ตอนที่ 52 รสชาติของความโหดร้าย
หลังจากนั้นสามชั่วโมง
เมืองรุ่ยหยาง เขตอันผิง
โรงแรมซวี่รื่อ
โรงแรมแห่งนี้ เป็นโรงแรมที่จองไว้สำหรับนักเรียนสายศิลปะการต่อสู้ของหยางเฉิงโดยเฉพาะ
ห้อง 1608
ฟางผิงวางกระเป๋าลง กวาดสายตามองเตียงสองหลังที่อยู่กลางห้อง ก่อนจะเริ่มครุ่นคิดถึงปัญหาที่ร้ายแรงข้อหนึ่ง!
โรงเรียนขี้เหนียวชะมัด จองห้องให้อยู่สี่คนต่อหนึ่งห้อง
แต่ตอนนี้มีแค่สองเตียง แล้วจะนอนหลับสี่คนยังไง?
ผู้ชายตัวใหญ่สี่คนนอนด้วยกัน กลางดึกอาจจะเผลอแตะโดนอะไรกันก็ได้ ใครจะไปรู้…
ลากสายตามองสามคนที่อยู่ในห้อง อู๋จื้อหาว จางเฮ่า หยางเจี้ยน…
หยางเจี้ยนร่างกายสูงใหญ่ แน่นอนว่าอันตรายที่สุด
ส่วนสองคนที่เหลือนั้น…
ฟางผิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “ขอเตือนก่อนว่า ฉันเท้าเหม็น ชอบนอนกรน ถีบผ้าห่มตอนกลางคืน ทั้งยังกลิ้งไปกลิ้งมา…”
“บังเอิญจริงๆ ฉันก็ด้วย!” อู๋จื้อหาวยิ้มอย่างเริงร่า
จางเฮ่าเบนสายตามองทั้งสองคนอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ “เจ้าพวกปัญญาอ่อน! ได้ พวกนายนอนพื้นกันไปเลย ฉันจะนอนคนละเตียงกับหยางเจี้ยน”
พวกเขาสบสายตากัน อดหัวเราะออกมาไม่ได้
จางเฮ่าหัวเราะพักหนึ่ง ก่อนจะบ่นออกมา “โรงเรียนขี้เหนียวจริงๆ จองห้องเพิ่มหน่อยไม่ได้หรือไง”
อู๋จื้อหาวพูดแทงใจดำออกมา “ไม่ใช่ขี้เหนียว แต่คำนวณมาแล้ว วันที่สามจะมีคนถูกคัดออกจำนวนมาก รอคนไปแล้วก็จะเหลือแค่คนละห้อง ฉันถามมาแล้ว”
“ให้ตายเถอะ!”
จางเฮ่าสบถ พูดตรงเกินไปแล้ว
ฟางผิงก็ไม่แปลกใจ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้นอนเบียดกันไปก่อนเถอะ ยังไงตอนกลางคืนพวกนายก็อย่ามาถีบฉันมั่วซั่วละกัน ครั้งนี้เตือนจริงๆ ช่วงนี้ฉันทะลวงด่านจวงกง พลังสังหารเต็มเปี่ยม เกิดอะไรขึ้นก็รับผล…”
“ไสหัวไปเลย!”
พวกเขาด่าออกมา ใครจะคิดบัดสีบัดเถลิงกับนายกัน
ส่วนพลังสังหารที่เขาพูดนั้น มีเพียงอู๋จื้อหาวที่ทำท่าเหมือนครุ่นคิด คนอื่นๆ แทบไม่คิดจริงจังอะไร
หยางเจี้ยนยิ้มอย่างไร้เดียงสา “ไม่งั้นพวกเราลองถามเปลี่ยนห้องกับพวกหลิวรั่วฉีกันไหม?”
พวกฟางผิงหันขวับมองเขาอย่างพร้อมเพรียง!
อะไรเนี่ย!
คิดว่านายจะเป็นคนซื่อๆ ซะอีก ที่แท้เจ้าหมอนี่นิสัยไม่ตรงปกชัดๆ!
หยางเจี้ยนรีบอธิบาย “ฉันหมายถึงว่า ห้องพวกผู้หญิงอาจจะใหญ่กว่าพวกเรา เปลี่ยนกันทั้งห้อง…”
“ฮ่าๆ!”
“ยิ่งอธิบายยิ่งฟังไม่ขึ้น”
“ใครจะเชื่อนายกัน!”
“…”
ทั้งสามคนผลัดกันแหย่หยางเจี้ยน ก่อนจะมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
หยางเจี้ยนรีบไปเปิดประตู พบว่าเป็นสองพี่น้องตระกูลถาน
ถานเฮ่าเข้ามาก็เอ่ยว่า “ข่าวใหญ่!”
“เมื่อกี้พ่อฉันคุยกับตัวแทนเขตอื่น พวกนายลองเดาว่า ฉันได้ยินอะไรมา?”
“ปีนี้มาตรฐานการตรวจร่างกายอาจอยู่ที่หนึ่งร้อยสิบสองแคล!”
ถานเฮ่าเพิ่งพูดจบ จางเฮ่าก็เอ่ยต่อทันที “ไม่จริงน่า?”
แม้ทุกคนจะเดาได้นานแล้ว แต่ก่อนหน้านี้จางเฮ่าคิดว่า หนึ่งร้อยสิบแคลน่าจะเพียงพอแล้ว
ถึงปราณของเขาจะไม่ถึงหนึ่งร้อยสิบแคล แต่วันพรุ่งนี้กินยาบำรุงสักหน่อย คงยังพอมีหวัง
ยังไงก็ต้องผ่านด่านตรวจร่างกายให้ได้ก่อน ถึงจะนับว่าการสอบศิลปะการต่อสู้ไม่ได้เสียเปล่า
“เรื่องจริง!”
ถานเฮ่าอธิบาย “ปีนี้ปราณของทุกคนสูงขึ้นมาไม่น้อย เมืองหยางเฉิงของเรา แค่ผลคำนวณของกองการศึกษา คนที่มีปราณสูงหนึ่งร้อยสิบขึ้นไปก็มีเป็นร้อยคนแล้ว ไหนจะกินยาบำรุงอีก ทั้งยังมีพวกม้ามืดอย่างฟางผิง…”
ฟางผิงไร้คำจะพูด “อย่าลากฉันไปเกี่ยว!”
ถานเฮ่าหัวเราะ “ได้ ไม่พูดถึงนาย ยังไงก็ไม่ได้รวมคนที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดดเข้าไปด้วย ทางหยางเฉิง กลัวว่าอาจจะมีประมาณสองร้อยคนที่ค่าปราณหนึ่งร้อยสิบแคลขึ้นไป ส่วนที่อื่นก็ไม่ต่างกันมาก ได้ยินว่าปีนี้ทางรุ่ยหยางทำได้ดีเหมือนกัน เทียบกับสัดส่วนปีก่อนๆ ถ้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ทั้งหมดไม่รับสมัครนักเรียนเพิ่ม ฉันว่าคงต้องใช้เกณฑ์ผ่านด่านตรวจร่างกายหนึ่งร้อยสิบสองแคลแล้ว”
คำพูดของถานเฮ่า ไม่ส่งผลกระทบต่อใครเท่าไหร่
ในกลุ่มนี้ มีเพียงจางเฮ่าคนเดียวที่ไม่อาจแตะเกณฑ์มาตรฐานได้ เวลานี้จึงผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด
ถึงปากจะบอกว่า มาเป็นแค่ตัวประกอบสำหรับการสอบ จะถูกคัดออกก็ไม่เป็นไร
แต่พอมาถึงจุดนี้จริงๆ นึกถึงความพยายามหลายปีที่ผ่านมา แค่ด่านตรวจร่างกายยังผ่านไม่ได้
แม้ภายนอกจางเฮ่าจะดูไม่สนใจ แต่ยังคงอดเศร้าในใจไม่ได้
“หนึ่งร้อยสิบสองแคล…”
รอยยิ้มของจางเฮ่าดูน่าเกลียดกว่าการร้องไห้เสียอีก “การสอบนั้นหมดหวังแล้ว คิดจะอยู่ให้นานกว่านี้ยิ่งเป็นไปไม่ได้…”
“จางเฮ่า…”
“ฉันไม่เป็นไร”
จางเฮ่าฝืนยิ้ม “ฉันเตรียมใจมาแล้ว แต่ตอนแรกฉันคิดว่าจะถูกคัดออกตอนสอบวิชาวัฒนธรรมเสร็จซะอีก แต่แบบนี้ก็ดี หลังจากนี้จะได้ตั้งใจสอบวิชาวัฒนธรรมไปเลย ค่อยเข้าเรียนพวกคลาสฝึกศิลปะการต่อสู้ก็ได้!”
ถานเฮ่าเห็นว่า คำพูดของเขาทำให้บรรยากาศตึงเครียด จึงยิ้มเจื่อน “ฉันได้ยินมาจากพวกเขาเหมือนกัน ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ใช่สิ ทำไมห้องพวกนายเล็กจัง?”
“หือ?”
“ฟางผิง นายนอนกับอู๋จื้อหาวสองคนเหรอ?”
“หา?”
“ฉันนอนกับอาเทา แต่ห้องใหญ่กว่าพวกนาย…”
ถานเฮ่าเตรียมจะเปลี่ยนไปประเด็นอื่น ไม่ได้สังเกตเลยว่า พวกฟางผิงนั้นถลึงตามองเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
ถานเทามุมปากกระตุก รีบดึงเสื้อพี่ชาย
ตอนนี้เขารับรู้ถึงบรรยายมาคุแปลกๆ เจ้าพวกตรงข้ามเขา เหมือนจะคิดจับพวกเขากลืนซะงั้น
ถานเฮ่ายังคงมึนงง รอจนถานเทาดึงเสื้อเขา ถานเฮ่าค่อยเอ่ยเสียงแผ่ว “มีอะไรกันเหรอ?”
ฟางผิงมองค้อนเขาอย่างไม่สบอารมณ์ “เอาเถอะ ไม่มีอะไรแล้วก็รีบกลับไปซะ หากอยู่ต่อ พวกฉันไม่รับประกันความปลอดภัย!”
“พวกนายเป็นอะไรกันเนี่ย? คงไม่คิดจะรุมกระทืบพวกเราสองคนหรอกนะ?”
ตอนที่ถานเฮ่าพูด ถานเทานั้นหงุดหงิดในใจอยู่บ้าง พวกเขาคิดจะกระทืบนาย จะลากฉันไปเกี่ยวทำไม!
ถานเฮ่าก็ไม่ใช่คนโง่ขนาดนั้น เมื่อกี้ไม่ทันได้คิดอะไรมาก ตอนนี้เข้าใจแล้ว จึงรีบเปลี่ยนบรรยากาศ “ฉันจะเลี้ยงข้าวกลางวันพวกนาย! บุฟเฟ่ต์ฟรีของโรงแรมรสชาติใช้ไม่ได้ ฉันจะเลี้ยงเอง ไปกินข้างนอกกัน!”
นี่เป็นความตั้งใจตอนแรกของเขา แต่พูดมากไปหน่อย เพิ่งเข้าประตูมาก็จัดการพวกเขาทั้งสี่อย่างโหดเหี้ยมซะแล้ว
ฟางผิงมองอู๋จื้อหาว อู๋จื้อหาวมองจางเฮ่า ตอนกำลังคิดจะปฏิเสธ จางเฮ่ากลับพูดว่า “กิน ไม่กินคงน่าเสียดาย เจ้าสองคนนี้ เพิ่งเข้ามาก็โจมตีพวกเราโครมๆ ต้องกินจนพวกเขาเข็ดหลาบ!”
จางเฮ่ากลับมาเป็นปกติแล้ว บรรยากาศจึงไม่อึดอัดอีก ทุกคนต่างหัวเราะ ลากพี่น้องตระกูลถานออกไปข้างนอกด้วยกัน
ส่วนเรื่องห้องของสองพี่น้อง ฟางผิงนั้นไม่ได้คิดจริงจังอะไร
—
กินข้าวข้างนอกเสร็จแล้ว ตอนที่จ่ายเงิน ถานเฮ่านั้นมีท่าทีเหมือนกับปวดเนื้อปวดตัวอยู่บ้าง ยิ่งพาให้ทุกคนรู้สึกดีขึ้นมา
รอจนสองพี่น้องตระกูลถานออกไปแล้ว จางเฮ่าค่อยเอ่ยว่า “อันที่จริงพวกเขาก็นิสัยดีไม่หยอก พวกเขาไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้เพื่อให้ฉันรู้สึกดีด้วยซ้ำ”
สองพี่น้องนั้นบอกจะเลี้ยง แต่ก็แกล้งทำตัวน่าสงสาร ทั้งรวมกับเรื่องห้อง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาอยากผ่อนคลายบรรยากาศตึงเครียด
ก่อนหน้านี้คงจะนึกไม่ถึงว่า เรื่องปราณหนึ่งร้อยสิบสองแคลนั้นจะกระทบใครได้
แต่ไม่แปลกใจที่พวกเขาจะลืมคิด พวกเขาสองพี่น้องคิดว่า ฟางผิง อู๋จื้อหาว หยางเจี้ยนต่างก็ค่าปราณเกินหนึ่งร้อยสิบสองกันทั้งนั้น
ทุกคนอยู่ระดับเดียวกัน เข้าประตูมาพูดเรื่องนี้ เพื่อจะเปิดประเด็นเท่านั้น
ปรากฏว่ากลับกระทบความรู้สึกของจางเฮ่า ทั้งเห็นว่าพวกฟางผิงสนิทกับจางเฮ่าไม่น้อย จึงเกิดเรื่องภายหลังตามมา
จางเฮ่าเอ่ยดูแคลนตัวเองขึ้นมา “ที่จริงฉันรู้มานานแล้ว สังคมไม่ยุติธรรมแบบนี้แหละ! ไม่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ ก็ต้องเตรียมเป็นเบี้ยล่าง พวกนายวางใจเถอะ เรื่องเล็กแค่นี้ทำอะไรฉันไม่ได้หรอก รอเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ฉันจะหาวิธีเก็บเงิน รวมทั้งการสนับสนุนที่บ้าน รอสักสองปีคงจะเข้าคลาสฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ได้แล้ว บางทีอาจจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์เร็วกว่าพวกนายด้วยซ้ำ!”
อู๋จื้อหาวยิ้มขึ้นมาทันที “อาจจะเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็ได้ เคยได้ยินคนพูดเหมือนกันว่า นักศึกษาของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้บางคนจบปีสี่แล้วยังกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ไม่ได้ หากนายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ได้ตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย นั่นก็เก่งกว่าพวกนักศึกษาสายศิลปะการต่อสู้แล้ว!”
หยางเจี้ยนที่อยู่ด้านข้างยิ้มซื่อๆ “ไม่ว่าฉันจะสอบเข้าเรียนอะไร ในอนาคตก็จะไม่ละทิ้งเส้นทางผู้ฝึกยุทธ์โดยเด็ดขาด ถึงจะช้ากว่าคนอื่นหน่อยก็ไม่เป็นไร”
“…”
พวกเขาพูดคุยกัน ส่วนฟางผิงไม่ได้แทรกสักประโยค
ท่าทีของจางเฮ่าก็ทำให้ฟางผิงตระหนักได้อย่างชัดเจนแล้วว่า การสอบศิลปะการต่อสู้นั้นเป็นการพลิกชะตาชีวิตอย่างแท้จริง
การลิ้มรสความจริงอันแสนโหดร้ายเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้
วันนี้ยังดี แต่เมื่อผลประกาศวันที่สามออกมาอย่างเป็นทางการ ไม่รู้ว่ายังจะมีนักเรียนมากเท่าไหร่ที่ถูกทำลายความมุ่งมั่นและตั้งใจ
หลายคนเตรียมตัวเพื่อการสอบครั้งนี้มาหลายปี!
บางครอบครัวต้องอัตคัดขัดสนเพราะสนับสนุนพวกลูกๆ ของพวกเขา
บางครอบครัวต้องทำงานลำบากยากเข็น หวังให้พวกลูกๆ สามารถพลิกชะตาชีวิต ลืมตาอ้าปากได้
แต่อีกไม่กี่วันข้างหน้า ไม่รู้ว่าจะมีอีกกี่ครอบครัวที่ต้องฝันสลาย
ฟางผิงถึงขั้นจินตนาการว่า ทุกปีหลังจากการสอบสิ้นสุดลง คงจะมีคนจำนวนไม่น้อยผิดหวังจนคิดสั้นขึ้นมา
“ศิลปะการต่อสู้…”
ฟางผิงพึมพำในใจ รัฐบาลนั้นให้สิทธิพิเศษกับผู้ฝึกยุทธ์มากทีเดียว!
แม้จะรู้ว่าคนพวกนี้แทบจะไม่ใช่นุษย์ก็ตาม แต่ยังคงอดทำให้คนคิดไม่ได้ว่าทำไม?
ยุติธรรมเหรอ?
อันที่จริงไม่ยุติธรรมเท่าไหร่ ถึงผู้ฝึกยุทธ์หนึ่งคนจะเทียบได้กับคนหนึ่งร้อยคน
แต่ยังไงผู้ฝึกยุทธ์ก็เป็นคนกลุ่มน้อย ในสังคมมีคนธรรมดาอยู่มากกว่า
นี่เป็นการเลือกปฏิบัติที่เห็นได้ชัดเจน ความเหลื่อมล้ำในสังคมมีมากเกินไป
ในสมองอดนึกถึงคำพูดตั้งแต่ต้นของหวังจินหยางไม่ได้
คำพูดที่หวังจินหยางเอ่ยออกมาอย่างไม่ตั้งใจ ทำให้ฟางผิงจมดิ่งในความคิดอีกครั้ง
คำพูดนี้ มีความนัยลึกซึ้งอย่างยิ่ง
น่าเสียดายที่ความรู้ของเขาไม่กว้างพอ ช่วงเวลาสั้นๆ ฟางผิงไม่อาจคิดเชื่อมโยงอะไรได้
—
เขาไม่คิดเรื่องพวกนี้อีก รอเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้แล้ว บางทีอะไรอาจจะชัดเจนขึ้น
ฟางผิงไม่เคยคิดมาก่อนว่า เขาฉลาดกว่าคนทั้งโลก
ในเมื่อผู้ฝึกยุทธ์มีตำแหน่งในสังคม คงจะมีเหตุผลของมันอยู่แล้ว
ผู้มีอำนาจล้วนไม่ใช่คนโง่ ความคิดของพวกเขาต้องกว้างไกลกว่าฟางผิงอยู่แล้ว
ยังไงก็ไม่ใช่เรื่องของเขา เรื่องที่สำคัญตอนนี้คือการตรวจร่างกายในวันพรุ่งนี้
ตอนบ่าย ฟางผิงไม่ได้ออกไปไหนอีก
คนอื่นๆ ก็อยู่อย่างสงบเสงี่ยม ไม่ออกกำลังกาย บำรุงรักษาร่างกาย รอการสอบศิลปะการต่อสู้ที่จะมาถึงพรุ่งนี้
โรงแรมที่กว้างขวางแห่งนี้มีนักเรียนนับพันคน แต่ทุกคนกลับอยู่ในสภาพเดียวกันหมด ภายในโรงแรมจึงเงียบเชียบอย่างยิ่ง
——————–