ตอนที่ 461 ไม่จำกัดเวลา
หน้านิ่วคิ้วขมวดเช่นนั้น มองอย่างไรก็เหมือนคนกำลังหาเรื่อง!
ป๋อจิ่งหางเห็นท่าทีเย็นชาเช่นนั้นของเธอก็ขมวดคิ้วขึ้นเช่นกัน เขาหมุนตัวพาหวันหว่านออกไปยังห้องรับแขกข้างนอก แล้วย้อนกลับเข้ามาในครัวอีกครั้ง!
“ทำไม แค่กู้เป่ยเยี่ยนที่ถือหุ้นสิบเปอร์เซ็นต์ของสกุลซางของเธอ ตามมาจีบเธอจากภาคใต้แค่นี้ เธอก็จองหองแล้วเหรอ งั้นเราก็หย่ากันได้แล้วสิ?”
การกระทำของซังอวี๋หยุดชะงัก “เปล่า ฉันไม่หย่า อย่างน้อยๆ ก็ไม่ใช่ตอนนี้”
“เหอะ ผู้หญิง อีกหนึ่งเดือนสัญญาก็จะหมดอายุแล้ว ถึงวันนั้นจะหย่าไม่หย่าก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเธอ!”
มือที่ถือจานอยู่ของซังอวี๋กระชับแน่น “…รอให้ถึงเวลานั้นแล้วค่อยว่ากัน!”
“ไม่จำเป็นต้องพูดหรอก! ถึงเวลายังไงก็ต้องหย่า!”
เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดันที่ยากจะอธิบาย!
ซังอวี๋กัดฟันแน่นไม่พูดจา!
ถึงเวลา?
แก้ไขเรื่องของเธอไม่ได้ คิดจะหย่าเหรอ ไม่มีวันซะหรอก!
_
เฉินฝานซิงเดินออกจากห้องครัวมา เมื่อเห็นว่าสีหน้าของป๋อจิ่งชวนยังไม่ดีขึ้น เธอก็ชักจะรู้สึกจนปัญญา
เห็นอีกฝ่ายถอดเนคไทอยู่ค่อนวันแล้วแต่ก็ยังถอดไม่ออกเสียที เธอจึงอาสาก้าวเข้าไปช่วย!
รูปร่างของเขาสูงเกินไป แค่จะปลดเนคไทให้ยังต้องเขย่งปลายเท้า!
ชายหนุ่มยังคงมองเธอด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“นี่…ยังโกรธฉันอยู่เหรอ วันนี้ฉันทำอาหารไว้ให้คุณเยอะแยะเลยนะ!”
นัยน์สีดำสนิทสะท้อนภาพใบที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มจางๆ ของเฉินฝานซิง อารมณ์ของเขาผ่อนคลายลงเล็กน้อยจนไม่อาจสังเกตเห็น
“นั่นทำให้ผมเหรอ”
“แน่นอนสิ! ฉันบังเอิญไปเจอซังอวี๋กับหวันหว่านที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต ต่อไปฉันกับเธอก็จะต้องเป็นสะใภ้บ้านเดียวกันแล้วไม่ใช่เหรอ ต้องรีบตีสนิทไว้ก่อนถูกไหม”
หน้าขึงตึงของป๋อจิ่งชวนอ่อนลงอีกหลายเท่า
“สะใภ้บ้านเดียวกัน?”
“ก็ใช่น่ะสิ สองสะใภ้ในบ้านสนิทกัน ช่วยลดเรื่องปวดหัวให้พวกคุณสองพี่น้องได้ไม่น้อยเลยนะ ต่อไปพวกคุณจะได้บริหารบริษัทกันได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องคอยปวดหัวกับเรื่องในบ้าน…”
เฉินฝานซิงว่าพลางอ้อมไปข้างหลังเขาแล้วถอดสูทตัวนอกของเขาออกมา
ป๋อจิ่งชวนมองเธอนำสูทของเขาไปแขวนไว้ตรงที่แขวนเสื้อข้างประตู ผมยาวถูกเกล้าต่ำ ใบหน้าไร้การเติมแต่งดูสงบนิ่ง ทุกอย่างไม่ต่างอะไรกับภรรยาคนหนึ่ง
เขาค่อยๆ ก้าวเข้าไปใกล้ ไฟตรงประตูทางเข้ากลับไม่ได้เปิด แต่อาศัยไฟจากห้องรับแขกล้วนๆ
หลังจากนำเสื้อไปแขวนไว้เสร็จแล้วเธอก็หมุนตัวกลับมา ก่อนที่เฉินฝานซิงจะพบว่าอีกฝ่ายมายืนอยู่ตรงหน้าเธอเรียบร้อยแล้ว
“มีอะไรเหรอ”
เฉินฝานซิงแหงนมองหน้าตาเคร่งขรึมของเขา แรงดึงดูดของเขายังคงยากที่จะละเลย ยามที่เขาใกล้เข้ามา เธอรับรู้ได้ทุกช่วงวินาที
ยิ่งไปกว่านนั้น บนร่างกายของเขานอกจากรัศมีความสูงศักดิ์และเคร่งขรึมแล้ว ยังคงมีความอาฆาตแค้นวนเวียนอยู่รอบตัว
เขาอาศัยความสูงลดสายตาลงมองเธอ เฉินฝานซิงเองก็แหงนหน้าขึ้นมามองเขาด้วยเช่นกัน
ทันใดนั้นลมหายใจของเขาก็ประชิดเข้ามาในเสี้ยวนาที เอวของเธอถูกรัดแน่น ภาพเบื้องหน้าหมุนเคว้ง รู้ตัวอีกทีเธอก็ตกลงบนตู้รองเท้าตรงหน้าประตูไปเรียบร้อยแล้ว
ใบหน้าหล่อเหลาเหนือใครขยายใหญ่ขึ้นตรงหน้า สันจมูกโด่งแตะลงบนปลายจมูกของเธออย่างแผ่วเบา
ลมหายใจอุ่นๆ เป่ารดลงบนแก้มของเธอ เสียงทุ้มนุ่มที่อยู่ห่างออกไปเพียงคืบยังคงแฝงไปด้วยความขุ่นเคืองที่เข้มข้น
“ผมยังโกรธอยู่”
“งั้นเอาไงดีล่ะ”
มือหนึ่งของเธอวางลงตรงไหล่ของเขา ความใกล้ชิดของทั้งคู่กลายเป็นความเคยชินสำหรับเธอไปเสียแล้ว
ทว่าครั้งนี้ ในบ้านไม่ได้มีแค่พวกเขาสองคน
เธอหันมองไปทางห้องรับแขกด้วยความร้อนรน ภายใต้แสงไฟสาดส่อง มีเพียงเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านที่วางอยู่ตรงนั้นอย่างไม่หือไม่อือ
ความรู้สึกเกร็งๆ เกิดขึ้นตรงคาง ป๋อจิ่งชวนจับหน้าเธอหันกลับมาหาเขาใหม่อีกครั้ง
นัยน์ตาดำสนิทฉาบไปด้วยความดุดัน
“หาวิธีทำให้ผมหายโกรธ”
พูดจบเขาก็เอียงศีรษะคล้ายว่ากำลังลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อไปว่า
“ไม่จำกัดเวลา”
“…”
ตอนที่ 462 ตัวซวยของเขา
เฉินฝานซิงรู้สึกระอา ดูจากสภาพของพวกเขาทั้งคู่ในตอนนี้แล้ว ความหมายของเขาจะแปลเป็นสิ่งไหนไปได้อีก
ก็แค่ข้ออ้างจะให้จูบ จะให้กอดเท่านั้นเอง!
ผู้ชายคนนี้ ความหล่อของเขาสยบได้ทุกสิ่ง แถมยังมีทั้งลุคที่สุขุมและสูงส่งอีก แต่กลับทำตัวหน้าขำเหมือนเด็กๆ ความแตกต่างราวฟ้ากับเหวนี่…
“เร็วเข้า”
ป๋อจิ่งชวนเร่งเธอเสียงต่ำ สีหน้าของเขาฉาบไปด้วยการรอคอยที่เบาบางจนยากจะสังเกตเห็น
เฉินฝานซิงเหลือบมองในห้องรับแขกอีกครั้ง เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีใคร เธอจึงจูบลงไปยังมุมปากของเขาอย่างฉับไวด้วยความเร็วปานสายฟ้า
“…”
ป๋อจิ่งชวนไม่ไหวติง เฉินฝานซิงจ้องมองเขา
จนเวลาผ่านไปเนิ่นนาน นอกจากสีหน้าของเขาจะไม่ดีขึ้นแล้ว ซ้ำยังหนักกว่าเก่าเสียอีก
“แค่นี้ก็พอแล้วเหรอ”
เฉินฝานซิงพ่นลมหายใจ “พอก่อนเถอะ ฉันยังต้องไปทำอาหารนะ”
เธอว่าพลางก็เตรียมจะกระโดดลงไป แต่สุดท้ายก็กลับโดนอีกฝ่ายรั้งเอวไว้
“ไม่ได้ ผมยังไม่หายโกรธ”
“แต่ว่า…”
เฉินฝานซิงลังเล ก่อนจะหันมองไปยังห้องรับแขกด้วยความกังวลใจอีกครั้ง
“ขืนคุณยังชักช้าอยู่แบบนี้ เดี๋ยวพวกนั้นก็ออกมามุงดูกันหรอก แต่ต่อให้โดนมุงผมก็ไม่ปล่อยคุณหรอกนะ”
ป๋อจิ่งชวนจงใจจะขู่เธอเห็นๆ
“เร็วสิ”
เขาเร่ง
เฉินฝานซิงสูดหายใจเข้าเต็มปอดอย่างจนปัญญา เธอเคลื่อนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย
แล้วบรรจงกดกลีบปากลงไปบนริมฝีปากของเขาอย่างแผ่วเบา อ้อมกอดของเขากระชับแน่นขึ้นเรื่อยๆ
เฉินฝานซิงนิ่งไปเล็กน้อย เธองุ่มง่ามและทำตัวไม่ถูก
ทว่าความอดทนของป๋อจิ่งชวนกลับหมดลงแล้ว
อากาศในปอดตอนนี้ร่อยหรอลงเต็มที เสียงหายใจหนักหน่วงขึ้นทุกชั่วขณะ
เฉินฝานซิงข่มเสียงไว้สุดฤทธิ์ เสียงหายใจของทั้งคู่ตรงทางเข้าที่เงียบสงัดนั้นทำให้เธอรู้สึกว่ามันดังพอที่จะเรียกให้ใครจับได้อยู่ตลอดเวลา
“…พอแล้ว ป๋อ…”
เธอเปล่งเสียงออกมาอย่างตะกุกตะกัก
ป๋อจิ่งชวนเองก็ปล่อยให้เวลาผ่านไปเนิ่นนานกว่าที่จะยอมปล่อยเธอ
เฉินฝานซิงสูดหายใจแผ่วๆ ดวงตาสุกใสพร่าเลือน ปลายจมูกของทั้งสองชนกัน ลมหายใจคละเคล้ากันไปมา
“พอก่อนเถอะ…”
นัยน์ตาสั่นระริกของเธอจ้องมองอีกฝ่าย
“ไม่พอ” เขาตอบอย่างไม่ลังเล ว่าเสร็จเขาก็ก้มลงไปจูบริมฝีปากเธออีกครั้ง
“ไอ้ย๊าาา”
เสียงสูงเสียงหนึ่งดังขึ้นในทันที
หนังศีรษะของเฉินฝานซิงชาวาบ เมื่อเธอหันกลับไปมองยังห้องรับแขกก็พบกับศีรษะน้อยๆ ที่กำลังนอนคว่ำหน้าอยู่ตรงสุดทางเดินของทางเข้า เธอซ่อนอีกครึ่งตัวเอาไว้ แล้วมองพวกเขาตาแป๋ว ก่อนจะยกมือเล็กจิ๋วขึ้นมาปิดตาตัวเอง
ในเมื่อมือของเธอเล็กเกินไปจึงช่วยได้ไม่มากนัก
นาทีนั้นใบหน้าของเฉินฝานซิงร้อนฉ่าจนแทบระเบิด เธอรีบออกแรงผลักไหล่ของป๋อจิ่งชวนออกไปแล้วกระโดดลงจากตู้เก็บรองเท้า
หว่างคิ้วของป๋อจิ่งชวนกระตุกวูบ ครอบครัวของเจ้าป๋อจิ่งหางนี่เป็นตัวซวยของเขาจริงๆ!