ตอนที่ 101 หญิงชราไร้ยางอาย
หลีหลางจงเท้าแดงอาศัยอยู่ในหมู่บ้านอาวสือซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณเจ็ดหรือแปดลี้ ชาวบ้านในหมู่บ้านใกล้เคียงต่างตบเท้ามาให้เขารักษาเมื่อมีอาการปวดศีรษะหรือมีโรคไข้สมองอักเสบ ซึ่งหลีหลางจงถูกชาวบ้านยกย่องให้เป็นหมอเทวดา เนื่องจากเขาสามารถรักษาผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยไปถึงขั้นรุนแรงให้หายขาดได้
ภายในเวลาสองก้านธูป หยุนลี่เต๋อก็เดินทางมาถึงบ้านของหลีหลางจงเพื่อเชิญเขาไปที่บ้านตระกูลหยุน
หลีหลางจงคือหมอเฒ่าอายุห้าสิบกว่าปี ร่างกายผอมบาง เมื่อทราบเรื่องราว พวกเขาทั้งสองคนจึงออกเดินทางอย่างรีบร้อนและกึ่งเดินกึ่งวิ่งตลอดทาง
ภายในเรือนตระกูลหยุน ทุกคนมารวมตัวที่ห้องนอนของผู้เฒ่า
หญิงชรานั่งเอนกายพิงหัวเตียงพลางเอามือจับหน้าอกพร้อมร้องโอดครวญ “โอ๊ย… โอ๊ย”
แม่นางจ้าว แม่นางเฉิน หยุนลี่จง และผู้เฒ่าหยุนยืนทำท่าทางเก้กังอยู่ข้างเตียงนอน
หยุนชิ่วเอ๋อถือแก้วน้ำในมือพร้อมกล่าว “ท่านแม่ ดื่มน้ำก่อนเจ้าค่ะ”
แม่เฒ่าจูยันกายขึ้นนั่งเพื่อจิบน้ำ “อึก ๆ”
หยุนเชวี่ย มารดา และพี่น้องทั้งสองคนยืนอยู่ตรงบริเวณประตูและมองเข้าไปในห้อง นางเห็นกับตาตนเองว่าแม่เฒ่าจูไม่ได้แสร้งป่วย ไม่อย่างนั้นคงมีแรงสาปแช่งพวกนาง
“น้องรองออกไปตามหมอนานแล้วยังไม่กลับมาอีกหรือ ท่านแม่จะทนพิษไข้ไม่ไหวแล้ว” แม่นางจ้าวชะเง้อมองด้านนอกบ้านพลางบ่นอุบ
“กว่าลุงใหญ่จะออกไปตามหมอ ท่านพ่อก็วิ่งไปไปไกลกว่าสองลี้แล้ว” หยุนเชวี่ยพึมพำออกมา ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดในห้องได้ยินเสียงของนาง
แม่นางเหลียนรีบปรามลูกสาว
“เจ้าพูดเรื่องอะไร ลุงของเจ้าเป็นบัณฑิตเขาจึงมีร่างกายอ่อนแอ และตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว เจ้าจะให้ข้าทำอย่างไรเล่า?” แม่นางจ้าวเหลือบมองหยุนเชวี่ยด้วยสายตาเย็นชา
หยุนเชวี่ยยังไม่ทันอ้าปากเถียงกลับ แม่นางเหลียนก็ใช้มือปิดปากนางพร้อมเอ่ยเตือนเสียก่อน “อย่าก่อปัญหา”
“นังเด็กก้าวร้าว เจ้ากล้าทำตัวไร้มารยาทต่อหน้าย่าของเจ้ารึ! พ่อแม่ไม่สั่งสอน!” หยุนชิ่วเอ๋อด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคาย
นางไม่ได้ต่อว่าแม่นางจ้าวโดยตรง แต่ใช้วาจากระแนะกระแหนโดยแสร้งว่าตำหนิหยุนเชวี่ย
เด็กหญิงตัวเล็กคนนี้ตั้งตนเป็นปฏิปักษ์ต่อหยุนชิ่วเอ๋อในทุกเรื่อง อีกทั้งนางยังทำลายถังเก็บน้ำและสาดมันไปทั่วหมู่บ้าน หยุนชิ่วเอ๋อได้ยินมาว่าช่วงนี้นางตามติดเฟิงซิ่วไฉ และเรียกเขาว่า ‘พี่่สือยวิน’ ตลอดทั้งวันด้วยใบหน้าระรื่น!
ตระกูลเฟิงนับว่าตระกูลที่มีฐานะร่ำรวย เฟิงสือยวินเป็นชายหนุ่มรูปร่างหน้าตาหล่อเหลา อีกทั้งยังมีพรสวรรค์และมากความสามารถ หยุนชิ่วเอ๋อพลันนึกสงสัยว่าจะมีหญิงสาวในสิบลี้แปดหมู่บ้านสักกี่คนที่ไม่ตกหลุมรักเขา
ระหว่างฤดูใบไม้ผลิ แม่นางจ้าวได้ทำตามคำสั่งของหยุนชิ่วเอ๋อและไปที่บ้านของตระกูลเฟิงในฐานะแม่สื่อเพื่อไปทาบทามลูกชายของพวกเขา
แต่ใครจะรู้ว่านอกจากไม่มีผู้ใดชื่นชมการกระทำนี้ นางยังถูกแม่นางหยางปฏิเสธโดยกล่าวว่า “สือยวินยังเด็ก เขาต้องมุ่งความสนใจไปที่การเรียนก่อน”
การปฏิเสธครั้งนี้ทำให้หยุนชิ่วเอ๋อรู้สึกเสียหน้ายิ่งนัก เพราะนอกจากนางแล้วแม่สื่อจากตระกูลอื่น ๆ ก็ได้มาคุยเรื่องหมั้นหมายกับตระกูลเฟิงเช่นกัน
ทว่าเฟิงสือยวินปฏิเสธการหมั้นหมายจากแม่สื่อของหญิงสาวคนอื่นเช่นกัน ดังนั้นหยุนชิ่วเอ๋อจึงรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย…
อย่างน้อยผู้อื่นก็เผชิญชะตากรรมเดียวกับนาง
แล้วตอนนี้เล่า?
หยุนเชวี่ยใช้ข้ออ้างเรื่องไปส่งเสี่ยวอู่เรียนตำราที่ตระกูลเฟิงทุกวัน เพื่อหาโอกาสประจบประแจงเฟิงซิ่วไฉตลอดทั้งงวัน อายุยังน้อยแต่กลับมีร้อยเล่ห์มารยา ไร้ยางอายยิ่ง!
หยุนชิ่วเอ๋อขบฟันแน่นด้วยความโกรธ ‘เพล้ง…’ นางโยนแก้วน้ำในมือทิ้ง ซึ่งเป็นดั่งคำโบราณว่า ‘ความรักทำให้คนอ่อนแอ’ ฉับพลันหยุนลี่เต๋อก็วิ่งพรวดเข้ามาในห้องนอน บนบ่าของเขามีกล่องเครื่องมือแพทย์ห้อยอยู่
“ละ หลีหลางจงมาถึงแล้ว! ท่านหลีหลางจงรีบมาดูแม่ของข้าเถิด”
“ขะ ขอข้าหายใจหน่อย… ข้าไม่เคยถูกเรียกให้ไปรักษากลางดึกอย่างเร่งรีบเช่นนี้มาก่อน ข้าขอพักหายใจสักครู่…”
หลีหลางจงหอบหายใจอย่างหนัก เสื้อผ้าของเขาหลุดลุ่ยไม่เรียบร้อย แขนเสื้อข้างหนึ่งถูกพับขึ้นสูง ส่วนอีกข้างหนึ่งถูกปล่อยลงมา
“โอ๊ย ๆ เจ็บเหลือเกิน” เมื่อแม่เฒ่าจูเห็นว่าหมอมาถึงแล้ว นางจึงเอามือแตะศีรษะพลางร้องโอดครวญ
“วินาทีความเป็นตาย! เจ้ายังชักช้าอยู่รึ?” หยุนลี่จงก้าวไปข้างหน้าพร้อมกล่าวตำหนิ
หมอเฒ่ามีท่าทีไม่พอใจเล็กน้อย
“ท่านหลีหลางจง ข้าขออภัยที่เสียมารยาทขอรับ ข้าจะไปรินน้ำชามาให้ดื่มดับกระหาย ท่านเชิญตรวจอาการของท่านแม่ก่อนขอรับ นางชรามากแล้วกลัวว่าจะทนอาการเจ็บป่วยไม่ไหว” หยุนลี่เต๋อกล่าวขอโทษอย่างรวดเร็ว
หมอเฒ่าไม่เอ่ยคำใด ทว่ายังคงจ้องมองหยุนลี่จงด้วยสายตาไม่พอใจก่อนนั่งลงบนเตียงเพื่อตรวจสอบอาการป่วยของแม่เฒ่าจู
เขาตรวจร่างกายอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม
“ไม่กี่วันมานี้มีอาการอย่างไรบ้าง?” หลีหลางจงเอ่ยถาม
หญิงชราคร่ำครวญพร้อมจับหน้าอก
“ท่านมาที่นี่เพื่อรักษา ไม่ได้มาเพื่อถาม” หยุนลี่จงกล่าวด้วยความรีบร้อน
“แม้แต่หมอฮัวผู้อัจฉริยะยังต้องสอบถามอาการผู้ป่วย หากเจ้าร้อนรนจนทนไม่ไหวก็มารักษาเองสิ!” หลีหลางจงกล่าวด้วยความโมโหพลางเผยสีหน้าโกรธเคือง
หยุนลี่จงขมวดคิ้วอย่างโกรธจัด
“ท่านแม่ขอรับ หมอถามว่าช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาท่านมีอาการผิดปกติอย่างไรบ้าง? ท่านแม่บอกท่านหมอตามความจริงเลยขอรับ” หยุนลี่เต๋อกล่าวตัดบท
“เฮ้อ…” หญิงชราถอนหายใจ “ข้าจะไม่มีวาสนาใช้ชีวิตอย่างสงบสุขสักวันเลยรึ! ข้าอยากตายไปเสียให้สิ้นเรื่อง! เหตุใดข้าถึงไม่ตายไปสักที!”
ครั้งนี้นางไม่ได้ก่นด่าด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเหมือนที่ผ่านมา ทว่าเป็นน้ำเสียงตัดพ้อและโศกเศร้าของคนป่วย
“เฮ้อ…” ผู้เฒ่าหยุนถอนหายใจขณะเผยสีหน้าถมึงทึง
“มีอาการแน่นหน้าอกและใจสั่นที่เกิดจากความเมื่อยล้าของตับ” หลีหลางจงจับชีพจรของแม่เฒ่าจู “ดื่มยาต้มเพื่อช่วยบำรุงตับ ควบคุมลมปราณ และขจัดลิ่มเลือดสักสองสามวัน อีกทั้งทำใจให้สบายอย่าโกรธ กังวล และหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด”
จากนั้นเขาจึงหยิบกระดาษสีเหลืองออกจากกล่องเครื่องมือแพทย์และคลี่มันออก ก่อนเขียนรายการยาลงไป
หยุนเชวี่ยยืนเขย่งปลายเท้าพลางเอียงศีรษะด้วยความสงสัย
แน่นอนว่าตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าหมอแผนปัจจุบันหรือหมอชาวบ้านต่างใช้ใบสั่งยาเพื่อจดรายการยาที่คนไข้ต้องกินให้แก่ครอบครัวของพวกเขา
“ท่านต้องกินรากบัว หัวไชเท้า และซานจา” หลีหลางจงสะบัดกระดาษฟางก่อนยื่นให้หยุนลี่เต๋อ จากนั้นถูนิ้วโป้งกับนิ้วชี้เบา ๆ “ค่ารักษาสามสิบเหรียญ”
“หา?!” หยุนลี่จงอุทานออกมาทันทีที่ได้ยินคำว่าสามสิบเหรียญ “แค่เขียนใบสั่งยาและจับตรงนั้นที ตรงนี้ที เจ้าก็คิดค่ารักษาสามสิบเหรียญเลยหรือ?!”
“ครอบครัวของข้าไม่ได้ร่ำรวยถึงขนาดให้เจ้าปอกลอก ข้าไม่จ่าย!” แม่เฒ่าจูยันกายขึ้นนั่งพลางด่าทอราวกับว่าชีวิตนี้จะไม่มีโอกาสทำมันอีกแล้ว
“ครอบครัวของเจ้าบ้ากันไปหมดแล้ว เจ้าเรียกข้ามารักษากลางดึก ระยะทางไปกลับก็มากกว่าสิบลี้ แต่พวกเจ้ากลับบอกว่าไม่จ่ายรึ!” หลีหลางจงใช้ฝ่ามือตบลงบนโต๊ะอย่างโกรธเคือง “ข้าไม่เคยพบเจอคนตระหนี่เช่นพวกเจ้ามาก่อน!”
“หากอาการข้ามันย่ำแย่ก็ปล่อยให้ข้าตายเสียเถิด! ข้าอยากตาย!” แม่เฒ่าจูเหยียดขาก่อนแสร้งชักดิ้นชักงอ
“เจ้า…” หลีหลางจงส่ายศีรษะขณะปิดกระเป๋าเครื่องมือแพทย์ “ข้าเป็นหมอมาสามสิบกว่าปี รักษาคนมากมายในสิบลี้แปดเมือง แต่ไม่เคยเจอผู้ใดมากความเท่าครอบครัวของพวกเจ้า! หากพวกเจ้าไม่มีเงินจริงๆ ก็อย่าไปขอให้ใครมารักษาล่ะ ตระกูลเจ้าช่าง…”