ตอนที่ 337 จดหมายกลางเมฆา

พันธกานต์ปราณอัคคี

สายตามั่วชิงเฉินตกไปอยู่บนธนูสีดำนั่น

 

 

ปีกธนูทำจากไม้หม่อน ขัดจนมนลื่นเป็นเงา ราวกับเคลือบสีใสไว้ชั้นหนึ่ง ด้านในติดแผ่นเขาวัวสีขาวไว้ ด้ามธนูพันด้วยไหมสีครามอย่างหนาแน่นและทั่วถึง

 

 

ธนูสลักยันต์ที่เห็นไม่ชัดไว้ทั้งคัน เมื่อมองผ่านๆ กลับเหมือนประดับลวดลายอย่างประณีตไว้

 

 

มั่วชิงเฉินรับมาลองง้างยิงดู ไม่คิดว่าจะมีเสียงมังกรคำรามขึ้นเป็นระลอก บนสายธนูมีคลื่นแสงวิญญาณรางๆ

 

 

ยังไม่ได้ทำการหลอมโลหิตขึ้นสุดท้าย มั่วชิงเฉินก็รู้สึกได้ว่านี่คือคู่หูที่ตนค้นหามาแสนนาน จะอยู่เคียงกันไปชั่วชีวิต

 

 

ธนูยาวคันนี้ ไม่มีสักที่ที่ไม่ถูกใจเลย

 

 

ยกตามองเส้นเลือดฝอยในตาเยี่ยเทียนหยวน มั่วชิงเฉินถ้าบอกว่าไม่ซาบซึ้งก็เป็นการหลอกตนเองและหลอกคนอื่นเท่านั้น นางไม่โง่ การที่เยี่ยเทียนหยวนเร่งหลอมธนูยาวออกมาเช่นนี้ ก็เพื่อเหลือเวลาให้นางได้ทำการหลอมโลหิตขั้นสุดท้าย และทำความคุ้นเคยกับสมบัติวิเศษเจ้าชะตาก่อนร่วมศึก

 

 

“ศิษย์พี่ลั่วหยาง ธนูคันนี้เหมือนกับที่ชิงเฉินคิดไว้ในใจทุกอย่าง ขอบคุณท่านมากเหลือเกินจริงๆ

 

 

เยี่ยเทียนหยวนเม้มริมฝีปากบาง ยื่นศรสองอันไป อันหนึ่งเป็นสีทอง อันหนึ่งเป็นสีฟ้า ปีกศรเป็นขนหางสีฟ้าทั้งคู่ ศรอันที่เป็นสีทองดูก็รู้ว่าใช้แก่นแร่เพชรหลอมทั้งอัน ส่วนสีฟ้ามีเพียงหัวศรใช้แก่นแร่เพชร ก้านศรใช้ก้านบัวหิมะเหมันต์

 

 

“ศิษย์น้องชิงเฉิน นี่คือศรทองคำและศรเหมันต์ ขนหางสีฟ้าที่เหลือและแก่นแร่เพชรเล็กน้อย หากวันหลังเจ้ามีวัตถุดิบที่เหมาะสมแล้ว ข้าค่อยช่วยเจ้าหลอมอีก”

 

 

มั่วชิงเฉินเพียงแต่รับศรสองอันไป วัตถุดิบที่เหลือกลับไม่ได้เอา ลังเลครู่หนึ่งยังคงทำหน้าหนาว่า “ศิษย์พี่ลั่วหยาง จู่ๆ ศิษย์น้องก็นึกขึ้นได้ว่ายังมีวัตถุดิบอีกหนึ่งอย่าง อยากรบกวนท่านอีกสักที” พูดพลางยื่นกิ่งท้อไปกิ่งหนึ่ง

 

 

ก่อนหน้านี้ไม่นาน ต้นท้อกลายพันธุ์ในสวนยาพกพาต้นนั้นในที่สุดก็อายุหมื่นปีแล้ว ที่เหนือความคาดหมายคือต้นท้อเฒ่าที่ไม่ผลิดอกออกผลมาตลอดกลับมีผลท้ออ่อนๆ ออกมา

 

 

แม้ดูแล้วยังไม่สามารถกินได้ มั่วชิงเฉินกลับคาดหวังขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว

 

 

เดิมทีนางก็คิดจะหลอมศรไม้ท้ออันหนึ่ง เรื่องเดียวไม่รบกวนสองคน ในเมื่อเยี่ยเทียนหยวนมาแล้ว ก็ได้แต่ทำหน้าหนาขอร้องเขาอีกครั้ง หลังจากหลอมเสร็จใช้สุราทิพย์น้ำผึ้งวิญญาณตอบแทนก็แล้วกัน

 

 

เยี่ยเทียนหยวนรับกิ่งต้นท้อมา นิ้วมือเรียวยาวลูบไล้ทีหนึ่ง มองไปที่มั่วชิงเฉินว่า “ไม้ท้อหมื่นปี?”

 

 

“อืม” มั่วชิงเฉินพยักหน้า

 

 

เยี่ยเทียนหยวนไม่พูดมากอีก พยักหน้าว่า “ได้” พูดจบก็เก็บกิ่งต้นท้อและวัตถุดิบที่เหลืออย่างอื่นขึ้นมา

 

 

ต่อจากนั้น เขาเตือนมั่วชิงเฉินอีกถึงที่ที่ต้องระวังยามหลอมโลหิตสมบัติวิเศษเจ้าชะตา เห็นนางเข้าใจแล้ว จึงว่า “ศิษย์น้องชิงเฉิน เช่นนั้นข้ากลับไปก่อนแล้ว ศรไม้ท้อ อีกเจ็ดวันให้หลังมอบให้เจ้า”

 

 

“ศิษย์พี่ลั่วหยาง” เห็นเขาไปอย่างเด็ดขาด มั่วชิงเฉินรีบเรียกไว้

 

 

เยี่ยเทียนหยวนหันหน้ามา สีหน้าเยือกเย็นราวกับแสงที่สาดส่องลงจากจันทราในคืนเหมันต์ มุมปากกลับกระดกขึ้นแผ่วเบา

 

 

“ศิษย์พี่ลั่วหยาง ศรไม้ท้อไม่ต้องรีบปานนั้น ข้าหลอมสมบัติวิเศษเจ้าชะตายังต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง ท่านพักผ่อนดีๆ สักสองสามวันก่อนเถอะ ใช่แล้ว ธนูวิเศษคันนี้ศิษย์พี่เป็นผู้หลอม จะขอให้ศิษย์พี่ตั้งชื่อให้มันได้หรือไม่?” มั่วชิงเฉินรอยยิ้มสะอาดบริสุทธิ์ แววตาในดวงตาดอกท้อก่อริ้วคลื่น

 

 

เยี่ยเทียนหยวนดูเหมือนคาดไม่ถึงเล็กน้อย พักใหญ่ๆ ถึงเอ่ยว่า “ชิงอิ่น ชื่อชิงอิ่นเป็นเช่นไร?”

 

 

“ชิงอิ่น?” มั่วชิงเฉินบ่นพึมพำ หลุบตากวาดมองชุดยาวสีเขียวของตนแล้วยิ้มว่า “ธนูชิงอิ่น ชื่อนี้ไม่เลวทีเดียว ขอบคุณศิษย์พี่ลั่วหยาง”

 

 

ทว่าพอยกตาพบว่าเยี่ยเทียนหยวนก็ใส่ชุดเขียวเช่นกัน จู่ๆ ก็นึกถึงว่าหลายปีมานี้ เขาดูเหมือนใส่ชุดสีเขียวมาตลอด ก็ถอนใจขึ้นมาอีก

 

 

“ศิษย์น้อง…มั่ว หากไม่มีอะไรแล้ว ลั่วหยางขอตัวก่อน” เยี่ยเทียนหยวนเห็นมั่วชิงเฉินสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย เหมือนลอบเห็นความคิดที่แอบซ่อนอยู่ส่วนนั้น จึงรีบหนีหัวซุกหัวซุน

 

 

มั่วชิงเฉินชะงักงัน หันหลังเดินกลับ ก็เห็นอีกาไฟอุ้มขวดน้ำเต้าสุราใบหนึ่งบินผลุบๆ โผล่ๆ มาพอดี แล้วมองนางยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

 

 

อีกาตัวหนึ่งยิ้มขึ้นมาเป็นเช่นไร หากคนอื่นไม่เข้าใจ มั่วชิงเฉินสามารถบอกเขาได้อย่างชัดเจนด้วยคำสองคำ “กวนประสาท!”

 

 

แน่นอนบัดนี้นางเป็นนักพรตระดับก่อแก่นปราณแล้ว ความอดทนดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก เห็นดังนั้นจึงแค่ค้อนตาคว่ำเท่านั้น

 

 

อีกาไฟกลับเหมือนไม่เห็น อุ้มขวดน้ำเต้าสุราสีเหลืองดื่มอึกหนึ่ง แล้วจื้ดๆ ว่า “เป็นสุราดีจริง ๆ เลย”

 

 

มั่วชิงเฉินไม่สนใจยกเท้าก็จะไป แต่จู่ๆ ก็หยุดลงอีก กวาดมองขวดน้ำเต้าสุราสีเหลืองในอกอีกาไฟว่า “อู๋เย่ว์ เจ้าเคยพูดอะไรกับนักพรตลั่วหยางมาก่อนใช่หรือไม่?”

 

 

อีกาไฟกรอกตาทีหนึ่ง แล้วกะพริบตาว่า “ไม่มีนี่นา”

 

 

“จริงหรือ?” มั่วชิงเฉินเดินเข้ามาก้าวหนึ่ง

 

 

อีกาไฟดึงปีกข้างหนึ่งออกมาลูบหัวว่า “ไอยา ไม่ไหว คนเขาเมาแล้ว ไม่คุยแล้วนะ”

 

 

พูดพลางบินโซซัดโซเซหนีไปแล้ว ทว่าความเร็วกลับเร็วกว่าดาวตกอีก

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มอย่างจนด้วยคำพูด เดินเข้าห้องฝึกยุทธนั่งขัดสมาธิ แล้วหยิบธนูชิงอิ่นออกมาวางไว้ด้านหน้า

 

 

การหลอมโลหิตฟังแล้วน่าสยอง ที่จริงคือขั้นตอนสุดท้ายในการหลอมสมบัติวิเศษเจ้าชะตาทั้งหมดเท่านั้น

 

 

หากเป็นนักบำเพ็ญเพียรที่ชำนาญการหลอมอาวุธ ยามที่เขาหลอมสมบัติวิเศษเจ้าชะตาด้วยตนเอง ขั้นตอนนี้ก็ทำเสร็จในรวดเดียว ทว่านักบำเพ็ญเพียรที่ชำนาญการหลอมอาวุธอย่างไรเสียก็มีจำนวนน้อยมากนักบำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่ล้วนไหว้วานนักหลอมอาวุธหรือสหายผู้อาวุโสที่เชื่อถือได้ให้ช่วยเหลือ

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็จำเป็นต้องหลอมปราณแห่งแก่นแท้โลหิตของตนเข้าสมบัติวิเศษ ถึงจะกลายเป็นสมบัติวิเศษเจ้าชะตาได้อย่างแท้จริง นับแต่นี้เชื่อมไว้กับดวงจิตของนักบำเพ็ญเพียร ไม่แยกจากกัน

 

 

ตามการชี้แนะของเยี่ยเทียนหยวน มั่วชิงเฉินโคจรพลังวิญญาณสัมผัสธนูชิงอิ่น จากนั้นธนูชิงอิ่นเปล่งแสงวิญญาณรางๆ ลอยเคว้งอยู่บนฟ้า

 

 

ดีดปลายนิ้ว เพลิงแก้วใจกระจ่างช่อหนึ่งบินเข้าด้านล่างธนูชิงอิ่น เปลวไฟโหมกระหน่ำลุกขึ้นในพริบตา ห้อมลอมธนูชิงอิ่นไว้ภายใน

 

 

รอจนถึงธนูชิงอิ่นเริ่มสั่นเทาอยู่บนฟ้า ดูเหมือนจะดิ้นให้หลุดจากการห้อมล้อมของไฟจริง มั่วชิงเฉินรู้ว่าถึงเวลาแล้ว

 

 

ปลายนิ้วแตะกลางหว่างคิ้ว ของเหลวใสรูปร่างเหมือนหยดน้ำหยดหนึ่งกลิ้งตกลงในมือ จากนั้นถูกนางดีดเข้าในเปลวไฟ

 

 

เสียงชวู่ดังขึ้นสองสามที มีปราณสีขาววนเวียนอยู่ในเปลวไฟ

 

 

ตามติดจากนั้น มั่วชิงเฉินบีบโลหิตหยดหนึ่งออกจากปลายนิ้วกลางข้างซ้ายแล้วดีดเข้าข้างใน

 

 

ทีนี้ ไฟจริงที่เดิมทีลุกไหม้อย่างเงียบๆ จู่ๆ แสงสีฟ้าจ้าขึ้น ธนูชิงอิ่นพลิกหมุนอยู่ในนั้น เหมือนถูกต้มจนเดือดอย่างไรอย่างนั้น

 

 

ขั้นตอนนี้ดำเนินอย่างต่อเนื่องไปสามวันเต็มๆ ธนูชิงอิ่นที่อยู่ในไฟจู่ๆ ก็มีเสียงคำรามของมังกรดังขึ้น จากนั้นไม่คิดว่าจะแปลงเป็นมังกรเจี่ยวสีดำ พุ่งไปมาอยู่ในทะเลเพลิง

 

 

มั่วชิงเฉินรีบตีเคล็ดวิชานิ้วที่ซับซ้อนอย่างไม่มีอะไรปานออกไป เคล็ดวิชานิ้วนี้เยี่ยเทียนหยวนเป็นคนบอกนางเอง เมื่อถึงยามนี้ ก็คือโอกาสดีในการเก็บสมบัติวิเศษเจ้าชะตาแล้ว

 

 

เคล็ดวิญญาณมากมายหายเข้าไปในมังกรเจี่ยวสีดำกลางเปลวไฟ เมื่อเคล็ดวิญญาณสายสุดท้ายหายเข้าไป จู่ๆ มังกรเจี่ยวตัวนั้นก็แหงนหน้าคำราม จากนั้นพุ่งออกจากทะเลเพลิงตกลงในมือมั่วชิงเฉิน

 

 

มั่วชิงเฉินเพ่งมอง ใช่มังกรเจี่ยวสีดำที่ไหน เป็นเพียงธนูยาวสีดำที่แสงวับๆ แวมๆ นิ่งสงบไร้เสียงคันหนึ่งเท่านั้น

 

 

ความรู้สึกที่ประหลาดมากส่งผ่านมา ราวกับเมื่อนางเพ่งจิต ธนูยาวคันนี้ก็จะขยับตาม ความรู้สึกเช่นนี้ เป็นความรู้สึกที่สมบัติวิเศษทั้งหมดที่มีรวมทั้งไหมเกล็ดน้ำแข็งก็ไม่อาจให้นางได้

 

 

ลูบอักษร ‘ชิงอิ่น’ เล็กๆ สองคำที่อยู่ด้านในปีกคันธนูพลาง มั่วชิงเฉินยิ้มอย่างอ่อนโยน นี่คือสมบัติวิเศษเจ้าชะตาของนาง นับแต่นี้จะฆ่าฟัน ฝึกฝน ดูวิวทิวทัศน์ตามทางเป็นเพื่อนนาง

 

 

มั่วชิงเฉินขยับมือ ธนูชิงอิ่นแปลงเป็นแสงสีเขียวสายหนึ่งหายเข้าร่างกาย

 

 

สมบัติวิเศษเจ้าชะตาเพิ่งหลอมสำเร็จ ยังจำเป็นต้องเลี้ยงอย่างอบอุ่นอยู่ในตันเถียนสักระยะถึงสามารถเอาออกมาฝึกฝน เวลามีค่า นางเอาก้อนอิฐแหวกฟ้าออกมาศึกษาต่อ

 

 

พริบตาเดียวผ่านไปหลายวัน เยี่ยเทียนหยวนส่งศรไม้ท้อที่หลอมเสร็จมาแล้ว

 

 

เพื่อเป็นการขอบคุณ มั่วชิงเฉินมอบสุราทิพย์และน้ำผึ้งดอกท้อให้ไม่น้อย และที่แปลกคือ เยี่ยเทียนหยวนกลับไม่เอาขวดน้ำเต้าสีเงินแม้แต่ใบเดียว เอาเพียงขวดน้ำเต้าสีชมพูเข้มที่ใส่น้ำค้างดอกเหมยและขวดน้ำเต้าสีเหลืองเท่านั้น

 

 

มั่วชิงเฉินไม่ได้พูดอะไรมาก หลังจากรอเขาจากไปแล้วกลับถลึงตาอย่างดุดันใส่อีกาไฟปราดหนึ่ง

 

 

วันเวลาต่อจากนั้นสงบราบเรียบ มั่วชิงเฉินทำความคุ้นเคยกับสมบัติวิเศษเจ้าชะตา สองเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว วันที่ต้องออกศึกมาถึงแล้ว

 

 

ครั้งนี้เหลียงเฉินก็ขอไปด้วย มั่วชิงเฉินคิดๆ แล้ว นางคงหลบอยู่ใต้ปีกตลอดชีวิตไม่ได้ ทางอย่างไรก็ต้องไปบุกด้วยตนเอง จึงพยักหน้าอนุญาตแล้ว

 

 

เหม่ยจิ่งเพราะยังไม่ทะลวงสร้างรากฐาน จึงให้อยู่เฝ้าเขา

 

 

เหลียงเฉินดีใจกระโดดโลดเต้น เก็บข้าวของอย่างตื่นเต้น มั่วชิงเฉินเพราะไม่ใช่ครั้งแรก ผ่านศึกที่ไร้น้ำใจและพายุมานานแล้ว ในใจไม่มีคลื่นลมสักนิด

 

 

เพียงแต่คิดว่ากำลังจะได้พบคนที่คุ้นเคยบางคน รู้สึกดีใจเล็กน้อย

 

 

ก่อนวันเตรียมออกเดินทางนั่นเอง จู่ๆ ก็มีศิษย์ผู้ดูแลท่านหนึ่งมาขอพบที่เขาลั่วเถา

 

 

มั่วชิงเฉินปิดค่ายกลปล่อยเขาเข้ามา ศิษย์นั่นเห็นหน้าก็คารวะว่า “ศิษย์ขอคารวะท่านผู้เฒ่าชิงเฉิน”

 

 

มั่วชิงเฉินบอกให้เขาลุกขึ้นว่า “ศิษย์หลานไม่ต้องมากพิธี ไม่ทราบมาด้วยเหตุอันใด?”

 

 

ศิษย์ผู้ดูแลยื่นแผ่นหยกให้แผ่นหนึ่งอย่างนอบน้อมว่า “ท่านผู้เฒ่าชิงเฉิน วันนี้ศิษย์ที่รักษาประตูพบนกพิราบวิญญาณตัวหนึ่ง พบสิ่งนี้บนตัวมัน”

 

 

วิธีการส่งสารในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรทั่วไปคือยันต์ส่งสาร ทว่านี่ส่งสารได้เพียงระยะใกล้เท่านั้น ห่างกันเกินไปล่ะก็จะไม่สามารถทำได้

 

 

สิ่งที่สามารถส่งสารระยะไกลหนึ่งคือยันต์ส่งสารหมื่นลี้ สองก็คือพิราบวิญญาณแล้ว

 

 

ยันต์ส่งสารหมื่นลี้ล้ำค่ากว่า อีกอย่างยังมีข้อจำกัดทางระยะทางอยู่ดี ส่วนใหญ่ที่ใช้ล้วนเป็นพิราบวิญญาณ

 

 

พิราบวิญญาณแม้ไม่ค่อยปลอดภัย มีโอกาสที่จะถูกคนอื่นสอยร่วงระหว่างทาง ทว่าแผ่นหยกที่ใช้เขียนจดหมายกลับเป็นของที่ทำขึ้นเป็นพิเศษ หากไม่ใช่คนที่ถูกชี้เฉพาะดู คนอื่นเมื่อยื่นจิตตระหนักปุ๊บก็จะระเบิดออก นานวันเข้า นอกจากนักบำเพ็ญเพียรที่ว่างไม่มีอะไรทำอีกทั้งจิตใจบิดเบี้ยว คนปกติจะไม่มีใครไปดักพิราบวิญญาณตามใจ

 

 

มั่วชิงเฉินยื่นมือรับมา บนแผ่นหยกเขียนว่า “ถึงมั่วชิงเฉินเหยากวง” ไม่กี่คำไว้จริงๆ

 

 

“ขอบคุณศิษย์หลานแล้ว” มั่วชิงเฉินพูดจบติดมือยื่นโอสถขวดหนึ่งที่นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานใช้ได้ออกไป ศิษย์ผู้ดูแลยื่นมือรับแล้วถอยลงไปด้วยสีหน้ายินดี

 

 

“คุณหนู นี่คือสิ่งใดเจ้าคะ?” เหลียงเฉินเขยิบเข้ามา ในตาฉายแววอยากรู้อยากเห็น

 

 

“นี่คงพิราบวิญญาณส่งสาร” มั่วชิงเฉินพูดติดปาก แต่ไม่ได้รีบร้อนไปดู ในใจแอบคิดไว้สองสามคน กลับคิดไม่ออกว่าตกลงเป็นใครกันแน่

 

 

“เอ๊ะ คุณหนู ข้าดูแผ่นหยกนี้ เหมือนของตระกูลหวังแห่งทะเลขนาบใจมากนะเจ้าคะ” เหม่ยจิ่งลังเลว่า

 

 

มั่วชิงเฉินฟังแล้วสนใจขึ้นมา ตั้งแต่ยามที่นางกลับมาก็ถามสาวใช้สองคนแล้ว โอสถอายุวัฒนะนั่นได้มอบให้หัวหน้าตระกูลหวังอย่างราบรื่นแล้ว หากยามนี้ตระกูลหวังส่งจดหมายมาจริง เป็นเพราะอะไรอีกนะ หรือว่าพี่สิบสี่…

 

 

นึกถึงตรงนี้ไม่ลังเลอีก รีบยื่นจิตตระหนักเข้าไป

 

 

อ่านรายละเอียดในนั้นเสร็จ พึมพำว่า “ที่แท้เขาเอง”