ตอนที่ 104 มีเรื่องเกิดขึ้นกับเหอยาโถว

ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน

ตอนที่ 104 มีเรื่องเกิดขึ้นกับเหอยาโถว

เหลียวชีจินอายุประมาณสิบสองถึงสิบสามปี ซึ่งนับว่าเป็นวัยที่กำลังเริ่มสนใจเรื่องชายหญิง

เมื่อเห็นสาวสวยแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสวยงาม ชีจินก็มีท่าทีเขินอาย ใบหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ

ดูเหอยาโถวสิ ลื่นไหลราวกับปลาในน้ำ เหอยาโถวเรียกหญิงสาวเหล่านั้นว่า ‘พี่สาว’ เพื่อเอาอกเอาใจพวกนางโดยกล่าวชื่นชมพัดถวนซ่านและปิ่นปักผมราคาแพง

“หนุ่มน้อย บอกข้าทีสิว่าพัดถวนซ่านของข้าหรือปิ่นปักผมของนางสวยกว่ากัน?” เมื่อเห็นว่าเด็กคนนี้ช่างประจบเอาใจ หญิงสาวนางหนึ่งจึงแสร้งเอ่ยถามด้วยความขบขัน

“มีสิ่งใดน่าเกลียดด้วยหรือ? พี่สาวถามคำถามเช่นนี้เหมือนกับถามข้าว่ากลิ่นของดอกหอมหมื่นลี้หรือลูกบ๊วยดองน้ำตาลอันไหนหอมกว่ากัน ซึ่งทั้งสองอย่างนี้มีความหอมในแบบของมัน ท่านยังจะให้ข้าเลือกอีกหรือไม่ขอรับ?” เหอยาโถวเอ่ยตอบอย่างจริงจัง

“ฮ่าฮ่า…” หญิงสาวกลุ่มนั้นระเบิดหัวเราะออกมา

ชีจินตะลึงงัน ‘พะ… พูดแบบนั้นได้ด้วยหรือ?’

เมื่อมองเหรียญเงินยี่สิบห้าเหรียญที่เหอยาโถวกำลังเก็บใส่กระเป๋า ชีจินก็กลืนน้ำลายทันที

ทำงานแล้วได้เงินมากเพียงนี้เชียวหรือ?

“โชคดีมีมงคลวันเปิดกิจการ!” เหอยาโถวบีบถุงเงินอย่างมีความสุข

เมื่อหันไปเห็นว่าหยุนเชวี่ยและเสี่ยวส้วยเอ๋อจ้องมองมาที่ตนก่อนเดินจากไป เหอยาโถวก็แลบลิ้นออกมาด้วยความภาคภูมิใจ

“น่าทึ่งมาก!” ดวงตาของเสี่ยวส้วยเอ๋อเปล่งประกายด้วยความชื่นชม

“ไปกันเถอะ เราจะแพ้พวกเขาไม่ได้!” หยุนเชวี่ยโบกมือพร้อมตะโกนเสียงดังด้วยความกระตือรือร้น “ลูกบ๊วยดองน้ำตาลหวาน ๆ ดับร้อนเจ้าค่ะ! รสหวานอมเปรี้ยว อร่อยและราคาถูก…”

การเรียกลูกค้าของหยุนเชวี่ยนั้นถือเป็นเอกลักษณ์ชวนให้อยากลิ้มลองลูกบ๊วยดองน้ำตาล นอกจากนี้ยังฟังรื่นหูและจดจำได้ง่ายอีกด้วย

ผู้คนมากมายเดินพลุกพล่านบนท้องถนน หลังจากตะโกนเรียกลูกค้าไม่นาน หยุนเชวี่ยก็ขายลูกพลัมได้สองห่อ

หญิงวัยกลางคนรูปร่างอ้วนท้วนนับเหรียญเงินพลางเอ่ยชมหยุนเชวี่ย “สาวน้อยคนนี้ฉลาดมาก น่าสนับสนุนมากกว่าเด็กผู้ชายเหล่านี้เสียอีก”

หลังจากพูดจบ หญิงวัยกลางคนก็หันไปตำหนิลูกชายตัวอ้วนทั้งสองคน “ดูพวกเจ้าสองคนสิ กินเยอะจนตัวใหญ่เหมือนหมูแล้ว”

เด็กอ้วนทั้งสองคนเหยียดยิ้มก่อนหยิบลูกบ๊วยเข้าปากอีกครั้ง

“เหตุใดท่านป้าถึงพูดอย่างนั้นล่ะเจ้าคะ ในภายภาคหน้าลูกชายของท่านจะเป็นถึงบัณฑิต ซึ่งมีอนาคตไกลมากกว่าสาวชาวบ้านเช่นข้านักเจ้าค่ะ” หยุนเชวี่ยรับเงินพร้อมกล่าวและหัวเราะอย่างสุภาพ

หลังจากที่ทั้งสามคนเดินออกไป เสี่ยวส้วยเอ๋อจึงกระตุกชายเสื้อของหยุนเชวี่ยพลางกล่าวคำเบา “เจ้ารู้จักคนในเมืองทุกคนเลยหรือ?”

เดินต่อไปเพียงไม่กี่ก้าว พ่อค้าแม่ค้าและชายวัยกลางคนที่แต่งตัวด้วยเสื้อค้าราคาแพงได้กล่าวทักทายหยุนเชวี่ย

“ข้ามาที่นี่บ่อย พวกเขาคงจำได้น่ะ” หยุนเชวี่ยยังคงเดินมุ่งหน้าไปทางทิศใต้

เสี่ยวส้วยเอ๋อกล่าวชม “เจ้าเก่งมากจริง ๆ”

“เก่งอะไรกัน คนในเมืองไม่ได้มีสองจมูก สองตาเสียหน่อย พวกเขาไม่ต่างจากคนในหมู่บ้านเลย เจ้าไม่ต้องอายหรอกแค่ตะโกนออกไป” หยุนเชวี่ยตบบ่าของเสี่ยวส้วยเอ๋อเพื่อให้กำลังใจ

เสี่ยวส้วยเอ๋อถอนหายใจและยังคงรู้สึกกังวลเล็กน้อย

“เจ้าลองคิดว่าพวกเขาเป็นต้นไม้ใหญ่หรือหินบนภูเขาหลังหมู่บ้านสิ จากนั้นพูดตามข้า…” หยุนเชวี่ยกล่าวก่อนกระแอมและตะโกนว่า “ลูกบ๊วยดองน้ำตาลเจ้าค่ะ ข้าทำเองกับมือ…”

เสี่ยวส้วยเอ๋อกำมือแน่นขณะจ้องมองหยุนเชวี่ยอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าของนางแดงก่ำด้วยความเขินอาย “ขายลูกบ๊วยดองน้ำตาลเจ้าค่ะ…”

ตามคำโบราณกล่าวว่าทุกสิ่งเริ่มต้นด้วยความยากเสมอ

หลังจากเปล่งเสียง เสี่ยวส้วยเอ๋อพลันรู้แจ้งและเริ่มผ่อนคลายลง

หยุนเชวี่ยขยิบตาพร้อมยกนิ้วให้นางด้วยความดีใจ

หากกล่าวตามตรงการเรียกลูกค้าบนถนนที่ผู้คนพลุกพล่านเช่นนี้ถือเป็นเรื่องยากสำหรับเด็กสาวชาวนาที่ไม่เคยเข้าเมืองมาก่อน

ยิ่งเสี่ยวส้วยเอ๋อตะโกนมากเท่าไหร่ ใบหน้าของนางก็ยิ่งแดงก่ำมากขึ้นเท่านั้นน… ยิ่งเสี่ยวส้วยเอ๋อตะโกนเสียงดังเท่าไหร่ นางก็กล้าพูดมากขึ้นเท่านั้น… และยิ่งเสี่ยวส้วยเอ๋อมั่นใจมากเท่าไหร่ นัยน์ตาก็ยิ่งส่องประกายสดใสมากขึ้นเท่านั้น

“อ้าว เจ้ามาขายอีกแล้วหรือ ลูก ๆ ของข้าชอบกินลูกบ๊วยดองน้ำตาลของเจ้ามาก” ชายวัยกลางคนในชุดผ้าไหมเดินตรงเข้ามาหาหยุนเชวี่ยพร้อมเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “เหตุใดช่วงนี้เจ้าถึงไม่มาขายลูกบ๊วยเล่า?”

“ข้าต้องสั่งลูกพลัมมาจากทางใต้และใช้เวลาในการดอง ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเจ้าค่ะ!”

หยุนเชวี่ยจำได้ว่าชายผู้นี้คือคนที่ช่วยตนเรียกลูกค้าในคราวที่แล้ว ช่างเป็นคนดีเสียจริง

“ครั้งนี้รสชาติเหมือนครั้งที่แล้วหรือไม่?” ชายวัยกลางคนเอ่ยถาม

“สูตรเดียวกัน รสเดียวกัน ท่านอาสามารถลิ้มลองได้เจ้าค่ะ ท่านต้องกินเข้าไปหนึ่งถึงสองชิ้นนะเจ้าคะถึงจะรู้รสที่แท้จริงของมัน” หยุนเชวี่ยฉีกลูกบ๊วยออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ก่อนยื่นให้ชายวัยกลางคนลิ้มลอง

“สาวน้อยคนนี้… ไม่แปลกใจเลยที่เถ้าแก่หูจะชื่นชมเจ้า ฮ่าฮ่า” ชายวัยกลางคนยกนิ้วขึ้นมาสามนิ้วพร้อมกล่าวว่า “เอามาให้ข้าสามห่อ”

“เยี่ยมเลยเจ้าค่ะ!” หยุนเชวี่ยใช้ข้อศอกสะกิดเสี่ยวส้วยเอ๋อ “เอาลูกบ๊วยมาให้ท่านอาสามห่อ”

เสี่ยวส้วยเอ๋อตกตะลึงไปชั่วครู่ก่อนยื่นห่อลูกบ๊วยดองน้ำตาลที่อยู่ในมือทั้งสองข้างให้ชายวัยกลางคนและรับเงินมาสิบห้าเหรียญ

“โอ้ แม่สาวน้อยคนนี้เพิ่งมาขายครั้งแรกหรือ?” ชายคนนั้นกล่าวหยอกล้อ

เสี่ยวส้วยเอ๋อถือเงินสิบห้าเหรียญขณะที่สองแก้มแดงระเรื่อ ก่อนที่หยุนเชวี่ยจะหยิบเงินจำนวนนั้นไปใส่ในถุงเงิน

“นี่ส่วนของเจ้า ได้มาแล้วสามเหรียญ” หยุนเชวี่ยเลิกคิ้ว “วันนี้เราต้องพยายามหาเงินให้ถึงยี่สิบเหรียญ”

เงินยี่สิบเหรียญคือการประเมินรายได้แบบคร่าว ๆ อย่างไรก็ตามครั้งล่าสุดที่หยุนเชวี่ยขายลูกบ๊วยดองน้ำตาลกับเหอยาโถว พวกเขาขายได้มากกว่ายี่สิบห่อภายในครึ่งเช้า ดังนั้นการขายในครั้งนี้จึงไม่ใช่เรื่องยาก

เสี่ยวส้วยเอ๋อรับเงินด้วยความตื่นเต้นทันที จากนั้นเสี่ยวส้วยเอ๋อจึงตะโกนด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นกว่าเดิม

หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง เสี่ยวส้วยเอ๋อก็มีลูกเล่นในการเรียกลูกค้าที่แพรวพราวมากขึ้น

“พี่สาว ลองชิมลูกบ๊วยดองน้ำตาลดูก่อนสิเจ้าคะ มันหวานมาก…”

“ท่านป้าลองซื้อลูกบ๊วยดองน้ำตาลไปชิมก่อนเถิด รสชาติของมันแตกต่างจากที่อื่นเจ้าค่ะ…”

“ห่อละห้าเหรียญ อร่อยและไม่แพงด้วยเจ้าค่ะ…”

หยุนเชวี่ยพึงพอใจยิ่งนัก

หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่นานหยุนเชวี่ยคงวางใจและจ้างคนใหม่เข้ามาให้ชีจินและเสี่ยวส้วยเอ๋อช่วยสอน ส่วนนางในฐานะเจ้าของกิจการจะได้มีเวลาไปทำธุรกิจอย่างอื่น

อีกด้านหนึ่งของถนน

ยิ่งผู้คนพลุกพล่านมากเท่าไหร่ เหอยาโถวก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น เหอยาโถวเปิดปากพูดโอ้อวดรสชาติของลูกบ๊วยที่แม้แต่เทพเจ้าก็ยังติดใจหลังจากได้ลิ้มลอง

ทุกคนที่อยู่ในตลาดต่างพูดกันปากต่อปากว่าลูกบ๊วยของหยุนเชวี่ยรสชาติยอดเยี่ยมจึงแห่กันมาซื้อคนละห่อสองห่อ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดียิ่ง

เหลียวชีจินไม่ยอมแพ้ แม้เหอยาโถวจะมีพรสวรรค์ด้านการพูด ทว่าชีจินยังมีเสียงดังกังวานที่ดังไกลกว่าครึ่งถนน

หลังจากรวมตัวไม่กี่ครั้ง พวกเขาทั้งสี่ก็แยกย้ายกันเดินไปตามถนนอันมีชีวิตชีวาในมณฑลอันผิง

ลูกบ๊วยห้าสิบจิน ยกเว้นลูกที่เน่าเสีย ถูกแบ่งใส่ห่อได้ห้าร้อยห่อ และแต่ละตะกร้าจะบรรจุสิบห่อ

เมื่อออกจากหมู่บ้านไป๋ซี เหอยาโถวยังคงรู้สึกว่าตะกร้าหนักเกินไป หากเหอยาโถวต้องแบกมันทั้งขาไปและขากลับคงเกินกำลังเป็นแน่

หยุนเชวี่ยคาดการณ์ว่าลูกบ๊วยดองน้ำตาลของพวกนางคงขายไม่หมด และต้องแบกส่วนที่เหลือกลับบ้านแน่นอน

จะเกิดอะไรขึ้นหากธุรกิจไปได้ดีเกินคาด?

ดูเหมือนว่าตอนนี้นางจะเป็นคนที่มองการณ์ไกลและมีความเข้าใจในด้านธุรกิจ

เมื่อใกล้ยามเที่ยง แสงแดดก็ยิ่งแผดเผารุนแรง พ่อค้าแม่ค้าที่ตั้งแผงขายของต่างหลบร้อนอยู่ใต้ชายคาทั้งสองข้างทาง จำนวนผู้คนบนถนนลดลง ภายในตะกร้ายังเหลือลูกบ๊วยอีกสิบห่อ ถุงเงินขยายตัวขึ้นเรื่อย ๆ จนไม่สามารถใส่เงินเข้าไปได้อีก

หยุนเชวี่ยเงยหน้ามองท้องฟ้าขณะเดินไปกลางถนนนำเสี่ยวส้วยเอ๋อไปยังร้านขายอาหารเล็ก ๆ เพื่อกินอาหารกลางวันให้อิ่มท้อง ทว่าชีจินก็วิ่งหน้าตาตื่นมาขวางหยุนเชวี่ยไว้เสียก่อน “เกิดเรื่องแล้ว! มีเรื่องเกิดขึ้นกับเหออวี้!”