยู่บ้าง ถึงขนาดไม่รู้ว่าเดินออกมาจากห้องยังไง

วันรุ่งขึ้น

เวลาเจ็ดโมงห้าสิบ ฟางผิงแบกกระเป๋ามาถึงหน้าโรงเรียน

ตอนนี้หน้าประตูมีรถบัสจอดอยู่แปดเก้าคัน

ด้านล่างรถบัสมีนักเรียนจับกลุ่มพูดคุยกันสี่ห้าคน

นอกจากรถบัสพวกนี้แล้ว ยังมีรถส่วนตัวจอดแถวๆ นั้นเยอะกว่าปกติ

ฟางผิงกำลังมองหาว่านักเรียนห้องสี่อยู่ไหน ก่อนจะได้ยินคนตะโกนเรียก

หันหน้าไปก็เจอถานเฮ่าโบกมือให้เขา

เห็นฟางผิงมองมา ถานเฮ่าจึงตะโกนเสียงดัง “ฟางผิง ทางนี้!”

เจ้าหมอนี่เป็นคนเสียงดัง เลยดึงดูดสายตาผู้คนที่อยู่ใกล้ๆ ไม่น้อย

และตอนที่ถานเฮ่าตะโกนชื่อฟางผิงออกมา ชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่กำลังคุยกับพวกหัวหน้าฝ่ายข้างๆ เขาก็หันมามองฟางผิงเหมือนกัน

รอจนฟางผิงสาวเท้าเข้ามาหาพวกเขา ยิ่งระยะใกล้เท่าไหร่ ชายวัยกลางคนยิ่งตกใจมากขึ้นเท่านั้น

จวบจนทั้งสองฝ่ายห่างกันไม่ถึงสามเมตร แววตาของชายวัยกลางคนยังคงเผยความตกตะลึง

เช่นเดียวกัน เมื่อทั้งสองกันใกล้ ฟางผิงที่มีพลังจิตใจเหนือคนธรรมดา ก็รับรู้ถึงสายตาของชายคนนั้น

ฟางผิงหันไปมอง เมื่อเห็นชายวัยกลางคนมองเขา จึงรีบเผยรอยยิ้ม พยักหน้าแสดงความเคารพ

ตอนนี้ชายวัยกลางตกใจยิ่งกว่าเดิม เด็กคนนี้รู้จักตัวเอง หรือว่ามองออกกัน?

ถานเฮ่าไม่รู้เรื่องที่ทั้งสองคนทักทายกันด้วยความเงียบ เห็นฟางผิงหยุดฝีเท้าไม่เดินต่อ ก็อดหัวเราะไม่ได้ “ฟางผิง หลายวันนี้ท่าจวงกงคืบหน้ารึเปล่า?”

“ยังพอได้…”

ขณะที่ทั้งสองพูดคุยกัน ชายด้านหลังถานเฮ่าได้ปลีกตัวออกมาจากหัวหน้าฝ่าย เดินมาหาด้วยรอยยิ้ม “อาเฮ่า นี่คือนักเรียนฟางผิงที่ลูกพูดถึง?”

ถานเฮ่าเอ่ยว่า “ใช่แล้วพ่อ นี่คือฟางผิง”

“ฟางผิง นี่พ่อฉันเอง…”

ถานเฮ่าแนะนำให้ฟางผิง ที่จริงฟางผิงพอจะเดาถึงฐานะอีกฝ่ายได้แล้ว

ยืนอยู่ข้างถานเฮ่า ได้รอยยิ้มประจบประแจงจากพวกหัวหน้าฝ่าย ปราณยังสูงกว่าคนทั่วไป

แค่ใช้สมองหน่อยก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

แค่ไม่คิดว่า พ่อของถานเฮ่าจะมาด้วยเท่านั้น

ถานเจิ้นผิงมองพินิจฟางผิง รอจนฟางผิงเอ่ยทักทาย เขาจึงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ฟางผิง การตรวจร่างกายครั้งนี้ ฉันเป็นตัวแทนของเมืองหยางเฉิง รับผิดชอบติดต่อประสานงานกับส่วนที่เกี่ยวข้อง นายมีตรงไหนไม่เข้าใจ ถามฉันได้ ถึงรุ่ยหยางแล้ว อาเฮ่าและอาเทาจะรวมกลุ่มกับพวกนักเรียนจากหยางเฉิงเหมือนกัน ถ้าหาฉันไม่เจอ ไปหาพวกพวกอาเฮ่าก็ได้”

เมื่อคำพูดนี้ออกมา ถานเฮ่าพลันตกใจอยู่บ้าง

แต่พอนึกได้ว่าฟางผิงมีหวังจินหยางหนุนหลังอยู่ ถานเฮ่าจึงไม่คิดมากอีก

แต่พวกหัวหน้าฝ่ายในโรงเรียนนั้นตกใจไม่น้อยเหมือนกัน นี่มันเกิดอะไรขึ้น?

หัวหน้าฝ่ายที่เป็นตัวแทนของโรงเรียนพวกนี้แทบจะไม่รู้จักฟางผิงเลย

ถานเจิ้นผิงที่เป็นตัวแทนของเมืองหยางเฉิงครั้งนี้ ฐานะสูงกว่าพวกเขาอยู่บ้าง ทั้งยังเป็นผู้ฝึกยุทธ์เพียงคนเดียวในกลุ่ม

แต่คำพูดเมื่อครู่ของถานเจิ้นผิง กลับทำให้คนพวกนี้คิดไม่ตกอยู่บ้าง

ฟางผิงตกใจเหมือนกัน ไม่ได้ตกใจท่าทีเกรงใจของถานเจิ้นผิง แต่ตกใจเพราะถานเจิ้นผิงเป็นตัวแทนของหยางเฉิงในครั้งนี้

การสอบศิลปะการต่อสู้นั้นสำคัญอย่างยิ่ง ทั้งจะไปสอบที่รุ่ยหยาง แน่นอนว่าต้องมีผู้ติดตามระดับสูงของเมืองหยางเฉิงไปด้วย

ไม่มีฐานะผู้ฝึกยุทธ์ ถ้าไปรุ่ยหยางก็คงจะดำเนินเรื่องต่างๆ ได้ลำบาก

ดังนั้นจึงต้องมีผู้ฝึกยุทธ์จากทางการเป็นตัวแทนทุกปี

ฟางผิงแค่นึกไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะเป็นถานเจิ้นผิง

ก่อนหน้านี้เหมือนจะได้ยินอู๋จื้อหาวพูดว่า พ่อของพวกถานเฮ่าทำงานให้รัฐบาล แต่ฟางผิงไม่ได้ถามอย่างละเอียดว่าตำแหน่งอะไร

ถานเจิ้นผิงเกรงใจเขาขนาดนี้ ฟางผิงจึงละล่ำละลักเอ่ย “ขอบคุณครับลุงถาน”

“ไม่ต้องเกรงใจ พวกนายคุยกันเถอะ รอรถของโรงเรียนอื่นมาแล้ว พวกเราค่อยออกเดินทางพร้อมกัน”

ถานเจิ้นผิงอธิบายอีกครั้ง ตอนนี้กระทั่งถานเฮ่ายังรู้สึกว่าพ่อเขาจะเกรงใจเกินไปแล้ว

ถึงฟางผิงจะมีหวังจินหยางหนุนหลัง แต่ยังไงหวังจินหยางก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ มีความจำเป็นต้องอธิบายเรื่องเล็กๆ ให้ฟางผิงเข้าใจด้วยหรือไง?

แม้จะสงสัยยังไง แต่ถานเฮ่าไม่คิดจะสนใจมากมาย

ถานเทาที่เงียบอยู่ด้านข้างกลับมองพ่อตัวเองไปแวบหนึ่ง ถานเจิ้นผิงไม่พูดอะไร หัวเราะก่อนจะหมุนตัวไปคุยกับพวกหัวหน้าฝ่ายต่อ

แม้จะพูดกับคนอื่น แต่ตอนนี้ถานเจิ้นผิงกลับไม่ให้ความสนใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เขายังคงใช้หางตามองฟางผิง

ก่อนหน้านี้เขาเคยได้ยินลูกชายพูดถึงฟางผิง ทั้งได้ยินข่าวลือมาบ้างที่หวังจินหยางถูกชะตาเด็กคนนี้

แต่ถานเจิ้นผิงก็ไม่ได้ให้ความสำคัญขนาดนั้น ฟางผิงและหวังจินหยางไม่ได้ไร้ญาติขาดมิตรเสียหน่อย

ถึงหวังจินหยางจะถูกชะตาอีกฝ่าย ให้คำแนะนำและสนับสนุนเล็กน้อย นั่นก็เพียงพอแล้ว

ถานเจิ้นผิงเป็นผู้ฝึกยุทธ์ เคยทำเรื่องแบบนี้เหมือนกัน

ตอนที่อารมณ์ดี หากเจอเมล็ดพันธุ์ดีๆ เขาก็ไม่คิดหวงวิชา

แต่หลังจากนั้นเขาจะยังจำได้ไหม นั่นคงพูดยากแล้ว

แต่ชั่วพริบตาที่ฟางผิงเดินมา ถานเจิ้นผิงกลับรับรู้ถึงความผิดปกติบางอย่าง!

เจ้าเด็กคนนี้ค่าปราณสูงจนน่าตกใจอยู่บ้าง!

ถานเจิ้นผิงเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่ง หากค่าปราณต่ำ เขาคงสัมผัสไม่ได้ ไม่อาจนำไปเทียบกับหวังจินหยาง

ตอนที่ค่าปราณของฟางผิงอยู่ที่หนึ่งร้อยยี่สิบแคล หวังจินหยางก็สัมผัสได้แล้ว แต่ถ้าเป็นถานเจิ้นผิง เจอคนที่ปราณไม่สูงพอ เขาคงสัมผัสถึงความแตกต่างไม่ได้เลย

สาเหตุที่ทำให้เขาจับถึงความผิดปกตินั่นแสดงว่าอีกฝ่ายนั้นมีค่าปราณที่สูงมาก!

ถึงกระทั่งถานเจิ้นผิงสามารถรับรู้ถึงปราณที่ไหลเวียนภายในร่างฟางผิง ทะลุผ่านออกมาได้อย่างเลือนราง

นี่หมายความว่าอะไร ถานเจิ้นผิงกระจ่างใจดี!

หากคนที่ยังไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธ์มีอาการนี้ก็หมายความว่า เท้าได้เหยียบในระดับของผู้ฝึกยุทธ์ไปครึ่งก้าวแล้ว!

“ตกลงเด็กคนนี้ค่าปราณเท่าไหร่กันแน่?”

ถานเจิ้นผิงคาดเดาในใจ ท้ายที่สุดจึงลงความเห็นว่า นักเรียนที่ชื่อฟางผิงคนนั้น คงจะมีปราณไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยสี่สิบแคล!

นี่ก็น่ากลัวแล้ว!

หมายความว่า ฟางผิงมีโอกาสเกือบเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ได้ และหากคะแนนวิชาวัฒนธรรมถึงเกณฑ์ ยังมีโอกาสจะสอบติดสองมหาวิทยาลัยดังเช่นกัน

คนแบบนี้ บางทีพบกันครั้งหน้า อันดับผู้ฝึกยุทธ์คงจะล้ำหน้าเขาไปแล้ว

เวลานี้ ถึงถานเจิ้นผิงจะไม่เข้าไปประจบประแจง แต่พูดเกรงใจอีกฝ่าย ก็ถือเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว

——————–