ตอนที่ 103 แรงบันดาลใจ
ในเวลารุ่งสาง
เด็กทั้งสี่คนแบกตะกร้าไม้ไผ่เดินไปตามถนนสายหนึ่งในชนบท
สายลมเย็นยามเช้าพัดโชยปะทะใบหน้า กลิ่นหอมของดินและพืชพรรณลอยอบอวลในอากาศ หยาดน้ำค้างสะท้อนแสงหลากสีสัน
ไกลออกไป แสงสีทองในยามเช้าสาดส่องไปทั่วพืชผลในไร่นา
เสียงนกร้องบนกิ่งไม้ดังมาจากระยะใกล้
เหอยาโถวฮัมเพลงเกี่ยวข้าวที่ชาวบ้านมักร้องเวลาทำงานในทุ่งนา ซึ่งทำนองของเพลงเป็นที่นิยมและติดหูอย่างยิ่ง
หลังจากนั้นไม่นานหยุนเชวี่ย เสี่ยวส้วยเอ๋อ และชีจินก็ส่งเสียงร้องตาม
ระยะทางระหว่างหมู่บ้านเข้าไปในเมืองนั้นไกลกว่าสิบลี้ แม้จะแบกตะกร้าไม้ไผ่อันหนักอึ้งอยู่ แต่เด็กทั้งสี่คนกลับเดินตัวปลิวราวกับแบกนุ่น
มณฑลอันผิง
ตลาดในตอนเช้าคึกคักเหลือหลาย ผู้คนมากมายเดินพลุกพล่าน เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของเหล่าพ่อค้าและแม่ค้าดังเซ็งแซ่
“แม่นางเข้ามาเลือกดูเกาลัดได้นะขอรับ ลูกเกาลัดสีแดงสดใหม่ที่เป็นที่นิยมของสาวน้อยสาวใหญ่ในฝูเฉิงเพิ่งมาถึงที่ร้านเลยขอรับ…”
“เหล้าหมักข้าวฟ่างโดยโรงกลั่นของเรา มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ นุ่มละมุนลิ้น ราคาเพียงโถละยี่สิบเหรียญเท่านั้น รับรองว่าซื้อไปแล้วไม่ผิดหวังแน่นอน…”
“เกี๊ยว ซาลาเปา บะหมี่น้ำใส โจ๊ก เครื่องเคียงมากมาย และน่องไก่หมักซอสถั่วเหลืองอร่อย ๆ เชิญทางนี้ เร่เข้ามาทานอาหารและพักผ่อนในร้านได้เลยขอรับ…”
มณฑลอันผิงเป็นมณฑลที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค ผู้คนในละแวกนี้เจ็ดถึงแปดหมู่บ้านหรือแม้แต่ประชาชนในมณฑลกว่างเล่อก็ยังมารวมตัวที่ตลาดแห่งนี้
ภายในตลาดมีทั้งการซื้อขายวัว ธัญพืช เครื่องเรือน เกวียน และสินค้ามากมายที่ใช้ในชีวิตประจำวัน
“ในเมืองมีคนเยอะมาก” ชีจินรู้สึกว่าผู้คนในเมืองนั้นพลุกพล่านจนดวงตาคู่น้อยไม่สามารถเก็บภาพอันนี้น่าทึ่งนี้ไว้ได้หมด ก่อนหันไปลูบศีรษะของวัวที่พ่อค้าจูงอยู่ด้านข้าง
ทันใดนั้นวัวตัวน้อยก็ส่ายศีรษะและส่งเสียงร้อง “มอ…”
“ข้าอยากเลี้ยงวัว ท่านแม่จะได้ไม่ต้องเหนื่อย” ชีจินหยุดมองวัวตัวน้อยก่อนลูบศีรษะของมันอีกครั้ง
“ท่านลุงขายวัวราคาเท่าไหร่เจ้าคะ?” หยุนเชวี่ยเอ่ยถามเสียงเรียบ
พ่อค้าเงยหน้าขึ้นและเห็นว่าผู้เอ่ยถามเป็นเพียงเด็กตัวเล็ก ๆ ที่มีความสูงเพียงเอวจึงชูนิ้วขึ้นห้านิ้วอย่างไม่ใส่ใจ
“ห้าตำลึง! แพงเกินไป!” ชีจินถอนหายใจ
ตั้งแต่เล็กจนโตชีจินไม่เคยเห็นเงินจำนวนมากมายเพียงนี้มาก่อน!
“ไม่แพงหรอก วัวของข้าเพิ่งอายุได้สองปีเท่านั้น” พ่อค้าหยิบขนมแป้งทอดออกมาจากแขนเสื้อก่อนกัดกิน “แต่ถ้าเจ้าจะซื้อจริง ๆ ข้าลดราคาให้ได้นิดหน่อย!”
“ท่านลดราคาเหลือเท่าไรขอรับ?” ชีจินเอ่ยถามด้วยความกระตือรือร้น
พ่อค้าใช้มือป้องปากพร้อมเอ่ยตอบ “สองตำลึง”
ชีจินถอนหายใจพลางกระชับสายสะพายบนไหล่ก่อนเดินต่อไป
เงินจำนวนสองตำลึงและห้าตำลึงในความคิดของพ่อค้านั้นไม่ต่างกันมากเท่าไร ทว่าสำหรับชีจินแล้ว ทั้งชีวิตนี้คงไม่สามารถหาเงินจำนวนนั้นมาได้
“เจ้าอยากเลี้ยงวัวใช่หรือไม่?” หยุนเชวี่ยเอ่ยถาม
“อืม” ชีจินพยักหน้าตอบ
ครอบครัวของชีจินยากจนที่สุดในหมู่บ้านไป๋ซี ย่าของเขามีลูกชายทั้งหมดสองคนซึ่งพ่อของชีจินคือลูกชายคนโต เมื่อไม่กี่ปีก่อนเขาขึ้นไปซ่อมแซมหลังคาบ้านและตกลงมาเสียชีวิตทันที
ส่วนลูกชายคนสุดท้องนั้นยังอายุน้อยจึงยังไม่ได้แต่งงาน และป่วยเป็นวัณโรคทำให้ป่วยติดเตียงไม่สามารถทำงานได้
นอกจากนี้ย่าของชีจินยังมีลูกสาวอีกสองคน ลูกสาวคนโตแต่งงานกับนักธุรกิจและเดินทางติดตามสามีไปค้าขายที่ทางใต้
ลูกสาวคนเล็กร่างกายแข็งแรงไม่เจ็บไข้ แต่นางมีใบหน้าทรงเหลี่ยม กรามกว้าง รอบเอวใหญ่ รูปร่างใหญ่บึกบึนราวกับชายฉกรรจ์จึงไม่มีชายใดในหมู่บ้านมาขอนางแต่งงาน
ย่าของชีจินชรามากขึ้นทุกวัน อาของชีจินก็ป่วยไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ส่วนงานที่ควรเป็นหน้าที่ของผู้ชายเช่นทำนา ซ่อมแซมบ้าน จึงเป็นหน้าที่ของแม่และอา มันจึงไม่ง่ายเลยที่จะดูแลคนชรา ผู้ป่วยติดเตียงและลูกน้อยในคราเดียวกัน
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็เก็บออมเงินทุกเหรียญที่หามาได้จนครบสองตำลึง แล้วนำมันไปซื้อลูกวัว” เหอยาโถวชะโงกหน้ามาจากด้านหลัง
ชีจินขบริมฝีปากล่างเบา ๆ ก่อนเอ่ย “มันตั้งสองตำลึงเลยนะ”
“มันไม่ใช่ปัญหา พี่เขยของข้าบอกว่าการทำธุรกิจคือการเพิ่มรายได้ ดังนั้นท่านกั๋วผู้ยิ่งใหญ่จึงยึดอาชีพพ่อค้าเป็นอาชีพหลักในการจุนเจือครอบครัว…”
ท่านผู้เฒ่ากั๋วผู้ยิ่งใหญ่คือปู่ของพี่เขยรองของเหอยาโถว ท่านผู้เฒ่ากั๋วไม่เพียงแต่สั่งสมคุณธรรมและทำความดีมาทั้งชีวิตเท่านั้น แต่ยังวางรากฐานให้กับคนรุ่นหลังอีกด้วย ท่านผู้เฒ๋ากั๋ววางกฎเกณฑ์ในการทำธุรกิจไว้สองประการคือต้องไม่ขายสินค้าต่ำกว่าราคาทุนและต้องไม่โกงลูกค้า สำหรับที่ดินที่ปล่อยเช่าต้องเก็บค่าเช่าไม่เกินร้อยละสามสิบ หากผู้เช่าไม่มีผลผลิตและรายได้ให้เก็บค่าเช่าเพียงร้อยละสิบเท่านั้น
ขณะนี้ผู้เฒ่ากั๋วเสียชีวิตได้สามหรือสี่ปีแล้ว แต่ผู้คนในสิบลี้แปดเมืองยังเรียกผู้เฒ่ากั๋วว่า ‘ผู้ยิ่งใหญ่’ อีกทั้งประชาชนยังเล่าขานชีวประวัติในการค้าขายของเขาให้ลูกหลานฟังซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ดี
เมื่อไม่มีเรื่องให้กล่าวขาน ตัวตนของคนผู้นั้นก็จะถูกลืมเลือนตามกาลเวลา แต่การเป็น ‘คนดี’ จะทำให้ผู้คนแซ่ซ้องชื่นชม
หยุนเชวี่ยพลันครุ่นคิดในใจว่าถ้าสักหวังหนึ่งตนร่ำรวยขึ้นมา ครอบครัวจะต้องมีชีวิตที่ดีกว่านี้แน่
“ข้าสามารถเก็บออมเงินได้ถึงสองตำลึงจริงหรือ?” ชีจินฉีกยิ้มกว้าง เห็นได้ชัดว่าเรื่องเล่าของเหอยาโถวทำให้ชีจินมีแรงบันดาลใจ
“จริงสิ ตราบใดที่เราขยันหมั่นเพียร เราก็สามารถทำงานกับเชวี่ยเอ๋อและเก็บเงินได้เป็นกอบเป็นกำแน่นอน” เหอยาโถวกล่าวยืนยัน
หยุนเชวี่ย…
‘ไอ้น้องชาย รู้หรือไม่ว่าสิ่งที่เจ้าพูดออกมาทำให้ข้ากดดันยิ่งนัก?’
เมื่อเงยหน้าขึ้น หยุนเชวี่ยก็เห็นว่าชีจินและเสี่ยวส้วยเอ๋อมองมาที่ตนอย่างมีความสุข ในขณะที่ดวงตาเล็ก ๆ ของพวกเขาเต็มไปด้วยความหวัง
“นี่ ข้าไม่ใช่เทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งนะ…” หยุนเชวี่ยไม่เชี่ยวชาญในเรื่องให้กำลังใจ หยุนเชวี่ยจึงกล่าวต่อ “ทำงานหนักเพื่อเก็บเงินกันเถอะ!”
เหลียวชีจินและเผยเสี่ยวส้วยเอ๋อมีกำลังใจมากขึ้น ทั้งหมดกำมือแน่น ความกระตือรือร้นแล่นพล่านไปทั่วร่างกาย
เด็กทั้งสี่คนเดินไปหยุดอยู่กลางถนน
หยุนเชวี่ยเริ่มแจกจ่ายหน้าที่ “ชีจินไปทางทิศเหนือกับเหอยาโถว ส่วนข้ากับเสี่ยวส้วยเอ๋อจะไปทางทิศใต้ เราจะสอนพวกเขาเรียกลูกค้าให้ชำนาญก่อนแยกกันขาย และตอนเที่ยงเราจะมารวมตัวกันที่นี่แล้วไปกินอาหารกลางวันด้วยกัน”
ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้ขายข้างร้านแผงลอยเช่นเดิม แต่เลือกที่จะเดินเร่ขายไปตามถนนท่ามกลางฝูงชนเพื่อให้เข้าถึงลูกค้าและมียอดขายมากที่สุด
หยุนเชวี่ยแบ่งประเภทกลุ่มเป้าหมายออกเป็นสองกลุ่มได้แก่ กลุ่มลูกค้าอายุน้อย ส่วนกลุ่มที่สองคือกลุ่มลูกค้าวัยหนุ่มสาวและวัยกลางคน นอกจากนี้หยุนเชวี่ยยังให้ทุกคนถือห่อลูกบ๊วยดองน้ำตาลที่หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ไว้ให้ทุกคนได้ชิมโดยเฉพาะ
เหอยาโถวตอบรับและเดินมุ่งหน้าไปทางเหนือของตลาดพร้อมตะโกนเรียกลูกค้าไปตลอดทาง “บ๊วยดองน้ำตาลขอรับ บ๊วยดองน้ำตาลรสหวานดับกระหายช่วยให้สดชื่น… เชิญชิมก่อนได้ขอรับ ไม่อร่อยไม่ต้องจ่ายเงิน”
เสียงแหบห้าวของเหอยาโถวนั้นเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นกอปรกับชุดสีขาวนวลที่ส่งเสริมให้รูปลักษณ์ของเหอยาโถวหล่อเหลายิ่งขึ้น ไม่นานพวกเขาก็ถูกรายล้อมไปด้วยหญิงสาวสวมชุดสีสดใสและถือพัดไว้ในมือประมาณสี่ถึงห้าคน
“พี่สาวลองชิมบ๊วยดองน้ำตาลของข้าดูสิขอรับ” เหอยาโถวมีนิสัยช่างพูดและกล้าเข้าหาผู้คน ด้วยรอยยิ้มหวานและดวงตามีเสน่ห์คู่นั้นทำให้หญิงสาวต่างหลั่งไหลเข้ามาซื้อลูกบ๊วยดองน้ำตาล
หญิงสาวต่างพากันหัวเราะคิกคัก
ชีจินไม่เคยเห็นการตลาดเช่นนี้มาก่อนจึงตกตะลึงทันที ภายในสมองขาวโพลน ชีจินพยายามขยับริมฝีปากแต่กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาจึงทำได้เพียงจ้องมองเหอยาโถวที่ขายลูกพลัมไปแล้วห้าห่อ