ตอนที่ 53 ผู้ฝึกยุทธ์ต้องแย่งชิง

ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน

ตอนที่ 53 ผู้ฝึกยุทธ์ต้องแย่งชิง!

ตอนกลางคืน

เพราะนอนด้วยกันสี่คน ฟางผิงจึงไม่ฝึก (เคล็ดหลอมกระดูก) แค่เข้าสู่สภาวะจวงกงอยู่พักหนึ่งเท่านั้น

เมื่อถึงตอนนอน พวกเขาก็ดึงเตียงทั้งสองมาชิดกัน เพื่อให้มีพื้นที่นอนมากขึ้น

มีแค่ฟางผิงเท่านั้นที่เคยมีประสบการณ์แบบนี้ คนอื่นยังเป็นนักเรียนมัธยมปลาย ไม่เคยอยู่ในหอพักมหาวิทยาลัยมาก่อน

คืนนี้ ฟางผิงไม่คิดจะพูดอะไร มีแต่คนอื่นๆ ที่คุยเล่นกันอยู่นาน

วันที่ 1 พฤษภาคม

พวกเขาตื่นกันแต่เช้า บรรยากาศดูตื่นเต้นเป็นพิเศษ

นอกห้องพัก พวกนักเรียนเดินสวนกันขวักไขว่ ก่อนอาจารย์จะเริ่มทยอยเคาะห้อง

“ตื่นกันได้แล้ว ลงไปรวมตัวข้างล่าง!”

“เตรียมบัตรประชาชน บัตรประจำตัวสอบให้พร้อม”

“ใครจะใช้ยาบำรุง ก็กินเดี๋ยวนี้เลย!”

“…”

สิ้นเสียงตะโกนที่ดังติดต่อกัน พวกนักเรียนต่างพากันทยอยลงไปข้างล่าง

พวกฟางผิงตื่นตั้งแต่เช้าเหมือนกัน ไม่รอให้อาจารย์เคาะประตู พวกเขาก็ออกจากห้องมาแล้ว

เพิ่งจะออกมา กลับได้ยินเสียงคนร้องไห้อยู่แว่วๆ “ฉันดันมาป่วยซะได้ ค่าปราณต้องลดลงมากแน่ๆ…”

“พ่อครับ แม่ครับ ยกโทษให้ผมด้วย…”

เสียงร้องกระซิกดังมาจากไกลๆ ก่อนจะมีอาจารย์ปรี่เข้าไปปลอบโยน

การป่วยก่อนตรวจร่างกาย สำหรับนักเรียนสายศิลปะการต่อสู้แล้ว เป็นเรื่องที่โชคร้ายอย่างยิ่ง

พอป่วย พลังปราณจะลดลง ตอนแรกก็คาบเกณฑ์อย่างหมิ่นเหม่อยู่แล้ว

ตอนนี้ป่วยขึ้นมา แทบจะตัดความหวังของผู้เข้าสอบไปจนหมดสิ้น

นี่เจ็บปวดยิ่งกว่าการพลาดสอบเกาเข่าซะอีก ค่าใช้จ่ายสำหรับนักเรียนสายศิลปะการต่อสู้นั้นแพงกว่ามาก!

ต้องเสียเวลาไปอีกหนึ่งปี บางครอบครัวยังยากจนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ไม่อาจหาเงินให้เรียนซ้ำชั้น ทำได้เพียงต้องยอมแพ้ไป

พวกเขาได้ฟังต่างเกิดความรู้สึกเห็นใจ อู๋จื้อหาวถอนหายใจเบาๆ “มาป่วยในเวลานี้…มันก็…”

เขาไม่รู้จะพูดยังไง นอกจากเห็นใจ ก็ไม่มีวิธีอื่นให้ช่วยแล้ว

คำสั่งเรียกรวมตัวยังประกาศออกมาไม่ขาดสาย พวกเขาหันไปมอง เสียงร้องไห้นั้นยังคงดำเนินต่อไป

ตอนนี้พวกเขาไม่มีเวลาเข้าไปดูสถานการณ์แล้ว ทำได้เพียงตามคนอื่นๆ ลงไปข้างล่าง

ด้านล่าง

พวกนักเรียนลงมาข้างล่าง อาจารย์แต่ละโรงเรียนก็เริ่มถือโทรโข่งเรียกเข้าแถว

“โรงเรียนมัธยมอันดับหนึ่งมาเข้าแถวตรงนี้!”

“โรงเรียนมัธยมอันดับสองทางนี้!”

“โรงเรียนมัธยมอันดับห้ารวมตัวกันตรงนี้!”

“…”

พวกฟางผิงเดินไปจุดรวมพลของโรงเรียนมัธยมอันดับหนึ่ง สักพักอาจารย์คุมแถวก็เริ่มขานชื่อ

ก่อนจะพบว่า มีคนขาดไปหนึ่งคน

อาจารย์ไม่ได้พูดอะไร ในกลุ่มกลับมีคนเอ่ยขึ้นมาอย่างสงสาร “เซี่ยวเลี่ยงห้องแปดไม่มา ได้ยินว่ามีไข้สูงมาก…”

“คนที่ร้องไห้เมื่อกี้คือเซี่ยวเลี่ยง? น่าเสียดายจริงๆ ปราณของเขาอยู่ที่หนึ่งร้อยสิบแคลพอดี อาจจะมีโอกาสสอบติดก็ได้”

“แน่ละสิ ตอนนี้ยังดี แต่ปีนี้คงหมดหวังแล้ว”

“ต่อจากนี้ก็หมดหวังเหมือนกัน เกณฑ์การรับนั้นเพิ่มสูงขึ้นทุกปี ฐานะทางบ้านเซี่ยวเลี่ยงไม่ได้ดีมาก…”

พวกนักเรียนพากันกระซิบกระซาบ ก่อนอาจารย์คุมแถวจะตะโกนเสียงดัง “เงียบ!”

“นักเรียนทุกคน การสอบศิลปะการต่อสู้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว!”

“การเข้าสู่วิทยาลัยศิลปะการต่อสู้นั้นเป็นเส้นทางแรกของพวกเรา แต่ทุกคนอย่าลืมว่า นี่ไม่ใช่เส้นทางสุดท้ายเช่นกัน”

“อีกเดี๋ยวขอให้พวกเราเต็มที่กับการตรวจร่างกาย ผ่านด่าน นับว่าคุ้มค่าแล้ว! ใครไม่ผ่าน ก็อย่าเพิ่งยอมแพ้ พวกเรายังอายุน้อย ยังมีความหวัง มีอนาคตรอข้างหน้าอยู่! เข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ไม่ได้ พวกเรายังไปเรียนคลาสฝึกต่อสู้ได้ หากยังไม่ได้อีก จะเข้ากองทัพเป็นทหารอะไรก็แล้วแต่…ยังไงพวกเรายังคงเหลือทางเดินอีกมาก! หนทางการเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ไม่ได้มีแค่มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ เรียนจบแล้ว พวกเราก็สามารถเข้าสู่องค์กรใหญ่ได้ ขยันทำงาน ประสบความสำเร็จในตำแหน่งหน้าที่ องค์กรสามารถหล่อหลอมให้เราเป็นผู้ฝึกยุทธ์ได้เช่นกัน! อนาคตยังอีกยาวไกล…”

อาจารย์เริ่มร่ายคำคมสร้างแรงบันดาลใจให้นักเรียน สำหรับผู้ใหญ่อาจจะไม่ได้ผล แต่กับนักเรียนที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาพวกนี้ แน่นอนว่ายังคงมีผลไม่น้อย

ถัดจากนั้นไม่กี่นาที อาจารย์คุมแถวค่อยเงียบเสียงลง

ด้านนอกโรงแรม ไม่รู้ว่าถานเจิ้นผิงมาปรากฏด้านหลังทุกคนตั้งแต่ตอนไหน

“นักเรียนทุกคน สถานที่ตรวจร่างกายครั้งนี้คือจุดตรวจร่างกายที่หนึ่งของรุ่ยหยาง อยู่ห่างจากที่นี่ประมาณสามร้อยเมตร ตอนนี้ของให้ทุกคนเรียงแถวเดินตามฉันมา!”

ถานเจิ้นผิงไม่ต้องใช้โทรโข่ง ทั้งไม่จำเป็นต้องพยายามตะโกน นักเรียนนับพันคนก็ยังคงได้ยินเสียงเขาชัดทุกคน

นี่คือความสามารถของผู้ฝึกยุทธ์!

ปราณที่แข็งแกร่ง พลุกพล่านออกจากร่างของถานเจิ้นผิง แม้คนอื่นจะไม่ได้สัมผัสไวเหมือนฟางผิง แต่ตอนนี้กลับสามารถรับรู้ถึงความแข็งแกร่งจากเขาได้เช่นกัน

ทุกคนกำลังจะเดินไปยังจุดตรวจร่างกายที่หนึ่ง

จู่ๆ สองพี่น้องตระกูลถานก็ปรากฏตัวเบื้องหน้าฟางผิง ดึงเขาออกมาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

ฟางผิงไร้คำจะพูด เอ่ยอย่างหงุดหงิด “พวกนายทำอะไรเนี่ย?”

“มีเรื่องนิดหน่อย!”

ขณะที่ถานเฮ่าพูด ก็ดึงฟางผิงมาเดินหน้าแถวแล้ว

ตอนนี้ ถานเจิ้นผิงที่ยืนอยู่ด้านหน้า เปลี่ยนมาหยุดรออยู่ด้านข้างแทน

ข้างเขายังมีนักเรียนจำนวนหนึ่ง

โจวปินและเฉินเจี๋ย ถึงฟางผิงจะไม่คุ้นเคยสองคนนี้ แต่ก็เคยเจอหน้ามาก่อน

นอกจากนี้ยังมีนักเรียนชายหญิงอีกสองคน คงจะอยู่โรงเรียนอื่น ฟางผิงไม่คุ้นหน้าเท่าไหร่

รอฟางผิงเข้ามาแล้ว ถานเจิ้นผิงก็จบบทสนทนากับคนกลุ่มนั้น

พวกโจวปินมองฟางผิงที่ถูกสองพี่น้องตระกูลถานลากมาแวบหนึ่ง ไม่ได้ทักทายอะไร พยักหน้าก่อนจะเข้าไปรวมกับกลุ่มนักเรียนตามเดิม

พอพวกเขาเดินไป ข้างกายถานเจิ้นผิงจึงเหลือแค่สองพี่น้องตระกูลถานและฟางผิง

ถานเจิ้งผิงมองฟางผิง ก่อนจะหัวเราะออกมา “นักเรียนฟางผิง ปราณของนายคงจะสูงกว่าหนึ่งร้อยสามสิบแคลใช่รึเปล่า?”

“พระเจ้า!”

คนที่พูดคือถานเฮ่า ถึงเขาจะรู้ว่าปราณของฟางผิงไม่ธรรมดา แต่เมื่อวานพ่อเขาไม่ได้พูดเรื่องปราณของฟางผิงให้ฟังแต่อย่างใด

ฟางผิงไม่ปฏิเสธ พยักหน้างึกๆ

ถานเจิ้นผิงเห็นแบบนี้ก็หัวเราะอีกครั้ง “งั้นก็ดี ฉันมีเรื่องอยากจะพูดกับนักเรียนฟางผิงสักหน่อย”

“ลุงถานพูดมาเถอะครับ”

“รุ่ยหยางประกอบด้วยห้าอำเภอ สามเขต หนึ่งเมือง หยางเฉิงเป็นเมืองระดับอำเภอ อยู่ใต้อำนาจการปกครองของรุ่ยหยาง ทั้งนับว่าเป็นเมืองแนวหน้า แต่หยางเฉิงแข็งแกร่งกว่าห้าอำเภอนั้นเพียงเล็กน้อย เทียบกับสามเขตในรุ่ยหยางนับว่ายังเป็นรอง การสอบศิลปะการต่อสู้ทุกปี นักเรียนถึงเกณฑ์กี่คน สอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ได้กี่คน…การประเมินการศึกษาถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ทั้งยังเป็นมาตรฐานที่ตายตัว!”

ถานเจิ้นผิงอธิบายง่ายๆ ไม่กี่ประโยค สรุปแล้วก็คือ ภายในเมืองรุ่ยหยาง มีการแข่งขันสูงเหมือนกัน

การประเมินการศึกษาแต่ละพื้นที่คือจุดสำคัญ

หยางเฉิงได้ชื่อว่าเป็นเมืองระดับอำเภอ หลายคนจึงกังวลเรื่องนี้

หากยังโดนแซงหน้าไปอีกหลายปี โดยเฉพาะอำเภอทั้งห้า ภายหลังหยางเฉิงจะถูกเมืองอื่นแทนที่หรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่พูดยาก

แน่นอนว่า การแข่งขันพวกนี้ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับฟางผิงมากมาย

ถานเจิ้นผิงมาหาฟางผิงก็เพราะสาเหตุนี้

“การตรวจร่างกายครั้งนี้ หยางเฉิงของพวกเราถูกจับให้ตรวจร่างกายจุดที่หนึ่งเหมือนกับอำเภอซิ่งซีและเขตอันผิง อำเภอซิ่งซีถือเป็นอำเภอที่เศรษฐกิจและการศึกษาแข็งแกร่งที่สุดในห้าอำเภอ เขตอันผิงยิ่งซ้ำร้าย เพราะโรงเรียนมัธยมอันดับหนึ่งของรุ่ยหยางอยู่ในเขตอันผิง จึงนับว่าโรงเรียนอยู่ในความดูแลของเขตอันผิงเหมือนกัน การจับสถานที่สอบครั้งนี้ นับว่าจับได้ไม่ดีนัก”

เห็นฟางผิงมีท่าทีมึนงงอยู่บ้าง ถานเจิ้นผิงก็สั่นศีรษะ “นายอาจจะรู้แล้วว่า สภาวะอารมณ์ส่งผลกระทบอย่างมากกับประสิทธิภาพของปราณ คนรอบตัวนาย ต่างเป็นพวกอ่อนแอ นายคงมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมอยู่แล้ว ผลตรวจปราณอาจจะดีกว่าที่นายคิดเสียอีก แต่ถ้ารอบตัวนาย มีแต่คนที่แข็งแกร่งกว่า ความมั่นใจของนายก็จะถูกทำลาย รู้สึกตื่นเต้นประหม่าขึ้นมา สถานการณ์แบบนี้ คงไม่อาจแสดงประสิทธิภาพของปราณได้เต็มที่อยู่แล้ว”

นี่เป็นหลักการเดียวกับที่หวังจินหยางพูดถึง ฟางผิงพยักหน้าเข้าใจทันที

“โรงเรียนมัธยมรุ่ยหยางอันดับหนึ่ง โรงเรียนมัธยมซิ่งซีอันดับหนึ่งต่างก็มีนักเรียนหัวกะทิ ทั้งสองฝ่ายนี้ยังมีท่าทีที่ไม่ดีต่อหยางเฉิงของพวกเรานัก การบริหารของหยางเฉิงพิเศษกว่าที่อื่นอยู่ครึ่งหนึ่ง พวกเขาจึงกังวลมาหลายปี เมืองระดับจังหวัดจะมีเมืองระดับอำเภอสองแห่งไม่ได้ อย่างน้อยที่สุดก็สำหรับรุ่ยหยาง ดังนั้น ก่อนการตรวจร่างกายฉันหวังว่านายจะระเบิดปราณออกมา กดดันพวกนักเรียนในเขตและอำเภอพวกนั้น เมื่อกี้ฉันกำชับพวกโจวปินไปแล้ว แต่ยังไงปราณของพวกเขาก็มีจำกัด ไม่ได้สูงเหมือนนาย หากนายระเบิดปราณ คนพวกนั้นต้องรับรู้ได้แน่…”

ฟางผิงนั้นเข้าใจคำพูดของเขาแล้ว

แต่กลับขมวดคิ้วเล็กน้อย ระเบิดปราณกดดันนักเรียนคนอื่น ทำให้พวกเขารู้สึกตื่นเต้นและผิดหวัง

จะว่าไปแล้ว เรื่องพวกนี้ออกจะผิดศีลธรรมอยู่บ้าง

คล้ายกับมองความคิดของฟางผิงออก ถานเจิ้นผิงเผยยิ้มบาง “ผู้ฝึกยุทธ์ต้องกล้าแย่งชิง! ต้องแย่งชิงเท่านั้น นายเห็นใจคู่ต่อสู้ เห็นใจคนอ่อนแอ นี่ไม่ใช่วิถีของผู้ฝึกยุทธ์ ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ที่แข็งแกร่งจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ผู้ที่อ่อนแอก็จะอ่อนแอลงเรื่อยๆ ถ้าได้รับผลกระทบจากการระเบิดปราณของนาย คนที่ความสามารถครึ่งๆ กลางๆ คงต้องหมดหวังกับการสอบครั้งนี้ แต่นายคิดว่าพวกอู๋จื้อหาว จางเฮ่าจะได้รับผลกระทบไปด้วยเหรอ? หากเป็นแบบนั้นจริงๆ หาผู้ฝึกยุทธ์มาระเบิดปราณสักคน ก็คงสอบไม่ผ่านกันหมดแล้ว ทำแบบนี้เพื่อให้นักเรียนทางหยางเฉิงของเรามีความมั่นใจเพิ่มขึ้นมาเท่านั้น ยังไงสำหรับคนส่วนมากก็มักคิดว่านักเรียนของรุ่ยหยางนั้นแข็งแกร่งที่สุด หากทำลายภาพลักษณ์นี้ได้ ภาพรวมต้องมีการเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว”

ฟางผิงรู้สึกขัดแย้งในใจเล็กน้อย ถานเจิ้นผิงกลับผิดหวังอยู่บ้าง “กล้าๆ กลัวๆ เอาชนะได้กลับไม่ทำ นักเรียนฟางผิง ไม่ใช่ว่าฉันยั่วโมโหนาย แต่นายวางตัวห่วงหน้าพะวงหลังแบบนี้ เส้นทางผู้ฝึกยุทธ์ในวันข้างหน้าต้องพบเจอกับความลำบากแน่! ตอนที่ยังหนุ่มแน่น ก็ควรจะแสดงพลังและความสามารถของตัวเอง ไม่ใช่ปิดบังไว้แบบนี้ นายกังวลอะไรอยู่? กังวลว่า ความสามารถของนายถูกเปิดเผย จะมีคนไม่พอใจ?”

ถานเจิ้นผิงส่ายศีรษะ “งั้นนายก็เข้าใจผิดแล้ว คนที่มีประโยชน์จะยิ่งถูกคนให้ความสำคัญ! ความสัมพันธ์ของนายและหวังจินหยางไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด นายแทบไม่มีความจำเป็นต้องกังวลอะไร…”

ฟางผิงหัวเราะแห้งๆ อันที่จริงเขาไม่ได้กังวลเรื่องนั้น เหล่าหวังบอกแล้วว่าจะเป็นแพะรับบาปเอง

สิ่งที่เขากำลังลังเลคือ หนึ่งแค่รู้สึกว่าไม่ถูกต้องเท่าไหร่ สองคือมีเหตุผลอย่างอื่นอยู่

เขาครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยอย่างเก้อเขิน “ลุงถาน ผมไม่ได้กังวลเรื่องพวกนี้ ผม..ผมกำลังคิดว่า ถ้าระเบิดปราณก่อนตรวจร่างกาย สิ้นเปลืองปราณไปแล้ว พอตอนที่ตรวจปราณจริงๆ ผมก็ต้อง…”

ถานเจิ้นผิงชะงักไป ก่อนจะหลุดขำออกมา “ใช่สิ ฉันลืมเรื่องนี้ไปเลย วางใจเถอะ ทางหยางเฉิงจะชดเชยให้นายอยู่แล้ว รอหลังนายระเบิดพลังปราณแล้ว ฉันจะให้ยาบำรุงเลือดและปราณหนึ่งเม็ด นี่ไม่ใช่ยาที่ฉันให้นายเป็นการส่วนตัว แต่เป็นของเมืองหยางเฉิง”

“ยาบำรุงเลือดและปราณ!”

ถานเฮ่าได้ยิน ก็น้อยเนื้อต่ำใจ “พ่อบอกว่าเป็นยาบำรุงกำลังไม่ใช่เหรอครับ?”

ถานเจิ้งผิงมองค้อนเขาไปที เด็กโง่!

พวกโจวปินได้ยาบำรุงปราณ ส่วนลูกชายทั้งสอง เขาเอายาบำรุงกำลังให้เป็นการส่วนตัว

แต่ฟางผิงจะเหมือนกันได้ยังไง?

ยังไม่พูดเรื่องที่เขาค่าปราณสูง กำลังจะข้ามด่านเป็นผู้ฝึกยุทธ์ แต่นี่ยังเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเขาและหวังจินหยาง ให้เขาระเบิดปราณ ชดเชยด้วยยาบำรุงเลือดและปราณถือว่าสมเหตุสมผลแล้ว

หากข่มพวกเขตอันผิงและอำเภอซิ่งซีได้จริงๆ ก็จะทำให้นักเรียนในปีนี้ของพวกเขาสอบผ่านน้อยลง

ทางหยางเฉิงจะมีจำนวนมากขึ้นแทน นี่เป็นความสำเร็จครั้งใหญ่ของเมืองหยางเฉิง!

ไม่อยากให้ฉันแข็งแกร่งกว่า ถ้างั้นคนอื่นก็ต้องอ่อนแอกว่าฉัน

มีคนอย่างฟางผิงอยู่ จะไม่ใช้ประโยชน์คงน่าเสียดาย

ถึงเวลานั้นหยางเฉิงจะมีภาพลักษณ์ที่ดีขึ้น กลับไปยื่นเรื่องต่อเบื้องบน สิ่งที่ได้รับคงจะไม่ได้มีแค่ยาบำรุงพวกนี้แล้ว

ขอเพิ่มจำนวนยาแพงๆ อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น

แน่นอนว่า ต้องทำคะแนนให้ดีกว่าทั้งสองฝ่ายเป็นอันดับแรก

แม้ฟางผิงจะไม่กระจ่างใจกับความคิดในหัวของถานเจิ้นผิงเท่าไหร่ แต่เรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวกับเขา เขาไม่จำเป็นต้องสนใจ

ได้ยินว่ามอบยาบำรุงเลือดและปราณให้หนึ่งเม็ด ทั้งนึกถึงช่วงนี้ที่ใช้ปราณอย่างสิ้นเปลือง เงินนับวันยิ่งน้อยลง

ฟางผิงก็ไม่คิดมากอีก พยักหน้า “ได้ ลุงถาน ผมจะพยายามให้ดีที่สุด!”

ถานเจิ้นผิงเผยรอยยิ้ม “นี่ถึงจะเป็นวิถีของผู้ฝึกยุทธ์! ฟางผิง ลุงแก่แล้ว เราไม่เหมือนกัน วัยรุ่นนั้นควรห้าวหาญไม่หวาดหวั่น ไม่ยอมใคร! รอนายเข้ามหาวิทยาลัยแล้วจะพบว่า หากเอาแต่ถ่อมตัว นั่นจะทำให้นายถดถอยลงเรื่อยๆ มีแต่ต้องแย่งชิงเท่านั้น! ต้องแย่งชิง กล้าแย่งชิง และแย่งมาให้ได้! แพ้ไม่เป็นไร แต่ถ้าชนะ นายก็จะเดินได้ไกลกว่าเดิม กลัวแค่ว่านายจะไม่กล้าลงมือทำ!”

ประโยคสุดท้ายนั้นจี้จุดฟางผิงอยู่บ้าง

คำพูดนี้ ไม่ได้มีแค่ถานเจิ้นผิงที่พูดกับเขา ในหนังสือ ทั้งหวังจินหยางก็พูดเหมือนกัน

ความเป็นจริงบอกเขาอยู่เหมือนกัน ต้องแย่งชิงเท่านั้น!

กระทั่งพี่หม่ายังต่อสู้แย่งชิง เพราะเรื่องนี้จึงกล้าท้าประลองกับแทม นี่เป็นตัวอย่างที่ทำให้เขาเห็นอย่างชัดเจน

—————–