ตอนที่ 102 น่าขยะแขยง

หลีหลางจงโกรธจัดจนไม่สามารถสรรหาคำใดมากล่าวได้ หลีหลางจงจ้องเขม็งไปที่หยุนลี่จงในขณะที่ร่างกายสั่นเทาด้วยความโมโห

“เจ้าต้องการสามสิบเหรียญสำหรับกระดาษใบนี้หรือ นี่…” หยุนลี่จงกระชากกระดาษฟางสีเหลืองจากมือของหยุนลี่เต๋อก่อนขมวดคิ้วพร้อมสะบัดกระดาษ “นี่คืออะไร? ข้าเป็นบัณฑิต ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังหลอกลวงข้า!”

หลีหลางจงนิ่งเงียบกักเก็บความโกรธไว้ เพราะกลัวว่าอาการของแม่เฒ่าจูจะทรุดหนักลง อีกทั้งยังไม่อยากให้ความโกรธเข้าครอบงำจนขาดสติ

“ได้! ถือเสียว่าข้ารักษาให้พวกขอทานก็แล้วกัน!” หลีหลางจงตบต้นขาอย่างแรงก่อนเดินลุกยืนขึ้นสะพายกล่องเครื่องมือแพทย์

“อะไรนะ! เจ้าเรียกใครว่าขอทาน? ครอบครัวของเราไม่ต้องพึ่งพาเจ้า!” หยุนลี่จงล้วงเงินห้าเหรียญออกมาจากกระเป๋าเงิน “ค่ารักษา”

“เจ้า… ฮึ่ม!” หลีหลางจงไม่โต้ตอบแต่กลับเผยสีหน้าบูดบึ้งและสะบัดแขนเสื้อก่อนเดินออกไป

หยุนลี่เต๋อรีบเดินตามออกไปทันที “ข้างนอกมืดแล้ว ท่านหลีหลางจง…”

“หึ ก็แค่นี้แหละ…” หยุนลี่จงเยาะเย้ยพลางเก็บเงินห้าเหรียญใส่กระเป๋าพลางพับใบสั่งยาอย่างภาคภูมิใจก่อนวางลงบนโต๊ะ “เจ้ารอง ทันทีที่ฟ้าสว่าง เจ้าจงรีบไปยังร้านขายยาและซื้อยาตามใบสั่งนี้มาสองชุด”

หยุนเชวี่ยตกใจกับการกระทำของหยุนลี่จงอย่างมาก

หยุนเชวี่ยไม่เข้าใจอย่างยิ่ง แม้จะพยายามทำความเข้าใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นมากเพียงใด แต่กลับเห็นเพียงข้อบกพร่องและความเห็นแก่ตัว

ผู้คนภายในห้องนี้ทั้งผู้เฒ่าหยุนเอาแต่นิ่งเงียบ แม่เฒ่าจู แม่นางจ้าว และหยุนซิ่วเอ๋อต่างเผยสีหน้าภาคภูมิใจที่ได้ประหยัดเงินสามสิบเหรียญ

ฉับพลันหยุนเชวี่ยรู้สึกไม่สบายตัวและคลื่นไส้ ดังนั้นนางจึงไม่อยากอยู่ร่วมกับทุกคนภายในห้องนี้แม้แต่วินาทีเดียว

“ท่านแม่ชรามากแล้ว ท่านต้องมีความสุขมาก ๆ นะเจ้าคะ…” แม่นางจ้าวกล่าวเกลี้ยกล่อมแม่เฒ่าจูด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

หยุนเชวี่ยรีบเดินออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว ก่อนสูดอากาศเย็นยามค่ำคืนเข้าเต็มปอดก่อนหายใจออกช้า ๆ

“เชวี่ยเอ๋อเป็นอะไรงั้นหรือ?” หยุนเยี่ยนเอ่ยถาม

“ข้ารู้สึกคลื่นไส้อยากอาเจียนน่ะ”

“หืม? เจ้ากินอาหารผิดสำแดงมาหรือ…”

“การกระทำของท่านลุงน่าขยะแขยงเกินไป” หยุนเชวี่ยไม่ต้องการเข้าไปในห้องนั้นอีก จึงเดินเข้าไปในบ้านของตนเองอย่างรวดเร็วก่อนล้มตัวนอนลงบนเตียง

หยุนเยี่ยนดึงผ้าห่มผืนบางขึ้นห่มให้น้องสาวพลางแตะหน้าท้องของนางเบา ๆ

ในขณะนี้การแสดงออก คำพูด และรูปลักษณ์ของหยุนลี่จงทำให้หยุนเชวี่ยรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง

“ลุงของเจ้า…” แม่นางเหลียนใช้ถ้อยคำสุภาพเพื่ออธิบายให้ลูกสาวเข้าใจ “ฉลาดเกินไป”

“ฉลาดรึเจ้าคะ?” หยุนเชวี่ยเบ้ปากด้วยความรังเกียจ “เขาเป็นคนเห็นแก่ตัว ทุจริต บิดเบือนปรัชญาสามทัศน์* ไม่มีบรรทัดฐาน ไม่มีศีลธรรม เอาแต่คุยโอ้อวดว่าตนเป็นบัณฑิต!”

*ปรัชญาสามทัศน์ หมายถึง ทัศนคติสามด้านซึ่งจำแนกออกเป็นทัศนคติต่อชีวิต ทัศนคติต่อโลกหรือโลกทัศน์ และทัศนคติต่อคุณค่าหรือค่านิยม

แม่นางเหลียน…

หยุนเยี่ยน…

ปรัชญาสามทัศน์คืออะไร? แล้วคุณธรรมคืออะไร?

แม้ไม่ค่อยเข้าใจนัก ทว่ามันคงไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่นอน

ท่ามกลางความมืดมิด ทันใดนั้นเสียง “อืม” พลันดังมาจากมุมห้อง

หยุนเชวี่ย “เสียงเสี่ยวอู่รึ?”

เสี่ยวอู่ “อืม”

หยุนเชวี่ย “ท่านลุงของเจ้าเป็นคนเลว อย่าเลียนแบบพฤติกรรมของเขาล่ะ หากคนแบบนี้ได้เป็นขุนนาง บ้านเมืองคงล่มจมแน่”

เสี่ยวอู่ตอบ “อืม”

‘ลุงของเจ้าต่างหาก!’ เสี่ยวอู่คิดในใจ

“เอาล่ะ แม่ว่าเราต้องคุยกันหน่อยแล้ว… ลุงใหญ่คือลุงของพวกเจ้าทุกคน” แม่นางเหลียนกังวลว่าหยุนลี่เต๋อจะกลุ้มใจหากได้ยินเรื่องนี้

หยุนเชวี่ยแค่นเสียงด้วยความรังเกียจ “หึ ข้าอับอายยิ่งนักที่มีเขาเป็นลุง”

เสี่ยวอู่ “อืม”

ครานี้แม้แต่หยุนเยี่ยนก็ส่งเสียง “อืม” เห็นด้วยกับน้องสาว

แม่นางเหลียน…

ไม่นานประตูบ้านของหยุนเชวี่ยก็เปิดออกและถูกปิดลงอย่างแผ่วเบา หยุนลี่เต๋อเดินเข้ามาในบ้านก่อนถอดรองเท้าและเข้านอนท่ามกลางความมืดมิด

“หลับแล้วหรือ?” หยุนลี่เต๋อกระซิบถามเมื่อเห็นว่าภรรยานอนนิ่ง

แม่นางเหลียนพลิกตัวพร้อมกล่าวตอบ “ยังเจ้าค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้น… ข้ามีเรื่องจะสารภาพ…” หยุนลี่เต๋อรู้สึกลังเลและไม่รู้จะเริ่มพูดว่าอย่างไร

ท่ามกลางความเงียบงัน แม่นางเหลียนได้ยินเสียงสามีถูฝ่ามืออันหยาบกระด้างเข้าด้วยกันอย่างลำบากใจ

แม่นางเหลียนหัวเราะคิกคัก “นี่… เหตุใดท่านถึงลำบากใจเล่า? ถึงท่านไม่บอกข้าก็รู้อยู่ดี”

หยุนลี่เต๋องุนงง

“ท่านจ่ายเงินสามสิบเหรียญให้หลีหลางจงใช่หรือไม่?”

“หึหึ…” หยุนลี่เต๋อพึมพำด้วยรอยยิ้ม “เหตุใดเจ้าถึงรู้ทันเล่า?”

“ท่านพี่คิดว่าข้าไม่รู้จักนิสัยท่านหรือ? ท่านยอมเสียเปรียบดีกว่าปฏิบัติต่อผู้อื่นแย่ ๆ”

แม้น้ำเสียงของแม่นางเหลียนจะเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง ทว่าแม่นางเหลียนยังคงเหยียดยิ้มอย่างอบอุ่น ดังนั้นหยุนลี่เต๋อจึงผ่อนคลายและหัวเราะออกมา “ท่านหลีหลางจงคิดค่ารักษาเพียงยี่สิบเหรียญเท่านั้น ข้ารู้สึกผิดมากที่ต้องให้เขาเดินทางไปกลับถึงสิบลี้โดยไม่ได้เงินกลับไปเลย ดังนั้นข้าจึงจ่ายเงินให้เขา…”

“ท่านพี่ช่าง…” แม่นางเหลียนไม่รู้จะเอ่ยคำใด

อารมณ์อ่อนไหวของหยุนลี่เต๋อนั้นคือจุดอ่อนของเขา ทว่าจุดอ่อนนั้นกลับทำให้แม่นางเหลียนหลงรักจากก้นบึ้งของหัวใจและรู้สึกสบายใจเมื่อได้อยู่ด้วยกัน

“ท่านพ่อเป็นคนดีมากเจ้าค่ะ!” หยุนเชวี่ยพลันตะโกนมาจากอีกด้านหนึ่งของผ้าม่าน

‘คนดี’ คนนี้ไม่ใช่ ‘ดีแต่เปลือกนอก’ อย่างแน่นอน หยุนลี่จงทำให้หยุนเชวี่ยรู้สึกอึดอัดเวลาอยู่ด้วย ส่วนหยุนลี่เต๋อเป็นผู้บรรเทาอาการคลื่นไส้ให้บรรเทาลงและสร้างความอบอุ่นให้แก่หัวใจของหยุนเชวี่ย

ราวกับว่ากำลังเดินผ่านดินแดนโสมม ทว่าทันใดนั้นทิวทัศน์ของภูเขาและน้ำทะเลใสก็ปรากฏตรงหน้า

“เชวี่ยเอ๋อยังไม่หลับอีกหรือ?” หยุนลี่เต๋อพลันรู้สึกอับอาย

สุดท้ายแล้วพ่อของหยุนเชวี่ยที่เป็นหัวหน้าครอบครัวกลับตัวสั่นงันงกต่อหน้าภรรยา หลังจากใช้จ่ายเงินยี่สิบเหรียญโดยไม่ได้รับอนุญาต อีกทั้ง…

ลูก ๆ ยังได้ยินคำสารภาพด้วย…

“พี่สาวก็ยังไม่หลับเหมือนกัน” หยุนเชวี่ยยกเท้าขึ้นสะกิดหยุนเยี่ยน

“อืม”

หยุนลี่เต๋อ…

“เสี่ยวอู่ก็ยังไม่หลับเหมือนกันนะเจ้าคะ”

“อืม”

หยุนลี่เต๋อตกตะลึง “พวกเจ้าเข้านอนกันได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องไปเรียนตำราและทำงานแต่เช้า!”

หยุนเชวี่ยรู้สึกว่าเปลือกตาของตนเริ่มหนักอึ้งเต็มทน เสียงไก่ขันพลันดังมาจากเล้าไก่

ท้องฟ้ายังคงมืดครึ้ม หยุนเชวี่ยจึงต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการตื่นนอน

สาเหตุที่หยุนเชวี่ยตื่นเช้าเช่นนี้ เนื่องจากภายในโถหมักยังมีลูกบ๊วยเหลืออยู่สิบห้าจิน ดังนั้นหยุนเชวี่ยต้องจัดมันใส่ห่อและรีบเตรียมตัวเข้าไปขายลูกบ๊วยที่ตลาดเช้าในเมือง

“เชวี่ยเอ๋อ” หยุนเยี่ยนยันกายขึ้นนั่งด้วยความงัวเงียพลางอ้าปากหาว “วันนี้ข้าจะไปช่วยเจ้า”

เวลาเช้ามืด เด็กสาวทั้งสองคนเดินเคียงกันไปยังบ้านของเหอยาโถวก่อนเคาะประตูเป็นจังหวะ “ก๊อก… ก๊อก”

หยุนเชวี่ยรู้ดีว่าเพื่อนคนนี้เป็นคนตื่นเช้า แต่ก็ไม่คิดว่าจะได้ยินฝีเท้าเดินมาทางประตูไม้หลังจากเคาะประตูเพียงสองครั้ง “เข้ามาสิ”

เหอยาโถวแต่งตัวอย่างประณีตราวกับจะไปเกี้ยวหญิง “ข้าตื่นนานแล้ว หากมาช้ากว่านี้ ข้าคงไปตามหาพวกเจ้าที่บ้าน!”

หยุนเชวี่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เจ้าชอบกลิ่นของเงินจริง ๆ หากเป็นเรื่องของเงินแล้ว เจ้าตื่นเช้ายิ่งกว่าไก่เสียอีก”

เหอยาโถวหัวเราะคิกคักขณะที่นัยน์ตาเปล่งประกาย พร้อมถูฝ่ามือเข้าด้วยกันอย่างตื่นเต้น “ไป ไปทำงานกันเถอะ!”

ลูกพลัมหมักในโถเหลือไม่มากแล้ว หยุนเชวี่ยหยิบลูกบ๊วยดองน้ำตาลขึ้นมาลูกหนึ่งก่อนป้อนหยุนเยี่ยน “พี่สาว ลองกินดูสิ”

หยุนเยี่ยนพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อชื่นชมความอร่อย

หลังจากที่ทั้งสามคนทำงานเรียบร้อย ดวงอาทิตย์เริ่มโผล่พ้นขอบฟ้า เสี่ยวส้วยเอ๋อและชีจินก็มาสมทบด้วย

ผมของเสี่ยวส้วยเอ๋อถูกหวีเรียบแปล้ มีดอกไม้ป่าดอกเล็กทัดหูของนางอยู่ ร่างกายของเสี่ยวส้วยเอ๋อผอมบางยิ่งนัก

ยิ่งมากคน แรงงานก็ยิ่งมากขึ้น หลังจากเวลาผ่านไปครึ่งชั่วยาม ลูกบ๊วยทั้งหมดก็ถูกบรรจุลงในตะกร้าไม้ไผ่สี่ใบอย่างเรียบร้อย