ตอนที่ 51 เกิดเป็นคนต้องถ่อมตัว

ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน

ตอนที่ 51 เกิดเป็นคนต้องถ่อมตัว

หน้าโรงเรียนมัธยมอันดับหนึ่ง

ฟางผิงพูดคุยกับถานเฮ่าและถานเทาไม่กี่ประโยค ก่อนจะกลับไปรวมกลุ่มกับนักเรียนห้องสี่

พอเขาไป ถานเจิ้นผิงก็ผละตัวออกจากพวกหัวหน้าฝ่ายเช่นกัน

ถานเจิ้นผิงมองแผ่นหลังของฟางผิงพักใหญ่ ก่อนจะเอ่ยว่า “สองปีมานี้หยางเฉิงน่าสนใจขึ้นกว่าเมื่อก่อนไม่น้อย”

ถานเฮ่าแปลกใจ “พ่อหมายถึงอะไร?”

ถานเทาครุ่นคิด “พ่อพูดถึงฟางผิง?”

“ไม่ใช่แค่ฟางผิง ยังมีรุ่นพี่หวังคนนั้นของพวกลูกด้วย…”

ถานเจิ้นผิงหัวเราะ ไม่ได้อธิบายอะไรต่อ

ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามที่อายุสิบเก้าปีคนหนึ่ง ถูกผู้คนยกย่องว่าจะเป็นเสาหลักมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หนานเจียงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

กับนักเรียนมัธยมปลายอายุสิบแปดปีที่กำลังจะก้าวเข้าสู่ฐานะผู้ฝึกยุทธ์อย่างเป็นทางการ

หากคนพวกนี้เกิดในเมืองใหญ่ เป็นลูกผู้ลากมากดี คงจะไม่น่าแปลกใจ

แต่สองคนนี้มีพื้นเพครอบครัวธรรมดา เกิดในเมืองเล็กๆ แบบนี้

ความเป็นไปได้นั้นมีน้อยจริงๆ

เมืองหยางเฉิงมีคนอย่างหวังจินหยาง ก็เป็นที่น่าตกใจแก่ผู้ฝึกยุทธ์ในมณฑลหนานเจียงแล้ว

มีฟางผิงเพิ่มมาอีกคน…

แน่นอนว่าตอนนี้ฟางผิงยังห่างจากหวังจินหยางอยู่มาก

แต่ใกล้จะเข้าสู่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งหมายความว่าอะไร อนาคตข้างหน้ายังอีกยาวไกลน่ะสิ

ขั้นหนึ่งถึงขั้นสามต้องอาศัยเวลาและทรัพยากรในการฝึกฝน

แต่ขั้นสามขึ้นไป จะอาศัยแค่เวลาและทรัพยากรไม่ได้แล้ว

หวังจินหยางทำให้ผู้คนต่างตกตะลึง ไม่ใช่แค่เพราะเขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสาม

แน่นอนว่ารายละเอียดหลักๆ ถานเจิ้นผิงก็ไม่ชัดเจนเหมือนกัน รู้แค่ว่าหลังจากหวังจินหยางทะลวงขั้นสาม มีข่าวลือออกมาว่าเขาตีสนิทกับคนใหญ่คนโต

ถานเจิ้นผิงคิดเรื่องพวกนี้ในใจ ก่อนจะสั่นศีรษะทั้งรอยยิ้ม ไม่ว่าอนาคตคนพวกนี้จะเป็นยังไง ก็แทบไม่เกี่ยวกับเขาอยู่ดี

ต่อให้หวังจินหยางจะเก่งกาจแค่ไหน คงไม่มาดูแลพวกเขาที่เป็นคนบ้านเกิดเดียวกันขึ้นมาเป็นพิเศษหรอก

ฟางผิงก็เหมือนกัน!

เขาหันมองลูกชายทั้งสอง นี่ต่างหากความหวังของเขา ความหวังของตระกูลถาน

เขาใช้เงินอย่างประหยัด เห็นได้ชัดว่าสามารถทะลวงขั้นสองได้ กลับไม่ยอมทะลวงมาโดยตลอด นั่นเพราะไม่ใช่ว่าอยากจะเหลือทรัพยากรพวกนั้นให้ลูกชายทั้งสองหรอกเหรอ

ถานเจิ้นผิงจะอายุห้าสิบแล้ว ไฟมอดไปตั้งนานแล้ว แม้จะทะลวงขั้น ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอนาคตได้มากมายหรอก

แต่ลูกชายทั้งสองไม่เหมือนกัน พวกเขายังเด็ก!

นึกมาถึงตรงนี้ ถานเจิ้นผิงจึงโยนฟางผิงทิ้งไป เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อาเฮ่า อาเทา ครั้งนี้พวกลูกตั้งใจสอบกันล่ะ! เข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้แล้ว ก็จะสามารถเป็นผู้ฝึกยุทธ์ในไม่ช้า!”

ทรัพยากรที่โรงเรียนจัดหาให้ รวมกับของเขา ลูกชายสองคน คงจะทะลวงจวงกงไประดับที่สองได้แล้ว

ถึงตอนนี้ปราณจะไม่ได้สูงมาก แต่ถานเจิ้นผิงเชื่อว่า พอลูกชายทั้งสองเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้แล้ว ต้องทะลวงด่านเป็นผู้ฝึกยุทธ์ได้เร็วกว่าโจวปินอย่างแน่นอน!

“ฟางผิง ตะกี้ผู้อำนวยการถานคุยอะไรกับนาย?”

ฟางผิงมาถึงที่นักเรียนห้องสี่ยืนอยู่ อู๋จื้อหาวก็กระซิบถามทันที

“ผู้อำนวยการ?”

ฟางผิงงุนงงอยู่บ้าง “ลุงถานเป็นผู้อำนวยการของที่ไหน?”

“กองการศึกษา แต่เป็นรองผู้อำนวยการเท่านั้น”

“หา?”

ฟางผิงตกใจอยู่บ้าง “เมืองหยางเฉิงมีผู้ฝึกยุทธ์ไม่กี่คน? ทำไมลุงถาน…”

ในความคิดของฟางผิง ยังไงถานเจิ้นผิงก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์

ผู้ฝึกยุทธ์ในหยางเฉิงมีไม่เยอะ ทั้งเมืองคงประมาณยี่สิบสามสิบคน และเกินกว่าครึ่งก็เลือกทำธุรกิจ

ส่วนที่เหลือ ไม่ได้ทำงานกับส่วนรัฐบาลทุกคน

อีกนัยหนึ่งคือ แม้ถานเจิ้นผิงจะฝีมือด้อยแค่ไหน แต่ก็ถือเป็นบุคคลแนวหน้าของเมืองหยางเฉิง

คนแบบนี้กลับเป็นได้แค่รองผู้อำนวยกองการศึกษา?

แน่นอนว่า ทางการคงไม่มองแค่ฐานะผู้ฝึกยุทธ์อย่างเดียว แต่เลือกถานเจิ้นผิงก็เกินไปหน่อยหรือเปล่า

อู๋จื้อหาวตกใจยิ่งกว่าเขาเสียอีก “ทำไม? หรือรองผู้อำนวยการกองการศึกษายังไม่ดีอีก?”

“กองการศึกษาเป็นหนึ่งในสามองค์กรใหญ่ที่มีอำนาจในเมืองหยางเฉิง ถึงกองการศึกษาของหยางเฉิงจะเทียบกับในเมืองใหญ่ไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้น สำนักงานเมืองหยางเฉิง หน่วยสืบสวนและกองการศึกษา สามารถอยู่ในตำแหน่งรองผู้อำนวยการได้ ก็นับว่าเก่งแล้ว!”

“สามองค์กรใหญ่…”

ฟางผิงแทบไม่อยากจะเชื่อ!

คาดไม่ถึงว่ากองการศึกษาจะตำแหน่งสูงขนาดนี้?

อู๋จื้อหาวเห็นเขามึนงง เหมือนซึมซับความรู้ไม่ค่อยได้ ก็ถอนหายใจ “นายควรสนใจสถานการณ์ปัจจุบันหน่อย! ถึงพวกเราจะเป็นแค่เด็กมัธยมปลาย แต่ก็ใกล้จะเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว บางเรื่องรู้มากหน่อยคงไม่เสียหายอะไร”

“หยางเฉิงเป็นเมืองระดับอำเภอ ไม่มีหน่วยทหาร ดังนั้นกองการศึกษาจึงจัดอยู่ในอันดันสาม อย่างรุ่ยหยาง มีหน่วยทหารประจำการ ดังนั้นรุ่ยหยางเลยมีสี่องค์กรใหญ่คือ สำนักงานเมือง หน่วยทหาร หน่วยสืบสวนและกองการศึกษา”

“ใช่แล้ว กองการศึกษาของรุ่ยหยางถูกจัดไว้หลังสุด เป็นเพราะทรัพยากรมีไม่มาก ทั้งความสามารถยังเป็นรอง ถ้าเป็นเมืองเจียงเฉิงก็ไม่เหมือนกันแล้ว เมืองเจียงเฉิงมีหลายมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้รวมอยู่ที่นั่น กองการศึกษามีทรัพยากรมากและแข็งแกร่ง จึงถูกจัดอันดับนำหน้าหน่วยสืบสวน…”

ฟางผิงอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออกอยู่พักใหญ่

เขาไม่เคยให้ความสนใจเรื่องระบบพวกนี้มาโดยตลอด เอาแต่สนใจเรื่องผู้ฝึกยุทธ์

ทั้งขึ้นชื่อว่าเป็นนักเรียนมัธยมปลาย คนที่สนใจด้านนี้จริงจังเลยมีน้อย ในห้องก็ไม่มีใครถกประเด็นเรื่องนี้

ดังนั้นมาถึงตอนนี้ ฟางผิงแทบยังไม่รู้ว่า ระบบการเมืองจะมีความแตกต่างขนาดนี้

ในความคิดของฟางผิง แม้กองการศึกษาจะไม่ใช่หน่วยงานที่แย่อะไร แต่คงไม่นับเป็นองค์กรที่สำคัญ

ตอนนี้กลับกลายเป็นหนึ่งในองค์กรหลัก

นอกจากนี้ครั้งก่อนเขาเหมือนเคยได้ยินหวังจินหยางพูดถึงหน่วยสืบสวนมาครั้งหนึ่ง คงจะเป็นองค์กรที่บังคับใช้กฎหมายกับผู้ฝึกยุทธ์โดยเฉพาะ

ฟางผิงสะบัดหัว ช่างเถอะ มนุษย์อาร์พีจีเคลื่อนที่ยังเคยเห็นมาแล้ว ยังต้องสนใจเรื่องนี้อีกทำไม

แต่จากคำพูดเมื่อครู่ของอู๋จื้อหาว กลับทำให้ฟางผิงรู้ว่า ถานเจิ้นผิงนั้นไม่ได้มีตำแหน่งด้อยเลย

ผู้ช่วยของหนึ่งในสามองค์กรใหญ่ เทียบกับฐานะผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งของอีกฝ่าย ถือว่าใช้ได้เลย

อู๋จื้อหาวอธิบายเรื่องพวกนี้คร่าวๆ แล้ว ค่อยวกถามประเด็นเดิมอีกครั้ง

ฟางผิงตอบไปลวกๆ ก่อนอดถามไม่ได้ “นายมาขึ้นรถของโรงเรียนทำไม ฉันยังคิดว่านายจะไปรุ่ยหยางเองซะอีก”

อู๋จื้อหาวไร้คำจะพูด “ฉันเหมือนคนโง่หรือไง? ไปเอง ค่ารถก็ต้องเสีย ค่าโรงแรม ค่าข้าวอีก? ตอนนี้ฉันแทบอยากจะให้เงินงอกเองได้ แล้วจะสิ้นเปลืองไปเพื่ออะไร!”

คำพูดนี้ทำเอาฟางผิงไปไม่เป็น!

ที่แท้นายก็เป็นคนขี้เหนียวเหมือนกัน

ไม่สิ ทำไมถึงพูดว่า ‘เหมือนกัน’ ล่ะ เขาไม่ได้ขี้เหนียวสักหน่อย!

ระหว่างที่คุยเล่นกัน รถของโรงเรียนอื่นต่างทยอยเข้ามาจอด

ไม่เหมือนกับโรงเรียนพวกเขา มีรถบัสถึงแปดเก้าคัน

บางโรงเรียน ใช้รถบัสแค่คันเดียวกลับยังมีที่นั่งสำหรับนักเรียนศิลปะการต่อสู้เหลือเฟือ

บางโรงเรียนชนบท ก็มุ่งหน้าออกเดินทางไปรุ่ยหยางโดยลำพังก่อนแล้ว

เวลาแปดโมงยี่สิบนาที รถทุกคันมารวมตัวกันพร้อมแล้ว

ทั้งหมดมีรถบัสยี่สิบกว่าคัน นักเรียนเกือบเก้าร้อยคน โรงเรียนมัธยมหยางเฉิงอันดับหนึ่งครองไปแล้วหนึ่งในสาม

เมื่อคนมาครบแล้ว ถานเจิ้นผิงและผู้รับผิดชอบแต่ละโรงเรียนก็พูดคุยกัน ก่อนจะนั่งรถส่วนตัวของตัวเอง มุ่งหน้าไปยังรุ่ยหยาง

ขบวนรถเคลื่อนออกจากโรงเรียนยาวเป็นหางว่าว

หน้าประตูโรงเรียน อาจารย์ที่เหลืออยู่บางส่วน อดถอนหายใจไม่ได้ “ไม่รู้ว่าหลังจากวันที่สาม จะมีนักเรียนเหลืออยู่อีกกี่คน”

มีคนส่ายหัว “ด่านตรวจร่างกายนั้นผ่านยากที่สุด ผ่านสักหนึ่งร้อยคนก็นับว่าใช้ได้แล้ว”

“หนึ่งร้อยคน? ฉันว่าจะน้อยกว่านั้นน่ะสิ!”

“ปีนี้หยางเฉิงมีนักเรียนทั้งหมดเกือบสองหมื่นคน สมัครสอบศิลปะการต่อสู้หนึ่งพันห้าร้อยคน หากเป็นปักกิ่งหรือเซี่ยงไฮ้ สัดส่วนคงจะสูงกว่านี้ แต่จากการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ของพวกเรา ปีนี้เกณฑ์ต่ำสุดของการตรวจร่างกายคงอยู่ที่หนึ่งร้อยสิบแคล เกรงว่าคนที่ผ่านน่าจะมีแค่ห้าเปอร์เซ็นต์ แต่พอผ่านด่านนี้ไปแล้ว การแข่งขันสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้คงสูงอยู่ดี…”

“ยังไงเมืองใหญ่ก็ดีกว่า บางโรงเรียนนั้นสมัครสอบศิลปะการต่อสู้เกือบทั้งห้อง จุๆ พวกเราสู้ไม่ได้หรอก…”

“…”

พวกอาจารย์พากันซุบซิบ บางคนก็เผยสีหน้าอิจฉา

แต่เมืองใหญ่ ไม่ได้อยู่อย่างสะดวกสบาย

ห้องแพงจนน่าตกใจ จะปักหลักที่นั่นยังต้องใช้เงื่อนไขมากมาย

อาจารย์ห้องเรียนพิเศษพวกนี้นับว่าเป็นอภิสิทธิ์ชนเช่นกัน แต่เมื่อไปเมืองใหญ่ อาจจะไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเหมือนอยู่หยางเฉิงอีกแล้ว

บนรถบัส

ฟางผิงและอู๋จื้อหาวนั่งแถวเดียวกัน นักเรียนห้องสี่คนอื่นๆ ก็นั่งล้อมรอบพวกเขา

นอกจากคนพวกนี้ ยังมีนักเรียนจากห้องอื่น ส่วนมากเป็นห้องเรียนธรรมดา

แต่สองพี่น้องตระกูลถาน ตอนนี้กลับขึ้นมาอยู่ในรถบัสคันนี้ด้วย ทั้งนั่งอยู่ทางซ้ายของพวกฟางผิง

ตอนแรกเพราะหลายห้องปนกัน ทุกคนจึงเลือกคุยกับเพื่อนตัวเอง

แต่ผ่านไปไม่นาน จางเฮ่าที่ดูกระตือรือร้นกว่าปกติก็ลากทุกคนเข้ามาอยู่ในบทสนทนาเดียวกัน

จางเฮ่าที่นั่งอยู่แถวหน้า พูดอย่างตื่นเต้น “รถบัสคันนี้ของพวกเรานั้นเจ๋งสุดๆ! ถานเฮ่า ถานเทา อู๋จื้อหาว โจวหมิง ฟางผิง ปราณของทั้งห้าคนนั้นสูงเกินหนึ่งร้อยสิบห้าแคล! หยางเจี้ยน หลิวรั่วฉี และพวกหลันเพ่ยค่าปราณมากกว่าหนึ่งร้อยสิบสองแคล ถ้าเป็นปีก่อน รถคันนี้ของพวกเราคงสอบเข้ามหาวิทยาลัยการต่อสู้ได้เป็นสิบคนแล้ว!”

ทุกคนเคยได้ยินชื่อคนอื่นๆ ผ่านหูกันมาบ้าง พวกถานเฮ่าคงไม่ต้องพูดถึง โจวหมิงนั้นเป็นหัวกะทิของห้องสาม

แต่ฟางผิงนี่ใครกัน?

ก่อนหน้านี้ที่ถานเฮ่าเรียก ทุกคนก็ได้ยินเหมือนกัน แต่มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้จักฟางผิงมาก่อน

ดังนั้นพอจางเฮ่าพูดออกมา คนที่นั่งด้านข้างจึงเอ่ยอย่างไม่มั่นใจว่า “จางเฮ่า ฟางผิง นี่…อยู่ห้องนายเหรอ?”

ขณะที่พูด คนผู้นี้ยังหันมามองหา แต่ตอนนี้ฟางผิงเอนตัวพิงที่นั่ง เขาเลยมองไม่เห็น

จางเฮ่านั้นเข้าใจความหมายของเขา

ปกติอยู่ในห้อง ทุกคนต่างสนใจแต่เรื่องของตัวเอง ไม่อยากมีส่วนร่วมกับเกียรติยศของคนอื่นอยู่แล้ว

แต่ตอนนี้มีคนห้องอื่นอยู่ จางเฮ่าจึงตะโกนเสียงดัง “ทำไม นายคิดว่าห้องเรามีแค่อู๋จื้อหาวเก่งคนเดียวหรือไง? ตอนที่ฟางผิงไปรับรุ่นพี่หวัง รุ่นพี่หวังยังพูดว่า การสอบของฟางผิงคงไม่มีปัญหา! ไม่เชื่อนายก็ถามจื้อหาวได้เลย จื้อหาว ปราณของฟางผิงทะลุหนึ่งร้อยสิบห้าแคลไปแล้วใช่หรือเปล่า?”

อู๋จื้อหาวมองฟางผิงพร้อมกับหัวเราะ ฟางผิงคร้านจะต่อบทสนทนา เลยกลอกตาเปลี่ยนไปชมวิวแทน

เห็นเขาไม่สนใจ อู๋จื้อหาวค่อยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่น่าจะแค่หนึ่งร้อยสิบห้าแคล ฟางผิงนั้นเก่งกว่าฉันซะอีก”

พออู๋จื้อหาวพูดแบบนี้ คนอื่นๆ บนรถก็อดมองมาทางฟางผิงไม่ได้

ถานเฮ่าที่อยู่ด้านข้างตะโกนเสียงดัง “ฟางผิงมีโอกาสสอบมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ได้ถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ ปีนี้อันดับหนึ่งของหยางเฉิงอาจจะไม่ใช่โจวปินก็ได้!”

เมื่อคำพูดนี้ออกมา กระทั่งโจวหมิง นักเรียนที่มีค่าปราณสูงคนนั้น ยังอดมองมาไม่ได้เช่นกัน

คู่แข่งชิงคะแนนสอบอันดับหนึ่งของเมืองหยางเฉิง?

จางเฮ่านั้นชอบพูดเหลวไหล พวกเขาไม่เชื่ออยู่แล้ว พอเป็นอู๋จื้อหาว พวกเขาเชื่อสามส่วน แต่พอคำพูดออกจากปากถานเฮ่า ทุกคนจึงเชื่อเกือบแปดส่วน

ช่วงเวลานั้นรถบัสที่ครึกครื้นเมื่อครู่ กลับเงียบสงบลงในชั่วพริบตา

ฟางผิงจนใจอยู่บ้าง ชำเลืองตามองพวกถานเฮ่า เจ้าพวกนี้กำลังจะสร้างศัตรูให้เขาหรือไง?

แต่จะว่าไปแล้ว ก็รู้สึกดีขึ้นมาซะงั้น!

ก่อนหน้านี้เห็นได้ชัดว่าหมอนั่นดูถูกเขา ถึงกับถามว่า ปราณเขาถึงหนึ่งร้อยสิบห้าจริงๆ หรือเปล่า?

ดูถูกฉันอย่างนั้นเหรอ?

เขาต้องรักษาภาพลักษณ์ของตัวเอง ไม่อาจโต้เถียงได้

แต่เจ้าพวกนี้ช่วยพูดแทนตัวเอง เหมือนตบหน้าพวกนั้นไปเต็มๆ รู้สึกดีชะมัด!

ฟางผิงคิดลำพองใจ ใบหน้ากลับเรียบนิ่ง ทั้งยังกลอกตาใส่พวกอู๋จื้อหาว!

ทำอะไรกัน?

ฉันเป็นคนชอบอวดตัวที่ไหน?

จริงๆ เลย ถ่อมตัวน่ะรู้จักรึเปล่า!

———————