หลังจากคำพูดที่จริงใจระหว่างจวินและขุนนางจบลง ทั้งสองคนก็อารมณ์ดียิ่ง คุยเรื่อยเปื่อยกันครู่หนึ่ง อิ๋งซื่อจึงสั่งให้คนคุ้มกันซ่งชูอีกลับจวน
เมื่อเร็วๆ นี้ ข่าวที่ซ่งชูอีกลับฉินแพร่กระจายไปยังตรอกซอยน้อยใหญ่ทั่วเสียนหยาง รวมถึงเรื่องที่หารือกับถูอู้ลี่ก็ถูกแพร่กระจายออกไปอย่างน่ามหัศจรรย์ยิ่ง จู่ๆ ซ่งชูอีก็เปลี่ยนจากคนต่ำต้อยที่ทรยศฉินเป็นวีรบุรุษของต้าฉินภายในพริบตา
ชาวฉินเป็นคนเถรตรง ส่วนใหญ่แล้วไม่ชอบคนอุบาทว์ที่ลอบวางแผนการอยู่เบื้องหลัง ทุกคนรู้สึกเหลือเชื่อกับแผนการของซ่งชูอี ทว่าไม่ว่านางจะทำอะไร สุดท้ายแล้วทำก็เพื่อต้าฉิน ด้วยเหตุนี้ชาวฉินมีเพียงความรู้สึกขอบคุณนางและมิได้ตำหนิเลย สามัญชนที่อาศัยอยู่ที่เขตชายแดนของฉินสู่มักจะติดอยู่ในความวุ่นวายระหว่างฉินสู่เป็นประจำ ถูกชาวสู่ผู้โหดร้ายเข่นฆ่าและปล้นสะดม บัดนี้ซ่งชูอีสงบสถานการณ์ปาสู่ได้แล้ว อีกทั้งยังทำประโยชน์และเสียสละเพื่อเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ชาวฉินที่เขตชายแดนต่างซาบซึ้งนัก ครั้นรู้ว่าซ่งชูอีสูญเสียการมองเห็น ก็ตั้งใจเปิดพิธีบวงสรวงให้นางโดยเฉพาะเพื่อขอความช่วยเหลือจากสวรรค์
ตั้งแต่ที่ข่าวลือมีแนวโน้มขยายตัว ซ่งชูอีก็ได้กลิ่นของการวางอุบายอยู่บ้างแล้ว หากไม่มีคนก่อคลื่น เรื่องนี้จะแพร่สะพัดจนบานปลายเช่นนี้ได้เยี่ยงไร! ขณะที่เสียนหยางกำลังเล่าขานถึงความสำเร็จอันรุ่งโรจน์ของนาง นางก็ได้ขอให้ชูหลี่จี๋แจ้งความสงสัยที่มีต่อเรื่องนี้ให้อิ๋งซื่อรับทราบแล้ว แต่ว่าข่าวลือก็ราวกับสายน้ำที่ไม่อาจหยุดยั้ง ภายในเวลาเพียงครึ่งเดือนมันก็ครอบคลุมทั่วทั้งรัฐฉินอย่างรวดเร็ว
ชื่อเสียงของซ่งชูอีขจรขจายภายในระยะเวลาอันสั้น อีกทั้งยังทำให้การเดินหมากของนางที่ต้องการต้องการซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังปั่นป่วนทันใด หากนางไม่ตอบสนองต่ออิ๋งซื่อแต่เนิ่นๆ ไม่แน่ว่าอาจจะไม่ได้แม้แต่หัวใจขององค์จวินด้วย!
แม่นยำและเผ็ดร้อนเพียงนี้ อีกทั้งเห็นได้ชัดว่าวางแผนการมานานแล้วเพื่อที่จะทำให้นางล้ม
ผู้ที่มีแรงจูงใจนั้นมีมาก เป็นไปได้ว่ามาจากรัฐอื่น รวมทั้งกงซุนเหยี่ยนและจางอี๋ที่อยู่ในรัฐฉิน หุบเขาแห่งเดียวกันยากที่จะมีเสือสองตัว แล้วจะมีสามตัวได้เยี่ยงไร?
อย่างไรก็ตาม จางอี๋เพิ่งเข้าฉินได้ไม่นาน ไม่มีรากฐานที่ฝังลึก ตัวเขาเองก็อยู่ในปาสู่ หากต้องการควบคุมกองกำลังในรัฐฉินแทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย ตามที่ชูหลี่จี๋บอก กงซุนเหยี่ยนเข้ารัฐฉินหลังจากที่ซ่งชูอีออกไปจากฉินแล้ว ตั้งแต่เข้ารัฐฉินมาก็มุ่งมั่นอยู่กับสงครามระหว่างฉินเว่ย ไม่เข้าใจถึงบทบาทที่ซ่งชูอีมีต่อรัฐฉินมากนัก
ซ่งชูอีได้ยินเกี่ยวกับกงซุนเหยี่ยนมาเล็กน้อย เขาเป็นคนเถรตรง สูงส่งและไม่ยอมใครดุจเหล็กกล้า ชื่นชมการวางแผนในที่แจ้ง ไม่ชอบพฤติกรรมของคนต่ำต้อย
ด้วยเหตุนี้จึงสามารถตัดสองคนนี้ออกไปได้ ขุนนางคนอื่นในรัฐฉินนั้น ไม่มีใครมีผลประโยชน์ทับซ้อนกับซ่งชูอีมากนัก และไม่มีใครที่มีความสามารถทำการเคลื่อนไหวใหญ่เช่นนี้ภายใต้สายตาของอิ๋งซื่อได้
“หากกล่าวเช่นนี้ แสดงว่าเป็นพฤติกรรมของคนนอกรัฐ?” ชูหลี่จี๋มองไปยังซ่งชูอีที่กำลังตกปลาอยู่ข้างลำธารและถามขึ้น
ไม่กี่วันก่อนซ่งชูอี เปี่ยนเชวี่ยนและเจินอวี๋ได้ย้ายเข้ามายังสถานที่ทิวทัศน์งดงามแห่งนี้แล้ว ชีวิตของนางอุดมสมบูรณ์ขึ้นทันใด ปกติก็ตกปลา ปลูกดอกไม้ ตากลม ผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง
ครั้นได้ยินคำพูดของชูหลี่จี๋ ก็มีคนหนึ่งโผล่ขึ้นมาในสมองของซ่งชูอี
คราวก่อนก็ผูกความแค้นอีกครั้งในรัฐสู่ แค้นเก่าบวกแค้นใหม่ เกรงว่าบัดนี้เขามีเจตนาฆ่าแล้ว
ซ่งชูอีครุ่นคิดก่อนเอ่ยว่า “หากเป็นเขา…การเคลื่อนไหวครั้งนี้อาจไม่บีบข้าถึงตาย คิดว่าต้องยังมีแผนสำรองแน่”
ชูหลี่จี๋เห็นท่าทีไม่สะทกสะท้านของนางก็ทอดถอนใจ พยายามสงบความร้อนใจของตัวเอง “ใครกัน?”
“หมิ่นฉือ” ซ่งชูอีคายสองคำนี้ออกมาช้าๆ
ชูหลี่จี๋นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะนึกขึ้นมาได้ว่าหมิ่นฉือก็คือคนคนนั้นในรัฐเว่ย์ที่เดินทางไปกับซ่งชูอีเพื่อพูดจาหว่านล้อมรัฐต่างๆ ในการโจมตีรัฐเว่ย ต่อมาก็ถูกเว่ยอ๋องคุมขังอยู่ในรัฐเว่ยด้วยกัน
“เหตุใดเจ้าจึงคิดว่าเป็นเขา?” ชูหลี่จี๋ไม่เข้าใจ
ซ่งชูอีหรี่ตาเอ่ย “ข้านับนิ้วได้”
ที่จริงแล้วมันเป็นเพียงความรู้สึกชั่วอึดใจของนางเท่านั้น บัดนี้ยังจับต้นจนปลายไม่ถูก มันก็เป็นการดีที่จะกำหนดเป้าหมายที่น่าสงสัยไว้ก่อน “พี่ใหญ่ช่วยข้าสืบความเคลื่อนไหวล่าสุดของบุคคลนี้ที”
“ได้” ชูหลี่จี๋ไม่รู้ว่าทั้งสองคนมีความแค้นส่วนตัวต่อกัน รู้เพียงว่าหากหมิ่นฉือทำงานอย่างหนักให้กับรัฐเว่ย การคิดกำจัดซ่งชูอีก็นับว่าเป็นเรื่องธรรมชาติอยู่แล้ว เขายุ่งกับงานราชการทั้งวัน สามารถสละเวลามาเยี่ยมซ่งชูอีได้เพียงชั่วครู่เท่านั้น ครั้นคุยธุระจบก็รีบอำลาจากไป
นั่งอยู่ครู่ใหญ่ ซ่งชูอีงงงวยว่าเหตุใดนั่งมาครึ่งค่อนวันแล้วทว่ายังไม่เห็นความเคลื่อนไหวเลย? หรือว่าในลำธารแห่งนี้ไม่มีปลา? ไม่รู้เป็นเพราะร่างมหึมาของไป๋เริ่นที่ขดตัวเหมือนก้อนหินอยู่ข้างลำธารและดวงตาแหลมคมคู่นั้นที่จ้องไปที่สายเบ็ด จึงทำให้เหล่าปลาไม่กล้าเข้าใกล้ในรัศมีหนึ่งจั้งหรือเปล่า
“ไป๋เริ่น กลับกันเถิด” ซ่งชูอีรู้สึกหิวเล็กน้อย
ไป๋เริ่นกระโดดขึ้นบนฝั่งแผ่วเบา หูลู่ลง รู้สึกผิดหวังต่อซ่งชูอีเป็นอย่างยิ่ง นึกถึงตอนนั้นที่เจ้าอี่โหลวสามารถตกได้ปลาตัวใหญ่ภายในระยะเวลาหนึ่งชั่วยามเชียวนะ! การติดตามผู้ที่ไร้ความสามารถมีแต่ชีวิตที่ยากลำบากจริงๆ
หนิงยาออกมาช่วยซ่งชูอีถือตะกร้า หันไปก็เห็นเจินอวี๋ที่กำลังเดินเข้ามา จึงเตือนนาง “ท่านเจ้าคะ เจียวเจียวมาแล้ว”
เสียงฝีเท้าโซซัดโซเซที่ดังขึ้นบนพื้นหญ้าค่อยๆ ใกล้เข้ามา แล้วหยุดลงไม่ไกล
ไม่รอให้นางได้ทักทาย ซ่งชูอีชิงเอ่ยปากก่อน “น้องสาวมาแล้วหรือ! ข้ามีเรื่องหนึ่งต้องการจะคุยกับเจ้าพอดี”
คำพูดที่อยู่ปลายลิ้นของเจินอวี๋ถูกยับยั้ง เหลือบมองอาเหอ “เจ้าออกไปรอก่อน”
“เจ้าค่ะ” อาเหอไม่ใคร่สมัครใจนัก ทว่ากลับหาข้ออ้างที่จะอยู่ต่อไม่ได้ จึงทำได้เพียงถอยห่างออกไปอย่างไม่มีความสุข
ซ่งชูอีได้ยินเสียงฝีเท้าไกลออกไป จากนั้นก็กล่าวต่อ “เพราะว่าไม่กี่วันนี้ย้ายบ้าน ข้ามีเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งมิได้ถามเจ้าอย่างชัดเจนเสียที”
“เรื่องอะไรเจ้าคะ?” เจินอวี๋เดาออกว่าซ่งชูอีจะพูดเรื่องนี้จึงไม่ได้ถามมาก ต้องการฟังว่านางจะอธิบายเยี่ยงไร
“องค์ชายจี๋มีความประสงค์จะสู่ขอเจ้า ในเมื่อเจ้าเป็นน้องสาวของท่านเจินก็นับว่าเป็นน้องสาวของข้า องค์ชายจี๋ก็เป็นสหายคนสนิทของข้า เดิมทีก็เป็นเรื่องมงคล…ทว่าเขาเคยแต่งฮูหยินมาแล้วคนหนึ่ง รักใคร่กันมาก หลังจากที่นางจากไปแล้วก็ถูกฝังอยู่ในสุสานบรรพบุรุษ หากเจ้าแต่งงานออกไปอีกก็จะเป็นเพียงภรรยารองของพ่อม่ายเท่านั้น ร้อยปีต่อมาอย่างมากก็แค่ถูกฝังไปพร้อมกับทรัพย์สิน ข้าคิดว่าเจ้ามาจากสำนักขงจื้อ เกรงว่าจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก ด้วยเหตุนี้ข้าจึงไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ หากเจ้ามีความประสงค์เช่นกัน ข้าก็จะรับผิดชอบในการกำหนดเรื่องนี้ รอจนพี่ใหญ่ของเจ้ากลับมาแล้ว ค่อยให้เขามาสู่ขอที่บ้านอย่างเป็นทางการอีกครั้ง หากพี่ใหญ่ของเจ้าไม่เห็นด้วย มีข้าแบกรับก็พอจะมีเสรีภาพในการดำเนินการอยู่บ้าง เจ้าเห็นเยี่ยงไร?”
เรื่องใหญ่ของรัฐขึ้นอยู่กับการบวงสรวงและกิจการทหาร สิ่งที่เรียกว่าการบวงสรวง หนึ่งในนั้นรวมถึงการบวงสรวงบรรพบุรุษ ไม่ใช่เพียงแต่รัฐที่ทำเช่นนี้ ตระกูลชั้นสูงก็ทำเช่นนี้ แม้แต่สามัญชนในชนบทก็ไม่มีข้อยกเว้น และสำนักขงจื้อให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง มีเพียงคนชั้นต่ำเท่านั้นที่ไม่ให้ความสำคัญต่อบรรพบุรุษและตระกูล!
การที่ภรรยารอง (ที่แต่งกับพ่อม่าย) ถือสถานะเดียวกับกับภรรยาเอกทว่ากลับไม่ต่างอะไรจากฮูหยินรองเป็นเพราะว่านางไม่สามารถร่วมโลงกับสามีได้และทำได้เพียงถูกฝังไปพร้อมกับทรัพย์สินเท่านั้น ในห้องโถงบรรพบุรุษก็จะไม่มีตำแหน่งของภรรยารองนี้ ดังนั้นหญิงสูงศักดิ์ทั่วไปสามารถเป็นภรรยาเอกที่แต่งงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายได้ แต่จะไม่เลือกที่จะเป็นภรรยารองโดยเด็ดขาด ในปัจจุบันภรรยาเอกเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์เท่าเทียมกับสามี
เจินอวี๋ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรเช่นนี้ด้วย อีกทั้งเมื่อเห็นสีหน้าเฉยเมยของซ่งชูอี ทันใดนั้นก็รู้สึกละอายจนใบหน้าร้อนผ่าว
ปฏิกิริยาที่เจินอวี๋มีต่อเรื่องนี้ตรงไปตรงมา นิสัยของสาวน้อย ซ่งชูอีไม่ชอบนิสัยนี้ของนางทว่าก็ไม่นับว่ารังเกียจ
ในความเห็นของซ่งชูอี เรื่องพวกนี้เป็นเพียงเรื่องขี้ประติ๋ว แม้ว่าเจินอวี๋จะถูกคนอื่นยั่วยุแล้วเกิดขุ่นเคือง นางก็ไม่ถึงกับแก้แค้น เพียงแต่มองดูด้วยความดูแคลนเล็กน้อยเท่านั้น
“เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ต้องรีบ เจ้าค่อยๆ คิดเถิด” ซ่งชูอีพูดพลางนำหนิงยาและไป๋เริ่นออกไป
“ท่านคิดว่าข้าไม่คู่ควรองค์ชายจี๋จริงหรือ?” เจินอวี๋เห็นนางเดินผ่านไป อดไม่ได้ที่จะหมุนตัวไปจี้ถาม
ซ่งชูอีหยุดเดิน “เขาเป็นสหายคนสนิทของข้า ในสายตาของข้าแน่นอนว่าผู้หญิงที่ดีที่สุดในโลกใบนี้คู่ควรกับเขา ส่วนเจ้าจะคู่ควรกับเขาหรือไม่ – ผู้สูงศักดิ์ย่อมมีจิตใจสูงส่ง ผู้ภาคภูมิใจย่อมหยิ่งในศักดิ์ศรี จะถูกวาจาของผู้อื่นโจมตีได้เยี่ยงไร?”
ผู้สูงศักดิ์ย่อมมีจิตใจสูงส่ง ผู้ภาคภูมิใจย่อมหยิ่งในศักดิ์ศรี จะถูกวาจาของผู้อื่นโจมตีได้เยี่ยงไร?
“ผู้สูงศักดิ์มีจิตใจสูง…” เจินอวี๋มองดูแผ่นหลังบอบบางทว่าแหกคอกของนาง พึมพำประโยคนี้ซ้ำๆ ใบหน้าซีดขาว
โดยปกติแล้วคนชั้นสูงล้วนมีจิตใจสูงส่ง และคนที่เย่อหยิ่งล้วนมีความภาคภูมิใจไม่ย่อท้อ การตั้งคำถามของบุคคลภายนอกเพียงสองสามประโยคไม่สามารถเปลี่ยนแปลงธรรมชาติของคนคนหนึ่งได้
ประโยคนี้แทงใจดำของเจินอวี๋อย่างจัง! นางมีวิสัยทัศน์สูงเพราะศึกษาลัทธิขงจื้อ ทว่าก็รู้สึกต้อยต่ำด้วยภูมิหลังจากครอบครัวพ่อค้า ต้องการมีเกียรติทว่ากลับสงสัยในเกียรติของตัวเอง ต้องการภาคภูมิใจทว่ากลับมีเพียงความจองหองแต่ไร้ความเย่อหยิ่งในศักดิ์ศรี สุดท้ายแล้วมันเป็นเพียงความดื้อรั้นที่แข็งนอกอ่อนในเท่านั้น
“ท่านเจ้าคะ เจียวเจียวสีหน้าไม่สู้ดีเลย” หนิงยาหันกลับไปมอง เอ่ยกับซ่งชูอีเสียงเบา
ซ่งชูอีมิได้ตอบ ด้วยลักษณะของเจินอวี๋ในตอนนี้ไม่คู่ควรองค์ชายจี๋อย่างแท้จริง ต่อให้เจินอวี๋มิได้ตระหนักคำพูดในวันนี้เลยแม้แต่น้อย หรือยิ่งเกิดความคับแค้นใจ ซ่งชูอีก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรผิด เพราะนางก็ไม่มีเวลาว่างที่จะไปดูแลความคิดของผู้หญิงอ่อนแอคนหนึ่ง
“ข้าขอถามเจ้า คนที่มาคืนหนังสือทุกวันใช่สาวใช้คนที่อยู่ข้างกายเจียวเจียวเมื่อครู่นี้หรือเปล่า?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม
หนิงยาพยักหน้า “ใช่นางเจ้าค่ะ นางชื่อว่าอาเหอ ดูมีความสามารถ ปิ่นคราวก่อนก็เป็นนางที่ให้บ่าว”
ในเมื่อเจินอวี๋มาถามเอง แสดงว่านางคงไม่ได้ยินบทสนทนาระหว่างนางกับชูหลี่จี๋ด้วยตัวเอง
สำหรับผู้ยุยงนั้น…ข้างกายเจินอวี๋มีสาวใช้มากมาย เดิมทีซ่งชูอียังไม่รู้ว่าเป็นใคร ทว่าครั้นปะติดปะต่อเหตุการณ์เข้าด้วยกันแล้ว บวกกับความลังเลในฝีเท้าของอาเหอเมื่อครู่ เป็นไปได้มากว่าเป็นสาวใช้ผู้นี้
ซ่งชูอียกมุมปาก “ตอนกลับไป เจ้าจงไปหาเจียวเจียวเป็นการส่วนตัว บอกนางว่า คืนนั้นอาเหอปรนนิบัติข้าได้ดีมาก ข้าชอบนางมาก ต้องการสู่ขอนางเป็นอนุภรรยา”
ถ้าอาเหอมิได้ “ปากโป้ง” ในเมื่อหลับนอนกันแล้ว อาเหอก็ไม่ใช่สาวบริสุทธิ์อีกต่อไป เกรงว่าเจินอวี๋คงไม่อาลัยอาวรณ์สาวใช้คนหนึ่ง ทว่าหากอาเหอ “ปากโป้ง” เช่นนั้นก็น่าสนใจยิ่งแล้ว…
“หา?” สีหน้าของหนิงยาเปี่ยมด้วยความประหลาดใจ ทว่าก็รีบก้มหน้ารับคำทันที “เจ้าค่ะ”
หลังอาหารค่ำ ซ่งชูอีเพิ่งจะกินยา กำลังคิดหาวิธีจัดการกับข่าวลือ หนิงยาที่ไปประจบสอพลอกับเจินอวี๋ก็วิ่งกลับมาด้วยความตื่นตระหนก
“ท่านเจ้าคะ เกิดเรื่องแล้วเจ้าค่ะ” หนิงยาเอ่ยด้วยความร้อนรน “บ่าวนำคำพูดของท่านไปบอกกับเจียวเจียว ทันทีที่เจียวเจียวได้ยินสีหน้าก็ซีดขาว กล่าวเพียงว่า ‘หน้าซื่อใจคด’ จากนั้นก็หมดสติไปแล้วเจ้าค่ะ!”
ซ่งชูอีตบหน้าตัก “เหตุใดจึงอ่อนไหวเพียงนี้! เชิญท่านหมอมาดูแล้วหรือยัง?”
“สาวใช้ข้างกายของเจียวเจียวไปเชิญแล้วเจ้าค่ะ” หนิงยาน้ำตาคลอเบ้า จนป่านนี้นางก็ยังงงงวย ก็แค่ขอสาวใช้คนหนึ่งเท่านั้น คำพูดของท่านก็มิได้เกินจริงเสียหน่อย เหตุใดจึงสามารถทำให้นางโกรธได้มากเพียงนี้!
“ไป ไปดูหน่อย” ซ่งชูอียกเท้าก้าวออกจากประตู หนิงยาดึงเสื้อคลุมที่วางพาดอยู่บนฉากกั้นแล้ววิ่งตามออกไป
โคมไฟถูกจุดขึ้นในลาน ในลานเล็กของเจินอวี๋อยู่ใน “ภาวะสงคราม” เสียงร้องไห้และเสียงสับสนอลหม่านได้ยินมาแต่ไกล ซ่งชูอีลอบด่าว่า “พวกผู้หญิงมากเรื่อง”! จากนั้นก็เร่งฝีเท้าภายใต้การประคองของหนิงยา
ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว ใบไม้แห้งปลิวไปตามลม ฤดูใบไม้ร่วงในหล่งซีค่อยๆ เยือกเย็นลง
ในพระราชวังต้าเหลียง รัฐเว่ย
อาคารหลังใหญ่ภายใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวดูเด่นเป็นสง่าท่ามกลางทิวทัศน์ยามราตรี ภายใต้ความยิ่งใหญ่นั้นกลับไม่ทิ้งรายละเอียด ชายคาโต๋วก่ง[1]ฝีมือประณีต พระทวารสีแดงแกะสลักเป็นบุปผางาม ทุกจุดล้วนสร้างขึ้นอย่างพิถีพิถัน เพียงกวาดตามองผ่านก็เป็นทัศนียภาพที่หรูหรายิ่ง
นางสนมในชุดผ้าไหมที่ยกหม้อเงินถาดหยกเข้ามานั้นราวกับเทพธิดาจากสรวงสวรรค์ ซอยเท้าถี่เข้ามาในท้องพระโรง
แม้ว่าแขกในท้องพระโรงมีไม่มาก ทว่าครึกครื้นเป็นอย่างยิ่ง มีกลุ่มคนร้องเพลงและเต้นรำอยู่ตรงกลาง มีเพียงเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาในชุดแขนกว้างสีเทาเข้มที่อยู่ด้านขวาของแถวแรกที่ดูแปลกแยกอย่างเห็นได้ชัด
เว่ยอ๋องอารมณ์ดียิ่ง ดวงตาดุจเสือดาวคู่หนึ่งหรี่ลงเล็กน้อย จ้องมองไปยังเอวที่แกว่งไปมาของนักเต้น ดูอบอุ่นและอ่อนโยนเป็นอย่างมาก
ครั้นเพลงบรรเลงหนึ่งจบลง เว่ยอ๋องก็ยกจอกสุราขึ้น “งานเลี้ยงในวันนี้ เพื่อฉลองให้กับท่านหมิ่น”
“แผนการเพิ่งเริ่มต้น ยังไม่รู้ผล ฝ่าบาทจัดงานฉลอง หมิ่นจื๋อห่วนรู้สึกผิดนัก” หมิ่นฉือยกจอกสุราขึ้น เดิมทีเขามิใช่ผู้ที่แสดงความอ่อนแอ แม้ว่าในใจมั่นใจว่าต่อให้ไม่ทำให้ซ่งชูอีถึงแก่ความตายในครั้งนี้ ก็สามารถทำให้นางไม่อาจรับใช้ฉินได้อีก แต่หลังจากความล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาก็ได้เรียนรู้แล้วว่าจะซ่อนความเฉียบคมในช่วงเวลาที่อ่อนแอได้อย่างไร
เว่ยอ๋องยิ้มน้อยๆ พร้อมวางจอกสุราลง “มาเถิด! เป็นคำสั่งของกว่าเหริน ขอแต่งตั้งให้หมิ่นจื๋อห่วนเป็นซ่างต้าฟู เลื่อนตำแหน่งเป็นหลางจงฝ่ายขวา”
จอกสุราที่จรดปากขององค์ชายอั๋งหยุดชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มเรียบๆ ประสานมือให้หมิ่นฉือ “ขอแสดงความยินดีกับจื๋อห่วน”
หลางจงมีหน้าที่พื้นฐานสองประการ ประการแรกคือรับใช้องค์จวินอย่างใกล้ชิดและให้คำปรึกษา ประการที่สองคือเป็นทหารองครักษ์ส่วนพระองค์ อำนาจในมือของหลางจงฝ่ายขวามีไม่มาก ทว่าบ่อยครั้งมักจะเป็นขุนนางคนสนิทขององค์จวิน การที่เว่ยอ๋องให้ตำแหน่งนี้ตั้งแต่เริ่มต้น นอกจากเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาให้ความสำคัญกับหมิ่นฉือแล้ว ยังเป็นการแสดงให้เห็นว่าเขายังชอบหมิ่นฉือมากอีกด้วย
หมิ่นฉือลุกขึ้นสะบัดแขนเสื้อโค้งคำนับต่ำ “หมิ่นจื๋อห่วนทำงานล้มเหลวหลายครั้ง ฝ่าบาทไม่เพียงไม่ละทิ้ง ในทางตรงกันข้ามกลับมอบความไว้วางใจ จิตใจกว้างขวางและเมตตายิ่งใหญ่เช่นนี้ หมิ่นจื๋อห่วนตอบแทนด้วยชีวิตก็ไม่หมด!”
เว่ยอ๋องได้ยินเช่นนี้ยิ่งรู้สึกเปรมปรีย์ นับตั้งแต่ซางจวินแล้ว “ผู้มีพรสวรรค์” เหล่านั้นที่ไม่สามารถกลับคืนสู่รัฐเว่ยได้เป็นหนามในใจของเว่ยอ๋องเสมอมา บัดนี้เขาชอบวาจายอมจำนนของนักวิชาการเหล่านี้มากที่สุด
ครั้นคิดถึง “ทฤษฏีโค่นรัฐ” ของซ่งชูอี แล้วได้ยินข่าวสงครามปาสู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เว่ยอ๋องก็นั่งไม่ติดติดต่อกันหลายเดือน น้อยคนที่จะรู้ว่า “ทฤษฎีโค่นรัฐ” กล่าวถึงเรื่องอะไร ทว่าครั้นพิจารณาจากสามคำนี้ สิ่งแรกที่ซ่งชูอีทำหลังจากเข้ารัฐฉินก็คือปราบปรามปาสู่ที่รัฐฉินไม่สามารถโจมตีเป็นเวลานาน…หลังจากปาสู่เล่า? ก็ถึงคราวของรัฐเว่ยแล้วมิใช่หรือ?
คนประเภทนี้ ในเมื่อไม่สามารถกลับมาทำประโยชน์ให้ตนได้อีก ก็ต้องกำจัดให้สิ้นซาก ทางที่ดีที่สุดคือฆ่าจนไม่เหลือแม้แต่เถ้ากระดูก
เว่ยอ๋องกำจอกสุราแน่น เขามั่นใจในแผนการนี้เป็นอย่างยิ่ง ดูเหมือนว่าคืนนี้อย่างไรก็สามารถข่มตาหลับได้แล้ว เมื่อคิดเช่นนี้ ครั้นมองดูหมิ่นฉืออีกครั้งก็ยิ่งเพลินตา
*** *** ***
ทางเสียนหยาง ในลานที่ซ่งชูอีอาศัยกลับเพิ่งเริ่มเกิดปัญหา
เจินอวี๋ถูกเปี่ยนเชวี่ยฝังเข็มจนฟื้นขึ้นมา จากนั้นก็ “รู้แจ้งเฉียบพลัน” ภายใต้ความสะลึมสะลือ คิดถึงความตั้งใจเดิมที่พี่ใหญ่พาตนมาที่นี่ก็เพื่อจับคู่ตนกับซ่งชูอี ใครจะรู้ว่าบ่าวต่ำต้อยผู้นี้จะปีนขึ้นเตียงของซ่งชูอีเสียแล้ว อีกทั้งยังฉวยโอกาสจงใจสั่นคลอนความสัมพันธ์ระหว่างตนและซ่งชูอีอีกด้วย!
หากอาเหอผู้นี้มิได้เป็นทาส ภายภาคหน้าซ่งชูอีได้เป็นขุนนางระดับสูง ตราบใดที่ได้เป็นภรรยาเอก การเป็นฮูหยินก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ การที่นางทำเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าต้องการเตะตัวเองออกไป ยืมกำลังเพื่อปีนขึ้นที่สูง!
แม้ว่าในใจนางจะไม่ชอบซ่งชูอีก็ตาม แต่สาวใช้ของตนหลอกใช้ถึงขั้นนี้ ทำให้นางรู้สึกหนาวสั่นและโมโหนัก!
“ข้าสงสัยว่าทำไม่ดีกับเจ้าตรงไหน เจ้า…เจ้ามันสาวใช้ชั่วช้า! พยายามทำร้ายข้า!” เจินอวี๋มองอาเหอที่หมอบคลานอยู่บนพื้นด้วยความโกรธ นางโกรธจนตัวสั่น ทว่าได้รับการอบรมสั่งสอนมาดีจึงด่าคนได้เพียงเท่านี้
แม้อาเหอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ทำให้เจิ้นอวี๋บันดาลโทสะ ทว่าก็ไม่เป็นผลต่อการเรียกร้องความเป็นธรรมของนาง “เจียวเจียว บ่าวถูกใส่ร้าย บ่าวถูกใส่ร้าย”
งี่เง่า! ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นด้วยซ้ำก็ร้องหาความเป็นธรรมเสียแล้ว!
ซ่งชูอีที่นั่งฟังความครึกครื้นอยู่ข้างๆ หมดความสนใจไปชั่วขณะ เรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว นางก็ขี้คร้านที่จะทำลายบุปผางามอย่างไร้ความปรานีอีก
“นี่ก็ดึกมากแล้ว น้องสาวรีบพักผ่อนเถิด พรุ่งนี้เช้าค่อยจัดการ” ซ่งชูอีสีหน้าไร้อารมณ์
“ท่าน…” เจินอวี๋ดึงมือของสาวใช้ขึ้นมา “หญิงคนนี้เป็นคนอกตัญญู เกรงว่าจะทำร้ายท่าน คงทำได้เพียงลากออกไปขาย รอพี่ใหญ่กลับมา ข้าค่อยให้พี่ใหญ่หาสาวชาวเยวี่ยที่สวยงามและอ่อนหวานให้ท่าน”
อาเหอผู้นี้ท่าทางอ่อนหวานมีเสน่ห์ มีความคล้ายคลึงกับสาวชาวเยวี่ย เจินอวี๋จึงเข้าใจว่าซ่งชูอีชอบหญิงสาวประเภทนี้
อาเหอได้ยินดังนี้ก็เข้าใจว่าซ่งชูอีเอ่ยปากขอนาง แต่เจินอวี๋กลับเข้าใจว่านางยั่วยวนโดยเจตนา สมองสับสนไปชั่วขณะ รีบพุ่งไปยังข้างเท้าซ่งชูอี “ท่านได้โปรดพูดกับเจียวเจียวว่าอย่าเอาบ่าวไปขายเลย ขอร้องท่านล่ะเจ้าค่ะ…”
นางร้องไห้น่าสงสารราวกับดอกสาลี่เปื้อนฝน หากเป็นผู้ชายธรรมดาจะต้องใจอ่อนเป็นแน่ ทว่านางลืมไปว่าซ่งชูอีมองไม่เห็น
กิริยาเช่นนี้เท่ากับยืนยันข้อกล่าวหาของนางและทำให้เจินอวี๋รำคาญเต็มที “เด็กๆ โยนสาวใช้ชั่วช้านี้ออกไปเดี๋ยวนี้!”
หญิงทรงพลังคนหนึ่งเข้ามาพร้อมกับเชือกทันที มัดอาเหอไว้ อุดปากแล้วลากนางออกไป ทำงานด้วยความคล่องแคล่วเป็นอย่างมาก
“วันนี้อาอวี๋เสียมารยาท ต้องขอโทษท่านแล้ว” เจินอวี๋ค้อมตัวคำนับ
“อืม” ซ่งชูอีพยักหน้าเฉยเมย กล่าวประเมินอย่างไม่แยแส “ขุ่นเคืองสาวใช้คนหนึ่ง เสียเวลาไปการการโต้เถียง ย่อมขาดความสง่างาม!”
ได้ยินน้ำเสียงไร้อารมณ์ของนางแล้ว เจินอวี๋ตัวสั่นเล็กน้อย สิ่งที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติในใจมิใช่ความขุ่นเคืองหากแต่เป็นความเกรงกลัว นางรู้สึกว่าท่าทีของซ่งชูอีในเวลานี้ ทำให้นางรู้สึกกลัวยิ่งกว่าตอนที่อาจารย์ตักเตือนด้วยสีหน้าบูดเบี้ยวเสียอีก
จนกระทั่งซ่งชูอีออกไปแล้ว เจินอวี๋ก็หมุนตัวซบหน้าร้องไห้อยู่บนเตียงด้วยความเจ็บปวด คำพูดที่อบอุ่นและการปลอบโยนของสาวใช้ข้างๆ นางไม่เพียงแต่ไม่ทำให้นางคลายความกังวล ในใจของนางกลับยิ่งรู้สึกคับแค้นใจ น้ำตาไหลรินไม่ขาดสาย
นางปฏิบัติต่อคนข้างกายด้วยความจริงใจ ทว่ากลับได้รับผลตอบแทนเช่นนี้…
ร้องไห้สักระยะหนึ่ง สาวใช้เห็นว่าเสียงของนางค่อยๆ เงียบหายไปรู้สึกตกใจยิ่ง รีบยื่นมือไปอังจมูก พบว่าเพียงหมดสติไปเท่านั้นจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกเล็กน้อย
ซ่งชูอีกลับมาถึงห้องก็นอนอยู่บนเตียง ครั้นได้ยินว่าเสียงสะอื้นทางนั้นเงียบไปแล้วจึงถอนหายใจโล่งอก พลิกตัวหลับสบาย
แม่งเอ๊ยนี่มันเรื่องอะไรกัน! ตัวเองจะตายอยู่แล้ว ยังต้องไปปลอบใจคนขี้แยอีก!
แก้ไขสถานการณ์…แก้ไขสถานการณ์….
ซ่งชูอีลุกขึ้นพรวด คลำหาทางมาจนถึงหน้าโต๊ะ คลำเอาแผ่นไผ่ว่างเปล่าออกมา เริ่มแกะสลักตัวอักษร
หนิงยาได้ยินเสียงแครกๆ ก็นึกว่าเป็นหนู จุดตะเกียงน้ำมันเข้ามาต้องการจะไล่ต้อนพวกมัน ทันใดนั้นก็เห็นคนผมเผ้ายุ่งเหยิงคนหนึ่งนั่งอยู่หน้าโต๊ะ มือสั่นเทา ไฟตกเสียงดังโคร้งเคร้ง
ในเสี้ยววินาทีที่แสงไฟดับลง ในที่สุดหนิงยาก็เห็นว่าคนคนนั้นคือซ่งชูอี อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “ท่านแกะอะไรดึกๆ ดื่นๆ เจ้าคะ?”
“เจ้าไปนอนเถิด” ซ่งชูอีเอ่ย
[1]โต๋วก่ง โครงสร้างรับหลังคาแบบจีนโบราณ มีลักษณะเป็นการเข้าไม้หลาย ๆ ชิ้นทบซ้อนขึ้นไป