บทที่ 234 ติดอยู่ในสถานการณ์คอขาดบาดตาย

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

หนิงยาสามารถแยกแยะอารมณ์ของซ่งชูอีได้อย่างง่ายดาย ครั้นเห็นว่าน้ำเสียงของนางไม่อาจปฏิเสธได้ก็ไม่กล้าเกลี้ยกล่อมอีก เพียงแต่ตอบรับแล้วถอยออกไปจากห้อง

ซ่งชูอีลูบคลำลายมือที่เพิ่งแกะสลักบนใบไผ่ ขมวดคิ้วเล็กน้อย

สำหรับข่าวลือนั้น บัดนี้สิ่งที่ควรแพร่กระจายก็ได้กระจายออกไปทั่วรัฐฉินแล้ว ต่อให้พยายามเก็บกวาดอย่างเต็มที่ก็ต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองวันจึงจะเห็นผล

หากต้องการแก้ไขสถานการณ์นี้ ประเด็นสำคัญมิได้ขึ้นอยู่กับว่าศัตรูคือใครทว่าอยู่ที่ตัวซ่งชูอีเอง บัดนี้นอกจากอิ๋งซื่อกับนางแล้วก็ไม่มีใครที่รู้ถึงแนวคิดและเนื้อหาจำเพาะของ “ทฤษฎีโค่นรัฐ” ซ่งชูอีเพียงเคยเปิดเผยสองสามประโยคในรัฐเว่ยเท่านั้น คนที่อยู่ในเหตุการณ์ก็มีน้อยมาก นางไม่เคยป่าวประกาศเนื้อหาทางวิชาการของตนอย่างเป็นทางการ และนี่ก็คือกุญแจสำคัญในการแก้ไขสถานการณ์นี้

ไม่ว่าหมากสุดท้ายของอีกฝ่ายคืออะไร ตอนนี้ซ่งชูอีจะต้องออก “ทฤษฎีโค่นรัฐ” ชุดใหม่ นางรู้ดีกว่าเนื้อหาใหม่นี้ไม่สามารถโน้มน้าวทุกคนได้ แต่ใครบ้างที่ไม่มีความทะเยอทะยานในโลกแห่งการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่? ขอเพียงไม่ปล่อยให้คนอื่นจับหลักฐานเพื่อเพิ่มการโจมตีได้เป็นพอ

แม้ว่าแนวคิดชุดนี้มีขึ้นเพื่อยับยั้งฝูงชน ทว่าเนื้อหาจำต้องเป็นของจริงเท่านั้นจึงจะสามารถเป็นประโยชน์ได้

ขอเพียงสามพันคำแต่ทุกคำต้องสมบูรณ์แบบ

หนึ่งราตรีผ่านไป แสงที่นอกหน้าต่างค่อยๆ สว่างขึ้น ซ่งชูอีไม่รู้ตัวโดยสิ้นเชิง

“ท่านเจ้าคะ?” หนิงยาเข้ามาครั้งที่หกแล้ว “ฟ้าสว่างแล้วเจ้าค่ะ”

“อย่ากวนข้า ควรจะทำอะไรก็ไปทำเสีย!” ซ่งชูอีโยนมีดแกะสลัก นวดคลึงข้อมือที่ปวดเมื่อยพลางเอ่ย

หนิงยาลอบมองสีหน้าของซ่งชูอี เมื่อเห็นว่านางมิได้มีสีหน้าโมโห ก็รู้ว่าเพียงแค่รำคาญที่ตนรบกวนความคิดของนาง จึงไม่กล้าโน้มน้าวอีก…ทว่าท่านหมอเทวดากำชับไว้หนักหนาว่าจะต้องพักผ่อนให้เพียงพอ

ลังเลอยู่ที่หน้าประตูครู่หนึ่ง หนิงยาก็ตัดสินใจว่าจะไปหาเปี่ยนเชวี่ยเพื่อถามว่าการอดหลับอดนอนเช่นนี้จะขัดขวางการฟื้นฟูของอาการป่วยหรือไม่

นางเพิ่งจะยกเท้า กลับได้ยินซ่งชูอีที่อยู่ในห้องเรียกหา “หนิงยา”

“เจ้าค่ะ” หนิงยาตอบด้วยเสียงสดใส กลับเข้าไปในห้องอีกครั้งหนึ่ง “ท่านมีสิ่งใดจะสั่งเจ้าคะ?”

“มานี่” ซ่งชูอีคลี่สมุดไผ่ว่างเปล่าออก นำพู่กันจุ่มหมึก ลูบคลำช่องว่างระหว่างแผ่นไผ่แล้วเขียนตัวอักษรแถวหนึ่งลงไป “เจ้าคิดว่าตัวอักษรของข้านี้เรียบร้อยหรือไม่?”

สาเหตุที่ซ่งชูอีแกะสลัก เพราะสามารถลูบคลำร่องรอยของมันจึงไม่ยุ่งเหยิงโดยง่าย ทว่าหากแกะสลักเช่นนี้ต่อไป ไม่เพียงช้าทว่ายังลำบากอีกด้วย

“คือว่า…” หนิงยารู้หนังสือเพียงไม่กี่ตัว ทว่าก็ยังดูออกว่าเรียบร้อยหรือไม่ นางเคยเห็นใบไผ่ที่ซ่งชูอีเขียนก่อนหน้านี้ ครั้นเห็นอีกครั้งก็ยากที่จะถูกตาต้องใจแล้ว

ซ่งชูอีได้ยินนางอ้ำอึ้ง ก็รู้ว่าเขียนได้ไม่สวย

“แล้วพวกนี้เล่า?” ซ่งชูอีคลี่อักษรที่แกะสลักออก

หนิงยามองดูอย่างละเอียด “เช่นนี้เรียบร้อยมากเจ้าค่ะ ไม่ต่างจากที่ท่านเคยแกะก่อนหน้านี้เท่าไร”

“เฮ้อ!” ซ่งชูอีถอนหายใจยืดยาว “เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้เล่า!”

“ท่านทานข้าวก่อนเถิด?” หนิงยาเอ่ย

ซ่งชูอีพยักหน้า อย่างไรก็ดีคมมีดสังหารนี้ก็ยังมิได้จ่ออยู่ที่คอ นางจะชิงล้มป่วยก่อนมิได้ การบำรุงร่างกายนี้ก็เร่งด่วนเช่นกัน

หลังจากล้างหน้าล้างตาและกินอาหารอ่อนเสร็จแล้ว ไม่ช้าเปี่ยนเชวี่ยก็เข้ามาฝังเข็ม

“เมื่อคืนหวยจินพักผ่อนไม่พอหรือ?” หลังจากที่เปี่ยนเชวี่ยร่ำสุราซ่งชูอีวันนั้นแล้ว ก็สนิทกับนางขึ้นมาเล็กน้อย ย่อมเปลี่ยนวิธีการเรียกชื่อเป็นธรรมดา

“ท่านอาวุโสสมกับเป็นหมอเทวดาจริงๆ” ครั้นซ่งชูอีรู้ว่าเปี่ยนเชวี่ยชี้แนะด้วยความจริงใจ ก็อดที่จะรู้สึกละอายไม่ได้

ได้ยินดังนี้ เปี่ยนเชวี่ยก็ขมวดคิ้ว “อย่าว่าแต่ข้าผู้อาวุโสที่เป็นหมอเลย ต่อให้เป็นคนปกติเพียงเห็นสีหน้าเจ้าก็รู้แล้ว หากเจ้าไม่อยากหายดีก็รีบบอกกับข้า ข้าจะได้ไม่ต้องเหนื่อยเปล่า อีกทั้งต่อไปยังทำลายชื่อเสียงของข้าผู้อาวุโสอีกด้วย!”

เปี่ยนเชวี่ยก็มิใช่ชายชราที่แปลกประหลาดมากนัก ความชอบก็มิได้ต่างจากคนอื่นทั่วไป เพียงแต่เกลียดคนไข้ที่ไม่เชื่อฟังเป็นที่สุด หากไม่ใช่เพราะองค์จวินเชิญเขามาวินิจฉัยด้วยตัวเอง อีกทั้งนิสัยของซ่งชูอีก็เข้ากันกับเขา เมื่อพบคนไข้ที่ขัดขืนคำแนะนำของหมอเช่นนี้ก็คงสะบัดแขนเสื้อจากไปแล้ว

ซ่งชูอียิ้มกว้างเอ่ย “ชื่อของท่านอาวุโสเป็นเหมือนภูเขาสูงตระหง่าน ข้าตัวน้อยๆ เช่นนี้จะผลักล้มได้เยี่ยงไร? เพียงแต่…” นางนิ่งไปครู่หนึ่ง เอ่ยยิ้มขมขื่น “ระยะมานี้ข้าติดอยู่ในชีวิตและความตาย หากไม่ฝ่าออกมา เกรงว่าไม่เพียงแต่ดวงตาคู่นี้ของข้าเท่านั้น แม้แต่ชีวิตของข้าก็คงจะหาไม่แล้ว”

“ในเมื่อสิ้นหวังเช่นนี้ ข้าก็จะไม่ห้ามปรามเจ้า ทว่าเจ้าจะต้องมั่นใจว่านอนอย่างน้อยสามชั่วยามทุกวัน” น้ำเสียงของเปี่ยนเชวี่ยมิได้มาเพื่อปรึกษาทว่าเป็นการบอกกล่าว นอกเหนือจากอาการป่วยของคนไข้แล้วเขาก็ไม่สนใจสิ่งใดทั้งนั้น และยิ่งจะไม่ถามมาก

“ได้ ข้าจะเชื่อฟังอย่างแน่นอน” ซ่งชูอีรับคำ

ที่นอกประตู เจียนเข้ามารายงานว่า “ท่านขอรับ องค์ชายจี๋มาเยี่ยม กล่าวว่ามีเรื่องด่วน”

เปี่ยนเชวี่ยกำลังจะฝังเข็มกลับถูกขัดจังหวะ สีหน้าค่อนข้างไม่พอใจ

“ท่านอาวุโส…” ซ่งชูอีกล่าวด้วยน้ำเสียงสงสัย การฝังเข็มนี้ รวมๆ กันแล้วต้องใช้เวลาอย่างน้อยประมาณครึ่งชั่วยาม จะรอได้นานขนาดนั้นหรือไม่?

น้ำเสียงของเปี่ยนเชวี่ยเรียบเฉย “เวลานี้เป็นเวลาที่ดีที่สุดในการฝังเข็ม จะล่าช้าแม้แต่น้อยก็มิได้ จะรักษาโรคหรือว่าจะหารือ เจ้าเลือกเอาเอง”

ซ่งชูอีเม้มปาก นางมีลางสังหรณ์ว่าหากนางเลือกที่จะไปหาชูหลี่จี๋ในตอนนี้ เปี่ยนเชวี่ยก็จะไม่สนใจอาการป่วยของนางอีก

ในด้านทักษะทางการแพทย์ เปี่ยนเชวี่ยเป็นบุคคลที่ไล่ตามความสมบูรณ์แบบขั้นสุด

ในระยะหลังนี้ ไม่ว่าเขาจะจ่ายยาหรือต้มยาล้วนกระทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ไม่เคยให้ผู้อื่นทำเลย อีกทั้งแม้แต่อาหารการกินหรือการพักผ่อนของนางล้วนกำชับด้วยความละเอียดยิ่ง การที่เขารับผิดชอบด้วยความจริงจังเพียงนี้ เพียงเพราะพยายามยกระดับความเป็นไปได้แปดส่วนเป็นเก้าส่วนหรือแม้แต่สิบส่วน ดังนั้นเปี่ยนเชวี่ยจึงปฏิเสธผู้ป่วยที่ไม่ให้ความร่วมมือจากก้นบึ้งของหัวใจ

“ข้าจะหารือไปด้วยรับการฝังเข็มไปด้วย ผู้อาวุโสสามารถรับผลกระทบได้หรือไม่?” ซ่งชูอีคิดได้เพียงการประนีประนอม ในเมื่อชูหลี่จี๋บอกว่ามีเรื่องด่วน ก็จะต้องด่วนมากอย่างแน่นอน อีกทั้งจะต้องเกี่ยวกับนางแน่! ชูหลี่จี๋ก็มิใช่คนที่วางมาดใหญ่โต หากมีปัญหาอื่น ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็จะไม่รบกวนในขณะที่นางพักฟื้น

“ข้าจะรับผลกระทบอะไรได้!” เปี่ยนเชวี่ยตบโต๊ะด้วยความโมโห “ที่ผ่านมามีครั้งไหนบ้างที่ข้ามิได้ฝังเข็มให้เจ้าด้วยความสงบ? ในเมื่อเป็นเรื่องด่วน เจ้าจะรับการฝังเข็มด้วยความสงบได้หรือ?”

“ข้าทำได้” เพิ่งจะสิ้นวาจาของเปี่ยนเชวี่ย ก็ได้ยินซ่งชูอีกล่าวสามคำนี้ออกมาอย่างใจเย็น

เปี่ยนเชวี่ยนิ่งไปครู่หนึ่ง ลืมความโกรธไปเสียแล้ว

ซ่งชูอีเอ่ยขึ้นเชื่องช้า “ระยะหลังนี้ทุกข่าวล้วนมีความสำคัญต่อข้ายิ่ง พี่ใหญ่ของข้าก็เป็นผู้ที่มีความต้านทาน อะไรที่สามารถแก้ไขได้จะไม่ถูกบอกเล่าระหว่างความเจ็บป่วยของข้า ข้าต้องการรักษาโรคตาด้วยความจริงใจ แต่ข้าก็ไม่อาจทำผิดพลาดได้ หากท่านอาวุโสสามารถฝังเข็มได้โดยไร้การรบกวน ข้าก็ไม่จำเป็นต้องกังวล!”

นี่เป็นครั้งแรกที่คนไข้มีคำขอร้องเช่นนี้ เปี่ยนเชวี่ยมั่นใจในตัวเอง ทว่า…

เขาไม่สามารถทนต่อความผิดพลาดใดๆ ในระหว่างการรักษาของตนได้ อย่างไรก็ดีเมื่อเห็นดวงตาที่ไร้คลื่นราวกับลำธารสงบนิ่งของซ่งชูอีคู่นั้นแล้ว เขาครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนประนีประนอม “ได้!”

เปี่ยนเชวี่ยหยิบถุงใส่เข็มออกมา พลางเช็ดเข็มพลางกล่าว “ข้าผู้อาวุโสเดิมพันชื่อเสียงและจรรยาบรรณทางการแพทย์สิบกว่าปีนี้ไว้กับเจ้าแล้ว”

ซ่งชูอีหัวเราะหึหึ “มีภูเขาตระหง่านสองลูกทำให้จิตใจของข้าสงบได้เช่นนี้ นอกเสียจากว่าฟ้าถล่มแผ่นดินทลาย จะมีสิ่งใดทำให้ข้าหวั่นไหวได้เล่า?”

เปี่ยนเชวี่ยกล่าวเช่นนี้ทว่าก็ยังต้องการห้ามปรามนางและบอกนางว่าอย่าเสี่ยงจะดีกว่า ใครจะรู้ว่าสิ่งนี้ก็สามารถทำให้นางปีนเสาของผู้อื่นขึ้นไปสู่ที่สูงได้

หวั่นไหวเพียงความคิดทว่าไม่หวั่นไหวในความรู้สึกเช่นนั้นหรือ? เปี่ยนเชวี่ยนไม่เคยจินตนาการมาก่อนเลย จะต้องรู้ไว้ว่าความคิดกับความรู้สึกนั้นเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เมื่อคนธรรมดาคิดถึงสิ่งต่างๆ มันเป็นเรื่องยากมากที่จะระงับจิตใจของพวกเขา

“ไปเชิญองค์ชายจี๋เข้ามา” ซ่งชูอีเอ่ยเสียงดัง

“ขอรับ” เจียนตอบรับ

“ช่างเถิด! เกรงว่าศีลธรรมในวัยชราของข้าคงจะถูกรุ่นหลังเยี่ยงเจ้าทำลายแล้ว!” เปี่ยนเชวี่ยถอนหายใจเอ่ย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะปกปิดบุคคลภายนอกหรือลืมไปว่าซ่งชูอีเป็นผู้หญิง เปี่ยนเชวี่ยมักจะเรียกนางว่า “รุ่นหลัง รุ่นหลัง” อยู่เสมอ

ครั้นได้ยินคำว่า “ศีลธรรมในวัยชรา” ทันใดนั้นความสามารถในการเข้าใจคำศัพท์ของซ่งชูอีก็ราวกับเด็กในวัยห้าขวบ อดที่จะเบะปากมิได้ พลันคิดในใจว่า ข้ามิได้มีความสนใจในศีลธรรมวัยชราของท่านเสียหน่อย…

เปี่ยนเชวี่ยไม่รู้ถึงการดูหมิ่นในใจนี้ของซ่งชูอี เตรียมเข็มอย่างตั้งใจ ขณะที่เพิ่งจะเริ่มฝังเข็ม ชูหลี่จี๋ก็มาถึงแล้ว

ชูหลี่จี๋เข้าห้องมาก็ตะลึงงันไปครู่หนึ่ง

“พี่ใหญ่กล่าวมาได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น” ซ่งชูอีเอ่ย

ชูหลี่จี๋เข้าใจการแพทย์อยู่บ้าง แม้ฝังเข็มไม่เป็น แต่เข้าใจว่าระหว่างฝังเข็มสำคัญมาก “เจ้าทำใจให้สบายก่อน อีกประเดี๋ยวข้าค่อยคุย”

เปี่ยนเชวี่ยไม่สนว่าพวกเขาคุยอะไรกัน ตั้งใจฝังเข็ม

ซ่งชูอีขยับมากมิได้ เพียงพูดอย่างคลุมเครือ “ในเมื่อให้พี่ใหญ่มา ก็เท่ากับไม่เป็นปัญหาในการฝังเข็ม พี่ใหญ่ชั่งน้ำหนักเอาเถิด”

เรื่องนี้ด่วนราวกับไฟที่ไหม้มาถึงจนคิ้วแล้ว ไม่เช่นนั้นชูหลี่จี๋คงไม่ขี่ม้าเร็วบึ่งมาที่นี่ทันทีที่ประชุมราชสำนักเสร็จ

เมื่อครู่ที่พุ่งเข้ามาเต็มไปด้วยเรื่องหนักอึ้งในใจ แต่ไม่รู้ว่าซ่งชูอีกำลังฝังเข็มอยู่ ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ปล่อยให้เจียนมาส่งข่าว

ครุ่นคิดแล้ว ชูหลี่จี๋คิดว่าบัดนี้ซ่งชูอีควรรักษาจิตใจให้สงบ พูดออกมาคงไม่มีประโยชน์มากสักเท่าใด และก็ใช่ว่าจะรอสักครู่ไม่ได้ ดังนั้นจึงหาสถานที่ที่ไม่กระทบแสงแล้วยืนรอ

เขาไม่ได้ตอบ ซ่งชูอีก็มิได้ถามอีก

ชูหลี่จี๋มองดูคนที่ผอมเหมือนท่อนฟืนบนเตียง ความรู้สึกที่ยากจะพรรณาเอ่อล้นขึ้นในใจ สงสารที่นางทุกข์ทรมาน ชื่นชมความสามารถและเสน่ห์ของนาง ดีใจที่ตัวเองดูไม่ผิดคน…

ปฏิเสธไม่ได้ว่าขณะที่อยู่ในรัฐเว่ย์ ชูหลี่จี๋ริเริ่มที่จะทำความรู้จักกับซ่งชูอีและใจดีกับนาง ประการแรกเพราะความคิดที่จะสรรหาพรสวรรค์สำหรับรัฐฉิน กอปรกับตนรักและหวงแหนผู้ที่มีความสามารถ โดยเฉพาะตอนที่พบกับซ่งชูอีนางอายุเพียงสิบหกสิบเจ็ดเท่านั้น ผู้ที่รอบรู้และอายุยังน้อยเพียงนี้ บวกกับนิสัยตรงไปตรงมา ในใจก็ยิ่งรู้สึกว่าหาได้ยาก อย่างไรก็ตามต่อมาด้วยมิตรภาพที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เขาไม่เพียงแต่ประหลาดใจกับความน่าทึ่งของนางเท่านั้น แต่ยังประทับใจในท่าทางอิสระเสรีของนางด้วย

ในความคิดของชูหลี่จี๋ ซ่งชูอีเป็นทั้งสหายและน้องสาว อีกทั้งเป็นเพื่อนร่วมงานที่ร่วมมือกันทำให้ต้าฉินยึดครองใต้หล้า! ไม่ใช่น้องสาวผู้อ่อนแอที่ต้องการการปกป้องตลอดเวลา ดังนั้นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของซ่งชูอี เขาจะไม่ปิดบังนางและดำเนินการตัดสินใจด้วยตัวเอง แต่คิดที่จะหารือกับนางก่อน

ผ่านไปสองสามเค่อ เสียงเข็มหล่นในห้องสามารถได้ยินอย่างชัดเจน

เสียงฝีเท้าเร่งรีบดังขึ้นด้านนอก จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงนอบน้อมของเจียน “ท่านขอรับ ฝ่าบาททรงเรียกซ่างต้าฟูไปหารือ ผู้ส่งสารกำลังรออยู่หน้าประตู”

“หวยจิน…” ชูหลี่จี๋ไตร่ตรองครู่หนึ่ง ในใจเกรงว่าบัดนี้มีเพียงซ่งชูอีเท่านั้นจริงๆ ที่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ จำต้องให้นางเตรียมตัวตั้งแต่เนิ่นๆ

“หืม?” ซ่งชูอีตอบ

ช่างเถิด ต่อให้เกิดปัญหาขึ้นก็ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต ทว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นเรื่องร้ายแรงมาก “ข่าวลือในรัฐซานตงโหมกระหน่ำ “ทฤษฎีโค่นรัฐ” ของหวยจินนั้นแพร่กระจายไปทั่วทุกแห่ง ทุกหกพันคำในบทความล้วนโหดร้ายและเป็นภัยต่อวจนะแห่งสวรรค์ ในเวลาเพียงสิบกว่าวันก็ก่อให้เกิดความโกลาหลขึ้นในใต้หล้า ทั้งร้อยสำนักต่างวิพากย์วิจารณ์ด้วยตัวอักษรและวาจา จวี้จื่อแห่งสำนักม่อได้มาที่เสียนหยางเพื่อเข้าเฝ้าฝ่าบาทด้วยตัวเองเมื่อเช้านี้ ถามฝ่าบาทว่าเหตุใดจึงได้…จึงได้…เฮ้อ บัดนี้เวลายังสั้น สำนักอื่นที่เหลือยังมาไม่ถึงเสียนหยาง”

เปี่ยนเชวี่ยซึ่งมีสมาธิอยู่เสมอก็ยังรู้สึกตกใจเมื่อได้ยินสิ่งนี้ – เรื่องคอขาดบาดตายยิ่งใหญ่เช่นนี้! โอกาสรอดตายมีน้อยมาก!