ตอนที่ 336 ถูกใจหรือไม่

พันธกานต์ปราณอัคคี

“สมบัติวิเศษเจ้าชะตา?” เยี่ยเทียนหยวนชะงักเล็กน้อย “ศิษย์น้องชิงเฉิน เจ้าคิดไว้แล้วหรือ?”

 

 

สมบัติวิเศษเจ้าชะตาสำหรับนักบำเพ็ญเพียรแล้วสำคัญยิ่งนัก หลังจากหลอมเสร็จต้องเก็บเข้าตันเถียน เชื่อมกับดวงจิตนักบำเพ็ญเพียร อีกทั้งอานุภาพยังเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ตามตบะที่เพิ่มขึ้นของนักบำเพ็ญเพียรด้วย เป็นสมบัติวิเศษแบบเติมโตที่สำคัญที่สุด

 

 

มั่วชิงเฉินเพิ่งก่อแก่นปราณก็พูดถึงการหลอมสมบัติวิเศษเจ้าชะตา เยี่ยเทียนหยวนถึงถามเช่นนี้

 

 

“อืม ข้าคิดดีแล้ว” มั่วชิงเฉินพูดพลางหยิบไม้หม่อนออกมาชิ้นหนึ่ง เส้นเอ็นมังกรเจี่ยวออกมากลุ่มหนึ่ง แก่นแร่เพชรขนาดเท่ากำปั้นเด็กก้อนหนึ่ง ขนหางสีฟ้าสิบกว่าเส้น บวกกล่องหยกทรงยาวกล่องหนึ่งออกมา

 

 

เยี่ยเทียนหยวนกวาดมองของที่มั่วชิงเฉินหยิบออกมา ในตาฉายแววประหลาดใจขึ้นแวบหนึ่ง นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งว่า “ศิษย์น้องชิงเฉิน เจ้าจะหลอมธนูกับศร?”

 

 

เชี่ยวชาญด้านการหลอมอาวุธเวทตามคาด กวาดมองของที่เอาออกมาเพียงปราดเดียวก็รู้แล้วว่านางจะหลอมสมบัติวิเศษอะไร

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มว่า “ใช่แล้ว ศิษย์พี่ลั่วหยาง แก่นแร่เพชรชิ้นนี้ ขอให้ท่านหลอมศรทองคำอันหนึ่ง ที่อยู่ในกล่องหยกคือก้านของบัวหิมะเหมนต์ ก็หลอมศรเหมันต์อันหนึ่งแล้วกัน”

 

 

“บัวหิมะเหมันต์?” เยี่ยเทียนหยวนตาเป็นประกาย ยื่นนิ้วมือเรียวยาวออกเปิดกล่องหยก ด้านในใส่ก้านสีฟ้าน้ำแข็งไว้ก้านหนึ่งไว้นิ่งๆ จริงๆ

 

 

“ลั่วหยางทราบแล้ว ศิษย์น้องชิงเฉิน ไม่ทราบเจ้ายังมีความต้องการอะไรอีก?” เยี่ยเทียนหยวนถามขึ้น

 

 

มั่วชิงเฉินจึงอธิบายความคิดของตนอย่างละเอียดรอบหนึ่ง ในระหว่างนี้พบด้วยความตะลึงว่า เยี่ยเทียนเยียนแม้ปกติพูดน้อย พูดถึงการหลอมอาวุธขึ้นมากลับมีชีวิตชีวา เสนอความคิดใหม่ๆ และเหมาะเจาะในที่ที่ตนคิดไม่ถึงหลายที่ ช่วยทำให้สมบัติวิเศษเจ้าชะตาที่ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างสมบูรณ์ขึ้นมาก

 

 

มั่วชิงเฉินแอบถอนใจว่าตนหาถูกคนแล้ว ความถนัดต่างกันก็เข้าใจต่างกันจริงๆ ความคิดเดิมของนางบางอย่างไม่เพียงเพิ่มประสิทธิภาพของสมบัติวิเศษไม่ได้ ยังถ่วงแข้งถ่วงขา ถูกเยี่ยเทียนหยวนชี้ปุ๊บก็รู้แจ้งทันที

 

 

สมบัติวิเศษเจ้าชะตาความสำคัญไม่ธรรมดา ทั้งสองคนปรึกษากันหนึ่งชั่วยามเต็มๆ ถึงกำหนดขึ้นมาได้ เยี่ยเทียนหยวนน่าจะไม่เคยพูดมากถึงเพียงนี้มาก่อนรู้สึกคอแห้ง จึงหยิบถ้วยชาข้างๆ ติดมือขึ้นมาดื่มเข้าไปอึกหนึ่ง

 

 

แล้วก็เห็นเขาสีหน้าประหลาด กัดริมฝีปากแล้วถึงกลืนน้ำชาลงไป จากนั้นวางถ้วยชาลงอย่างหน้าไม่เปลี่ยนสี

 

 

มั่วชิงเฉินแอบเหล่น้ำชาปราดหนึ่ง ในถ้วยไอร้อนสีขาวยังกรุ่นอยู่เลย จึงกลั้นหัวเราะไว้ว่า “ศิษย์พี่ลั่วหยาง ขอบคุณท่านแล้ว รอสมบัติวิเศษเจ้าชะตาหลอมเสร็จ ชิงเฉินเชิญท่านดื่มสุรา”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนลุกขึ้นยืนว่า “ได้ ศิษย์น้องชิงเฉิน ข้าจะเร่งทำ ครั้งนี้เราจะอยู่ในสำนักครึ่งปี ก่อนไป ต้องให้เจ้าแน่นอน”

 

 

มั่วชิงเฉินก็ลุกขึ้นยืนว่า “ศิษย์พี่ลั่วหยางก็ไม่ต้องตรากตรำเกินไป ออกศึกครั้งหน้า ชิงเฉินก็จะตามไปด้วย”

 

 

“เช่นนั้นก็ยิ่งช้าไม่ได้แล้ว” เยี่ยเทียนหยางพูดจบก็พยักหน้าแผ่วเบาให้มั่วชิงเฉิน หันหลังจากไป

 

 

จนกระทั่งไม่เห็นเงาหลังของเยี่ยเทียนหยวนแล้ว มั่วชิงเฉินเหล่เหลียงเฉินที่ตุ๊มๆ ต่อมๆ เล็กน้อยว่า “เหลียงเฉิน น้ำชานั่นมันเรื่องอะไรกัน?”

 

 

เหลียงเฉินรู้นิสัยของมั่วชิงเฉิน ฟังน้ำเสียงของนางจึงวางใจลงมา แล้วยิ้มอย่างเอาใจว่า “คุณหนู เหลียงเฉินเห็นท่านกับนักพรตลั่วหยางคุยกันไม่หยุด ห่วงว่าพวกท่านจะกระหายเจ้าค่ะ”

 

 

“กระหาย? กระหายเจ้าก็ยกน้ำเดือดมา?” มั่วชิงเฉินรู้สึกจำใจ

 

 

เหลียงเฉินน้อยใจว่า “คุณหนู ชาในวันนี้ชื่อว่า ‘หอมซานฝู’ เหม่ยจิ่งบอกแล้ว ก็ดื่มตอนร้อนๆ ถึงจะดี หลังจากดื่มแล้วชุ่มคอดับกระหาย กระปรี้กระเปร่าจิตใจสงบ อีกอย่าง คนเขาเห็นพวกท่านพูดคุยกันอยู่ตลอดเวลา ไม่คิดว่าเพิ่งยกขึ้นมานักพรตลั่วหยางก็หยิบขึ้นมาดื่มนี่นา”

 

 

“หอมซานฝู?” มั่วชิงเฉินหยิบชาอีกถ้วยหนึ่งขึ้นจิบเบาๆ อึกหนึ่ง เข้าปากยังคงร้อนมาก กลืนลงไปกลับหอมไปทั้งปาก เพียงแต่นึกถึงอึกใหญ่นั้นของเยี่ยเทียนหยวน แล้วมุมปากกระตุก

 

 

“เอาล่ะ พวกเจ้ายุ่งกับพวกนี้น้อยหน่อย ไปเก็บกวาดที่พำนักของเราดีๆ ก่อนเถอะ ของที่ทางสำนักให้ล้วนกำหนดไว้แล้ว มีบางส่วนเกรงว่ายังต้องซื้อเพิ่ม” มั่วชิงเฉินข้ามหัวข้อนี้ไป

 

 

“เจ้าค่ะ ข้าจะไปเรียกเหม่ยจิ่งเดี๋ยวนี้” เมื่อนึกถึงเก็บกวาดที่พำนัก ตาเหลียงเฉินก็แววาว

 

 

มั่วชิงเฉินหันหลังเดินเข้าห้องฝึกยุทธห้องหนึ่ง ส่วนที่เหลือมอบให้สาวใช้สองคนไปวุ่นวาย ตนเองศึกษาสมบัติวิเศษในมืออย่างตั้งใจขึ้นมา

 

 

วันที่สอง นึกถึงคำสั่งของกู้หลี มั่วชิงเฉินจึงไปเขาป่าไผ่ เพียงแต่ครั้งนี้กลับไม่ร่อนลงโดยตรงเหมือนแต่ก่อน หากแต่เหมือนนักบำเพ็ญเพียรอื่นยืนส่งสารอยู่นอกป่าไผ่

 

 

ต่อจากนั้นป่าไผ่แยกออกเป็นทางเล็กๆ ใต้ร่มเงา มั่วชิงเฉินเดินเข้าไป กู้หลีกำลังก้มตัวยุ่งกับงานในสวนยาอยู่ บนพื้นหญ้า อสูรเสือพายุทะลุฟ้าหมอบอยู่อย่างขี้เกียจ อินทรีวิญญาณหยกหิมะหรี่ตากึ่งหนึ่ง เยื้องย่างอย่างเอ้อระเหย

 

 

ชั่วขณะหนึ่งราวกับกลับไปถึงเมื่อสี่สิบปีก่อน นางพร้อมด้วยใจตุ๊มๆ ต่อมๆ ถูกศิษย์ผู้ดูแลเฉียนตาเล็กพามาถึงเขาป่าไผ่ เดินออกจากป่าไผ่ที่ดุจดั่งดินแดนในความฝัน ทัศนียภาพที่เห็นก็คือเช่นนี้

 

 

ทว่ามั่วชิงเฉินได้สติขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ยิ้มพลางเรียกขึ้นว่า “อาจารย์ ชิงเฉินช่วยเจ้าค่ะ”

 

 

พูดพลางเดินเข้าไป จัดการหญ้าทิพย์พร้อมเขา

 

 

ศิษย์อาจารย์สองคนยุ่งอยู่พักหนึ่ง ถึกย้อนกลับมานั่งลงข้างโต๊ะหินหน้าเรือนไม้ไผ่ด้วยกัน

 

 

“ชิงเฉิน อาจารย์นึกไม่ถึงว่า เจ้าอายุหกสิบสามก็ก่อแก่นปราณได้แล้ว” กู้หลีมองใบหน้าผ่องใสดั่งหยกยิ่งกว่าเดิมหลังจากก่อแก่นปราณของมั่วชิงเฉิน ดูเหมือนสะท้อนใจเล็กน้อย

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มว่า “อาจารย์ เช่นนี้คือสีครามกลั่นจากต้นครามแต่สีสันแก่เข้มยิ่งกว่าต้นคราม[1]ใช่หรือไม่เจ้าคะ?”

 

 

เห็นมั่วชิงเฉินยิ้มหวานดุจบุปผา กู้หลียิ้มนิ่งเรียบว่า “ใช่”

 

 

“เมื่อเป็นเช่นนี้ อาจารย์คิดจะให้รางวัลอะไรศิษย์เจ้าคะ?” มั่วชิงเฉินกะพริบตา

 

 

กู้หลีเหลือบมองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง

 

 

“อาจารย์ วันนี้ท่านเรียกชิงเฉินมา หรือว่าไม่ได้คิดจะให้รางวัล?”

 

 

“ชิงเฉิน ข้าได้ยินมาว่าโส่วเต๋อเจินจวินให้สมบัติวิเศษเจ้าชิ้นหนึ่ง ชื่อว่าแหวกฟ้า?” กู้หลีถามเอื่อยๆ

 

 

มั่วชิงเฉินมองกู้หลีอย่างระแวงปราดหนึ่งว่า “อาจารย์คงไม่คิดว่าโส่วเต๋อเจินจวินให้แล้ว ก็ประหยัดแทนท่านแล้วนะเจ้าคะ? ไม่ได้นะ ของอาจารย์ก็ของอาจารย์”

 

 

กู้หลียิ้มอย่างจำใจ ในมือปรากฏคัมภีร์ขึ้นเล่มหนึ่ง แล้วดันข้ามไปว่า “ชิงเฉิน นี่คือเคล็ดลับการหลอมโอสถมานานปีของอาจารย์ บันทึกอยู่ในคัมภีร์นี้หมดแล้ว บัดนี้เจ้าเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณแล้ว มีเวลาเหลือจากการบำเพ็ญเพียร ก็ดูเสียหน่อยแล้วกัน ส่วนสมบัติวิเศษ ข้ารู้ว่าเจ้าวานศิษย์น้องลั่วหยางหลอมสมบัติวิเศษเจ้าชะตา อีกทั้งยังมีแหวกฟ้าที่โส่วเต๋อเจินจวินให้ บวกกับสมบัติวิเศษฟ้าดินไหมเกล็ดน้ำแข็งอีก สมบัติวิเศษจู่โจม ป้องกัน เหินหาวล้วนมีพร้อมแล้ว อาจารย์ก็ไม่ให้ของพวกนี้กับเจ้าแล้ว เตาหลอมโอสถนี้เจ้าเอาไว้”

 

 

มองดูคัมภีร์และเตาหลอมโอสถขนาดเท่าฝ่ามือที่แกะสลักลายวิหคแดงที่กู้หลียื่นมาให้ รอยยิ้มที่มุมปากของมั่วชิงเฉินไม่เลือนไปว่า “ขอบคุณอาจารย์ ชิงเฉินรู้แต่แรกแล้ว ว่าของที่อาจารย์ให้ต้องถูกใจที่สุดแน่นอน”

 

 

กู้หลีเลิกคิ้ว “ชิงเฉิน แหวกฟ้านั่นเจ้าศึกษาไปถึงไหนแล้ว?”

 

 

มั่วชิงเฉินส่ายศีรษะว่า “ศึกษาเพียงไม่กี่วัน ยังไม่ค่อยชำนาญเจ้าค่ะ”

 

 

“ชิงเฉิน แหวกฟ้าเป็นสมบัติวิเศษที่โส่วเต๋อเจินจวินใช้สมัยหนุ่ม เล่าลือกันว่าอานุภาพร้ายแรงยิ่งนัก แค่กๆ ได้ยินว่าเจ้าชื่นชอบก้อนอิฐ โส่วเต๋อเจินจวินจึงหลอมใหม่อีกครั้ง เจ้าต้องตั้งใจศึกษานะ จะทำให้โส่วเต๋อเจินจวินผิดหวังไม่ได้” กู้หลีเอ่ยอย่างจริงจัง

 

 

ชื่นชอบก้อนอิฐ?

 

 

มั่วชิงเฉินมุมปากกระตุก ยิ้มอย่างจำใจว่า “เจ้าค่ะ ศิษย์ทราบแล้ว”

 

 

กู้หลีก็ไม่สนใจสีหน้าแปลกประหลาดของมั่วชิงเฉิน เอ่ยต่อว่า “การออกศึกครั้งต่อไปเจ้าคิดจะตามไปใช่หรือไม่?”

 

 

“เจ้าค่ะ ซือจุน” ได้ยินพูดถึงเรื่องเป็นการเป็นงาน มั่วชิงเฉินสีหน้าขึงขังขึ้นมา

 

 

“เช่นนั้นระยะนี้เจ้าก็ตั้งใจทำความคุ้นเคยกับสมบัติวิเศษในมือเสีย หากศิษย์น้องลั่วหยางหลอมสมบัติวิเศษเจ้าชะตาออกมาไม่ทัน จะได้มีสิ่งที่พึ่งได้ ครั้งหน้าอาจารย์ก็ไม่ตามไปแล้ว” กู้หลีเอ่ย

 

 

มั่วชิงเฉินยกตาขึ้นว่า “ซือจุน…คิดจะกักตน?”

 

 

กู้หลีอมยิ้มพยักหน้าว่า “อาจารย์แม้เข้าระดับก่อแก่นปราณระยะปลายไม่นาน ก่อนหน้านี้ไม่นานกลับบังเอิญมีความรู้สึก บวกกับหลายปีมานี้ตรากตรำมาตลอด ถึงเวลาควรกักตนสักระยะแล้ว”

 

 

ได้ยินว่ากู้หลีจะกักตน ศิษย์อาจารย์สองคนอาจไม่ได้พบกันหลายปีอีก มั่วชิงเฉินแม้ยังอาลัยอาวรณ์กลับรู้ว่านักบำเพ็ญเพียรพบๆ จากๆ เป็นเรื่องปกติ จึงยิ้มจากใจจริงว่า “เช่นนั้นศิษย์ของแสดงความยินดีกับอาจารย์แล้ว อาจารย์อายุเพียงเท่านี้ก็อยู่ระดับก่อแก่นปราณระยะปลายแล้ว ไม่แน่ไม่ถึงสองร้อยปี ก็สามารถก่อกำเนิดได้แล้ว”

 

 

กู้หลีสีหน้าอ่อนโยน น้ำเสียงกลับไม่สะทกสะท้านว่า “บนหนทางแห่งการบำเพ็ญเพียร เดินช้าเดินเร็วสักหน่อยล้วนไม่เป็นไร ที่สำคัญคือต้องเดินไปให้ตลอด”

 

 

มั่วชิงเฉินสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา ลุกขึ้นคารวะอย่างขึงขังทีหนึ่งว่า “ขอบคุณซือจุนที่สั่งสอน ชิงเฉินจะจดจำไว้ให้มั่น”

 

 

“เช่นนั้นชิงเฉินเจ้ากลับไปก่อนเถอะ เพิ่งก่อแก่นปราณ มีเรื่องจิปาถะไม่น้อยต้องจัดการ” กู้หลีน้ำเสียงนิ่งเรียบมาก ในตากลับดูออกถึงความปลื้มปิติ

 

 

มั่วชิงเฉินมองกู้หลีอีกปราดหนึ่ง พยักหน้าว่า “เช่นนั้นศิษย์ขอตัวก่อนแล้ว อาจารย์ หากท่านไม่มีสุราแล้ว ก็ให้ต้าฮวาไปเอา”

 

 

อสูรเสือพายุทะลุฟ้าฮึอย่างขี้เกียจเสียงหนึ่ง

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้ม แล้วหันหลังไปจากเขาป่าไผ่

 

 

นางมีเรื่องบางอย่างต้องจัดการจริงๆ ก่อนอื่นคือไปโถงปฏิบัติงานเปลี่ยนป้ายประจำตัวใหม่ ต่อจากนั้นต้องไปโถงจัดหารับเบี้ยหวัดในหนึ่งปีของผู้เฒ่าระดับก่อแก่นปราณ

 

 

จากนั้น ยังต้องไปหอคัมภีร์ หลังจากนางเลื่อนขั้น วิชายุทธชั้นสูงของเคล็ดวิชาพันไหมชิงมู่อีกทั้งคาถา วิชาลับบางอย่างก็สามารถดูได้แล้ว

 

 

ดีที่เรื่องพวกนี้จัดการขึ้นมาเร็วมาก รอนางทำเสร็จหมด พระอาทิตย์ยังไม่ตก

 

 

คิดว่าในบรรดาศิษย์เหยากวงที่กลับมาครั้งนี้มีคนคุ้นเคยไม่กี่คน จึงย้อนตรงกลับเขาลั่วเถา

 

 

ศิษย์เหยากวงที่เข้าร่วมการต่อต้านวิกฤตอสูร แบ่งเป็นสามกลุ่มสลับกันพักผ่อน ครั้งนี้ที่กลับมานอกจากกู้หลีและเยี่ยเทียนหยวน ต้วนชิงเกอและมั่วหลีลั่วที่สนิทกันมาตลอดไม่อยู่ในนี้ ที่เหลือมีคนหน้าคุ้นไม่กี่คน เป็นสมาชิกทีมยามอยู่เขาหลางหยา กลับไม่จำเป็นถึงกับต้องอุตส่าห์ไปพบ

 

 

นางยังอุตส่าห์สอบถามข่าวคราวของเสี่ยวซย่าและเฉินเจียวซิ่ง โถงปฏิบัติงานตรวจสอบดูให้โดยเฉพาะ ที่แท้เสี่ยวซย่ากลับสำนักตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว บัดนี้กำลังรับมือวิกฤตอสูรพร้อมเฉินเจียวซิ่ง

 

 

รู้ว่าเสี่ยวซย่าปลอดภัย มั่วชิงเฉินก็วางใจ

 

 

วันๆ ศึกษาวิธีใช้ของสมบัติวิเศษไม่กี่อย่างนั้นที่เขาลั่วเถา พริบตาเดียวเวลาสามเดือนกว่าก็ผ่านไปแล้ว

 

 

น่าจะรู้ว่านักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณที่เพิ่งเลื่อนขั้นมีเรื่องยุ่งมากมาย สามเดือนนี้ไม่มีคนมารบกวนโดยตลอด ในวันนี้เอง ด้านนอกกลับมีความเคลื่อนไหว

 

 

มั่วชิงเฉินเก็บก้อนอิฐแหวกฟ้าขึ้น แล้วเปิดค่ายกล

 

 

ไม่คิดว่าคนที่มาคือเยี่ยเทียนหยวน

 

 

ชุดเขียวที่เขาใส่ดูแล้วยับอยู่บ้าง เพียงแต่รูปร่างสูงสง่าจึงดูไม่น่าเกลียด ทว่าเส้นเลือดฝอยในตากลับทำให้มั่วชิงเฉินตกใจ รีบเดินเข้าไป

 

 

“ศิษย์พี่ลั่วหยาง ท่าน…”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนยื่นเกาทัณฑ์สีดำให้อันหนึ่งว่า “ศิษย์น้องชิงเฉิน เจ้าลองดูว่าถูกใจหรือไม่ หากมีอะไรไม่เหมาะ ลั่วหยางจะไปแก้ใหม่”

 

 

 

 

 

 

——

 

 

[1] ครามกลั่นจากต้นครามแต่สีสันแก่เข้มยิ่งกว่าต้นคราม อุปมาว่า นักเรียนเหนือกว่าครู คนรุ่นหลังเหนือกว่าคนรุ่นก่อน