ในขณะที่เรื่องนี้เริ่มต้น ซ่งชูอีก็เตรียมใจไว้แล้ว อีกฝ่ายมีเจตนาต้องการให้นางถึงแก่ความตายจะวางมือหลังจากที่แพร่กระจายคำพูดออกไปได้อย่างไร? นางคาดคะเนผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดไว้นับไม่ถ้วนแล้ว ดังนั้นบัดนี้เมื่อได้ยินข่าวนี้ก็แน่นอนว่าจึงไม่มีอารมณ์แปรปรวนใดๆ “พี่ใหญ่วางใจเถิด “ทฤษฎีโค่นรัฐ” เป็น “ทฤษฎีโค่นรัฐ” ตามแบบของจวงจื่อแห่งสำนักเต๋า ได้โปรดนำความนี้กลับไปทูลฝ่าบาทด้วย”
หลักคำสอนของลัทธิเต๋าคืออะไร? ปล่อยไปตามธรรมชาติ จิตใจบริสุทธิ์ ละเว้นกิเลส…
คำสอนของเหล่าจื่อโดยทั่วไปแบ่งออกเป็นสองประเภท หนึ่งคือเต๋าที่ปลูกฝังด้านศีลธรรม สองคือเต๋าที่ปกครองบ้านเมือง ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยให้ทุกอย่างก็เป็นไปตามครรลองหรือราษฏรในรัฐเล็กๆ ล้วนมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดต่อครอบครัว บ้านเมืองและใต้หล้า ต่อมาสำนักเต๋าของหวงเหล่าได้ดำเนินการส่งต่อคำสอนอย่างหลังออกไปอย่างกว้างขวางจนกลายเป็น “ลัทธิปฏิบัตินิยม” ที่ค้านกัน ส่วนหลักคำสอนของจวงจื่อคือมนุษย์และธรรมชาติรวมเป็นหนึ่งเดียว สงบนิ่งปล่อยไปตามครรลอง ละทิ้งความรุ่งเรือง ความมั่งคั่ง อำนาจ ชื่อเสียงและผลประโยชน์ รักษาหัวใจให้เป็นหนึ่งท่ามกลางความวุ่นวาย และแสวงหาวิถีแห่งมนุษย์ที่แท้จริง
ท่ามกลางโลกที่แก่งแย่งชิงดี ทุกคนล้วนมุ่งหวังไปยังผลลัพธ์อันสูงสุด สำนักเมธีนับร้อยก็ล้วนแสดงทฤษฎีการปกครองบ้านเมืองอย่างกระตือรือร้น แม้แต่สำนักของเหล่าจื่อกับหวงเหล่าก็ล้วนเกี่ยวข้องกับสิ่งนี้ ในโลกอันตื่นตระหนกกลับมีเพียงจวงจื่อผู้เดียวที่ทวนกระแส ต้องการกำจัดพันธนาการทั้งหมดในโลก ตามหาอิสระในอุดมคติ จากมุมมองของสภาพแวดล้อมทั่วไปในขณะนี้ แน่นอนว่ามันอิสระเสรี แต่ก็ถูกมองในเชิงลบอยู่บ้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ประเสริฐนัก!” ในที่สุดก็มีรอยยิ้มจางๆ ปรากฏอยู่บนใบหน้าของชูหลี่จี๋
เปี่ยนเชวี่ยสำรวจชีพจรของซ่งชูอีอย่างไม่วางใจ ครั้นพบว่ามันไม่มีความผิดปกติใดจริงๆ ก็อดที่จะลอบอุทานมิได้ ‘อายุยังน้อยทว่ามีความแน่วแน่เพียงนี้ นับเป็นเรื่องมหัศจรรย์จริงๆ!’
การฝังเข็มจบลงอย่างราบรื่น ซ่งชูอีขอโทษเปี่ยนเชวี่ยอย่างเป็นเรื่องเป็นราวอีกครั้ง
นี่เป็นครั้งแรกที่เปี่ยนเชวี่ยพบผู้ป่วยที่อยากจะปล่อยไปแต่ทนไม่ได้ที่จะไม่แยแส ในใจรู้สึกสับสนอย่างแท้จริง ทว่าในเมื่อมีการประนีประนอมมาแล้วครั้งหนึ่งก็ไม่กลัวที่จะมีครั้งที่สอง คิดเสียว่า…เป็นการตอบแทนสุราดอกบ๊วยของนางก็แล้วกัน!
หลังจากนั้นสองวันชูหลี่จี๋ก็ไม่ได้มาอีก ซ่งชูอีแกะตัวอักษรโดยไม่หยุดพักแม้แต่ครึ่งเค่อ แม้แต่ตอนกินข้าวก็กินเท่าแมวดม
เปี่ยนเชวี่ยเฝ้าดูจนในที่สุดก็ทนไม่ไหว สนทนากับนางจากก้นบึ้งของหัวใจ ใจความโดยรวมก็คือ ‘ข้าจะหลับตาข้างหนึ่งต่อพฤติกรรมที่ไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำของหมอของเจ้า ทว่าดีเลวอย่างไรเจ้าก็ต้องพิจารณาหัวอกของข้าบ้างมิใช่หรือ? เห็นเจ้าเป็นแบบนี้ ความเป็นไปได้แปดส่วนก็ดูเหมือนจะเหลือสองส่วนแล้ว ข้าไม่อาจทนดูเจ้ากลายเป็นรอยด่างในชีวิตของตัวเองได้!’
ซ่งชูอีฟังจบอย่างอดทน กล่าวเกลี้ยกล่อมด้วยความจริงใจยิ่ง “หยกงามย่อมมีจุดด่างพร้อยนี่นา ต่อให้หวยจินกลายเป็นรอยด่าง ก็ไม่อาจซ่อนเร้นความงดงามของหยกขาวได้ ได้ยินว่าหยกเหอซื่อปี้นั้นก็ใช่ว่าจะไร้ข้อบกพร่อง ทว่าครั้นถูกค้นพบในโลกอันมัวหมองที่ผู้คนเข้ามาและผ่านไปแล้วก็ย่อมเปื้อนฝุ่นบ้างเป็นธรรมดา สวรรค์ก็คงรู้สึกว่าความสูงส่งของผู้อาวุโสนั้นเป็นปรปักษ์ต่อฟ้าดิน จึงจงใจหยิบยื่นจุดด่างพร้อยให้ท่าน วิถีเต๋านั้นเป็นธรรมชาติ ท่านผู้อาวุโสก็ทำให้ดีที่สุดแล้วปล่อยให้เป็นไปตามสวรรค์บัญชาเถิด!”
วาจานี้แม้ฟังแล้วไม่ชอบใจเท่าไรทว่าก็ดูเหมือนจะมีเหตุผลไม่น้อย
เปี่ยนเชวี่ยเป็นคนที่หมกมุ่นอยู่กับทักษะทางการแพทย์และต้องการความสมบูรณ์แบบ ซึ่งสวนทางกับมุมมองของลัทธิเต๋าในการปฏิบัติตามธรรมชาติ ทว่าเขาก็ยังยกย่องลัทธิเต๋าด้วยใจจริง
เขามักจะไม่รู้ตัวว่าตัวเองขัดแย้งกับตัวเอง ครั้งนี้เมื่อถูกซ่งชูอีหยิบยกออกมาก็ถูกดึงดูดเข้าไป ปิดประตูของตัวเองและรู้แจ้งเห็นจริงแล้ว
“ฮู่!” ซ่งชูอีนอนแผ่อยู่บนเตียง ความปวดเมื่อยบนข้อมือและอาการเจ็บแปลบบนปลายนิ้วนั้นทำให้นางไม่ต้องการขยับตัว
นอนอยู่ครู่หนึ่งซ่งชูอีก็ลุกขึ้นมา ยื่นมือคลำหาแถบผ้าสีดำที่ใช้ปิดตาที่วางอยู่ข้างโต๊ะพันมือของตัวเอง คลำหามีดแกะสลักต้องการจะทำงานต่อ พลันรู้สึกถึงลมหายใจแผ่วเบาข้างกาย จึงเหวี่ยงมีดแกะสลักในมือออกไปโดยไม่คิด
ข้อมือถูกคนคว้าเอาไว้ เสียงตั้งคำถามเย็นชาดังขึ้นมาจากทางนั้น “จะฆ่าจวินรึ?”
ซ่งชูอีแสร้งทำเป็นตกใจ ชักมือกลับ รีบโค้งคำนับต่ำ
“ลุกขึ้นเถิด” อิ๋งซื่อเอ่ยเสียงเรียบ แม้ว่าเขาจะเป็นองค์จวิน การเข้ามาโดยไม่บอกกล่าวก็ถือว่าเป็นความผิด ดังนั้นทั้งที่รู้ว่าซ่งชูอีจะกระทำโดยเจตนาก็ไม่สามารถกล่าวโทษได้ จึงทำได้เพียงยอมรับความเสียหายแต่พูดไม่ได้เท่านั้น
ซ่งชูอีคิดในใจ หรือว่าไป๋เริ่นจะถูกวางยาอีกแล้ว? เจ้าสัตว์ป่าขนปุยตัวนั้นก็งี่เง่าเป็นครั้งคราวอยู่แล้ว หากถูกวางยามากไปจะโง่ยิ่งกว่าเดิมหรือเปล่า?
อิ๋งซื่อหยิบแผ่นไผ่เปื้อนเลือดบนโต๊ะขึ้นมา สายตาจับจ้องอยู่ที่นิ้วของนาง “อีกนานเท่าใดจึงจะเสร็จ?”
“ดูตามรูปการณ์นี้แล้ว ต่อให้กระหม่อมมีบทความอยู่ในหัว หากไม่มีสักเจ็ดแปดวันก็สลักไม่เสร็จ” ซ่งชูอีนิ่งไปครู่หนึ่ง เอ่ยถาม “ฝ่าบาททราบหรือไม่ว่ามีใครบ้างที่สามารถเลียนแบบลายมือและเป็นคนที่น่าเชื่อถือได้?”
“รู้แล้วยังจะถาม” อิ๋งซื่อยืนตรงข้ามนาง เอามือสอดไว้ในแขนเสื้อพร้อมมองต่ำมาที่นาง “เจ้าบรรยายมา หรือไม่ก็เขียนด้วยพู่กัน ข้าจะแกะเอง”
ครั้นคิดถึงตอนนั้นที่อิ๋งซื่อปลอมแปลงหนังสือเทียบรัฐก็สามารถหลอกลวงคนได้อยู่หมัด เรื่องการปลอมแปลงลายมือเช่นนี้ยิ่งมิใช่เรื่องยากเลย
ในขณะนี้ยังหาคนที่มี “ฝีมือ” และน่าไว้วางใจกว่าเขามิได้อีกแล้ว ทว่าซ่งชูอีก็ยังกล่าวอย่างเกรงใจตามกิจวัตร “กระหม่อมจะกล้ารบกวนฝ่าบาทได้เยี่ยงไร!”
“หยุดพูดเหลวไหล!” อิ๋งซื่อโยนแผ่นไผ่ไปบนโต๊ะ ก้มตัวจุ่มพู่กันลงในหมึก ทว่าครั้นเห็นบาดแผลบนนิ้วมือแล้วก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย นิ้วเรียวยาวแก้แถบผ้าไหมที่ห้อยต่องแต่ง จากนั้นพันบาดแผลด้วยความคล่องแคล่ว แล้วยัดพู่กันเข้าไป “เขียน!”
ซ่งชูอีหัวเราะแห้งๆ สองที คลำหาม้วนไผ่ที่ว่างเปล่าม้วนหนึ่งแล้วปูลงตรงหน้า
อิ๋งซื่อผู้นี้กระทำการอย่างตรงไปตรงมาและมีประสิทธิภาพจนทำให้พูดไม่ออก หากไม่มีความจำเป็น เรื่องที่สามารถแก้ไขปัญหาได้ทันทีก็จะไม่อ้อมค้อมให้เสียเวลา หากสามารถแสดงความคิดได้ด้วยคำคำเดียวก็จะไม่เอ่ยสองคำเป็นอันขาด! ซ่งชูอีแอบดูหมิ่นอยู่ในใจ หากไม่ใช่เพราะใบหน้านี้ของเขา ด้วยนิสัยเช่นนี้ก็คงไม่มีคนรักสักคน!
ซ่งชูอีหยิบพู่กันขึ้นมา เขียนเนื้อหาส่วนที่คิดไว้แล้วแต่ยังไม่ทันได้แกะสลักลงไปบนแผ่นไผ่
แน่นอนว่าอิ๋งซื่อก็สามารถเลียนแบบลายมือได้ ทว่าในปัจจุบันร่างแบบคำถามที่สำคัญส่วนมากล้วนเป็นการแกะสลัก วาทกรรมทางวิชาการที่ได้รับการยกย่องของคนคนหนึ่งจะถูกเขียนด้วยพู่กันก่อนจากนั้นก็จะแกะสลักออกมา
“ฝ่าบาท เตรียมอาหารเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ทหารอารักขาที่อยู่ข้างนอกทูลรายงาน
“ยกเข้ามา” อิ๋งซื่อกล่าว
“พ่ะย่ะค่ะ” ทหารอารักขาผลักประตูเปิด หนิงยายกก๋วยเตี๋ยวชามใหญ่เข้ามา หลบเลี่ยงอิ๋งซื่อออกไปไกลและวางลงตรงหน้าซ่งชูอีอย่างระมัดระมัด “ท่านเจ้าคะ ได้เวลาอาหารค่ำแล้วเจ้าค่ะ”
“ฝ่าบาททรงเสวยพระกระยาหารค่ำแล้วหรือยัง?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม
“อืม” อิ๋งซื่อตอบเรียบๆ สั่งให้ซ่งชูอีย้ายที่ “ไปนั่งทางโน้น”
หนิงยารีบยกก๋วยเตี๋ยวไปบนโต๊ะเล็กอีกตัวหนึ่ง ปูเบาะที่นั่งให้ซ่งชูอี ประคองนางไปตรงนั้น การเคลื่อนไหวรวดเร็วกว่าปกติหลายเท่า
นับตั้งแต่ที่หนิงยาเริ่มพูด ซ่งชูอีก็ฟังออกว่านางกำลังสั่น นางกลัวอิ๋งซื่อ นี่คือความเกรงกลัวที่ราษฎรมีต่ออำนาจขององค์จวิน และก็เป็นความเกรงกลัวในความเย็นชาและเคร่งขรึมของอิ๋งซื่อเอง
“มือข้าบาดเจ็บแล้ว ป้อนข้ากินข้าวเถิด” ซ่งชูอีเอ่ย
หนิงยาทำท่าเหมือนจะร้องไห้ บัดนี้เธอยกแม้แต่ตะเกียบไม่ขึ้นด้วยซ้ำ…เมื่อเห็นว่าซ่งชูอีกำลังรออยู่ ก็อดที่จะเหลือบมองอิ๋งซื่อมิได้
องค์จวินหนุ่มทางนั้นกำลังโน้มตัวแกะตัวหนังสืออยู่บนโต๊ะ ชุดหรูหราแขนกว้างสีดำดูเรียบง่ายทว่าก็ไม่ทิ้งความสง่างาม ผมที่ถูกมัดอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยมิได้สวมใส่เครื่องกวน ใบหน้าหล่อเหลาด้านข้างที่ดูเหมือนงานแกะสลักดูอ่อนโยนลงเล็กน้อยภายใต้แสงอาทิตย์ยามอัศดง
หนิงยาเห็นว่าเขาจดจ่ออยู่กับมีดแกะสลักในมือก็ถอนหายใจเล็กน้อย บังคับตัวเองให้สงบสติลง ถือตะเกียบด้วยมือที่ยังสั่นเทาพร้อมปรนนิบัติซ่งชูอีกินอาหาร
หลังจากซ่งชูอีกินอาหารอย่างละเมียดละไมแล้วในที่สุดก็ปล่อยหนิงยาไป
“หลังจากประโยคนี้ ‘ระหว่างสวรรค์และโลก ผู้คนต่อสู้ นำสู่ความวุ่นวาย’ เพิ่มไปอีกประโยคว่า ‘ความวุ่นวายไม่อาจลงโทษด้วยการเฆี่ยนตี จึงมีกองทัพ’ ดูเหมือนจะลื่นไหลกว่า” อิ๋งซื่อเงยหน้ามองซ่งชูอี
ซ่งชูอีจัดระเบียบเล็กน้อย “ระหว่างสวรรค์และโลก ผู้คนต่อสู้ นำสู่ความวุ่นวาย การวุ่นวายไม่อาจลงโทษด้วยการเฆี่ยนตี จึงมีกองทัพ อาวุธของกองทัพ มิอาจใช้ผิดทาง จึงมีกฎหมาย…เพราะข้าละเลยไป ฝ่าบาทดูว่าด้านหน้ายังมีตรงไหนที่ต้องแก้ไขหรือไม่?”
ซ่งชูอีนำม้วนไผ่ที่แกะสลักไว้ก่อนหน้านี้ออกมาด้วยความยินดี เชื้อเชิญให้อิ๋งซื่ออ่านสำรวจ
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง อิ๋งซื่อสั่งให้คนเข้ามาจุดตะเกียง ทั้งสองคนพิจารณาครึ่งแรกก่อนหน้านี้โดยละเอียดรอบหนึ่ง เนื้อหาก่อนหน้านี้เพราะว่าซ่งชูอีคิดเร็วทว่าความเร็วในการแกะตัวอักษรนั้นช้า สามารถพิจารณาอยู่ในหัวซ้ำได้หลายครั้งจึงไม่มีสิ่งใดที่ไม่เหมาะสม
อิ๋งซื่อคิดไม่ถึงเลยว่าซ่งชูอีจะสามารถเขียนแสดงแนวคิดน่าทึ่งเช่นนี้ได้ภายในระยะเวลาอันสั้น มีรูปแบบของจวงจื่อตั้งแต่ทักษะจนกระทั่งการเล่าเรื่อง ที่หาได้ยากยิ่งไปกว่านั้นก็คือนางมีจินตนาการอันงดงามและจังหวะจะโคนในการเปลี่ยนอารมณ์ของบทกลอนราวกับจวงจื่ออีกด้วย
อิ๋งซื่อรู้ว่าของเหล่านี้ไม่ได้ใช้ความพยายามภายในระยะเวลาอันสั้น ในความเป็นจริงแล้ว จวงจื่อก็ไม่สามารถเขียนบทความเช่นนี้ได้อย่างรวดเร็ว แล้วซ่งชูอีจะทำได้เยี่ยงไร?
ความเข้าใจในวรรณกรรมของนางนั้นอ่อนหัดตั้งแต่ยังเด็ก จวงจื่อจึงให้นางส่งบทความทุกๆ สามวันโดยไม่จำกัดเนื้อหาและจำนวนคำ ในสิบกว่าปีที่ผ่านมาก็สั่งสมไว้มากแล้ว ต่อมาพบอุบัติเหตุระหว่างเดินทาง ตกอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ขาดแคลนเสื้อผ้าและอาหาร แม้ว่าสามปีนั้นสั้น ทว่าได้ประสบกับความทุกข์อย่างแท้จริง ไม่เพียงแต่ร่างกายที่ต้องทนทุกข์กับความหิวและความหนาวเย็นเท่านั้น อีกทั้งยังเฉียดตายหลายครั้ง ได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจยิ่งกว่า…
บัดนั้นนางสามารถมองเห็นแล้วว่าอิสรภาพทางจิตวิญญาณที่อาจารย์ใฝ่หานั้นแท้จริงแล้วคือความสิ้นหวังของโลกใบนี้ นางเองก็อยากจะหลุดพ้นจากพันธนาการโดยด่วน ดังนั้นจึงมักจะเขียนสิ่งที่เป็นอุดมคติเพื่อปลอบใจตัวเองบ่อยครั้งหรือแม้การตำหนิจนทำให้ตัวเองเป็นอัมพาต
ท้ายที่สุดแล้วนางก็ไม่รู้ว่าอาจารย์ได้รับอิสรภาพและการปลดปล่อยครั้งยิ่งใหญ่หรือไม่ อย่างไรก็ดีด้านหนึ่งของนางนั้นเรียบเฉย อีกด้านหนึ่งก็มีความทะเยอทะยานรุนแรงกว่าผู้อื่นนัก – มันคือความทะเยอทะยานเขย่าโลก!
ไฉนเลยจะกลัวการเข่นฆ่า!
โลกใบนี้ได้ถูกปกคลุมไปด้วยเปลวไฟแห่งสงครามแล้ว ภูเขาและแม่น้ำพังทลาย คุณธรรม ศีลธรรมและความรักนับวันยิ่งแตกสลายไปจากข้อจำกัดของผู้คนมากขึ้นทุกที เช่นนั้นก็ล่มสลายไปเสีย! แตกจากเดิมเพื่อสร้างใหม่! ฟื้นคืนจากเถ้าถ่าน! ดอกไม้จะสามารถผลิบานครั้งใหม่ได้ท่ามกลางอวิชชาแห่งความดับสูญเท่านั้น
มนุษย์ก็เหมือนเต๋า มีดำมีขาว ดูเหมือนจะเป็นส่วนผสมของความขัดแย้งต่างๆ แต่แท้จริงแล้วมันดำรงอยู่อย่างเป็นระเบียบและสัมพันธ์กันเสมอ
องค์จวินและขุนนางคุยกันทั้งคืน
หลังจากหนึ่งราตรีที่ไม่ได้หลับนอนก็สำเร็จไปหนึ่งพันคำ
อิ๋งซื่อจัดการแผ่นไผ่ให้เรียบร้อย เตรียมตัวกลับพระราชวัง ตรวจสอบช่องว่างในบันทึกและแกะสลักใหม่อย่างเป็นทางการ หลังจากจัดการเรียบร้อยแล้ว เขาผลักหน้าต่างมองท้องฟ้าสีขาวขุ่นเหมือนท้องปลา “ทางตันเช่นนี้ เจ้าคิดจะทลายมันเยี่ยงไร?”
อีกฝ่ายมีการเตรียมพร้อม เกรงว่าลำพัง “ทฤษฎีโค่นรัฐ” ฉบับใหม่นี้คงไม่พอที่จะหนีจากภยันตราย
“ซ่งหวยจินเปิดเผยตรงไปตรงมา ใครจะใช้หยินสู้กับหยางได้เล่า” ซ่งชูอีทำท่าทางเหมือนธรรมะย่อมชนะอธรรม
อิ๋งซื่อหันไปมองนางเล็กน้อย ยิ้มอย่างไร้ซุ่มเสียง ทว่าน้ำเสียงกลับไม่ต่างจากปกติมากนัก “อย่าทำให้เสียคำพูดเหล่านั้นล่ะ! ข้ากลับแล้ว ประเดี๋ยวข้าจะให้คนส่ง “ทฤษฎีโค่นรัฐ” ส่วนนั้นให้เจ้า”
รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง
“น้อมส่งฝ่าบาท” ซ่งชูอีสะบัดแขนเสื้อโค้งคำนับ
“จิ๊!” อิ๋งซื่อเหลือบมองนอกหน้าต่างแล้วเยาะเย้ยออกมาเสียงหนึ่ง หยิบไผ่สองม้วนนั้นขึ้นมาด้วยตัวเองแล้วก้าวเท้ายาวๆ ออกไป
ซ่งชูอีรู้สึกประหลาดใจ ในใจคิดว่าการโค้งคำนับของตนนี้มีตรงไหนไม่ถูกต้องเช่นนั้นหรือ? หรือว่าไม่จริงใจมากพอ? นางทุ่มเทตลอดทั้งคืน แม้ว่าความเหนื่อยล้าจะสะสมลึกมาก่อนหน้านี้ แต่ก็ต้องอดหลับอดนอนเพื่อคิดแผนการใหม่อีกครั้ง บัดนี้จึงไม่คิดอะไรอีก ลากร่างที่อ่อนล้าปีนขึ้นไปบนเตียง ไม่ช้าก็ผล็อยหลับไป
หนิงยาหลบอยู่ในพงหญ้ามุมบ้าน ครั้นเห็นชายชุดดำพาทหารอารักขาหู่เปินออกไปจากจวนก็อ่อนปวกเปียกอยู่ข้างกายไป๋เริ่น “พวกเราออกไปได้แล้ว”
ไป๋เริ่นขยับก้นลุกออกจากข้างใน รอจนหนิงยาออกมาแล้ว ทั้งคนและหมาป่าก็คลำทางกลับไปยังห้องของซ่งชูอีท่ามกลางท้องฟ้าขมุกขมัว คิดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าผู้ที่คิดจะซ่อนตัวไม่มีใครที่ซ่อนตัวได้พ้นเลย
หนิงยารีบปิดหน้าต่างทันที ห่มผ้าให้ซ่งชูอี แล้วออกไปหาบน้ำตัดฟืนเตรียมอาหารเช้า
ไป๋เริ่นซุกตัวอยู่ข้างขาของซ่งชูอีแล้วนอนต่อ
หลังจากอิ๋งซื่อกลับถึงพระราชวังแล้วก็เปลี่ยนชุดสำรองในหอพระอักษร จากนั้นก็เริ่มเปิดประชุมราชสำนัก
หลังจากประชุมราชสำนัก อิ๋งซื่อก็อยู่ที่โต๊ะหนังสือ หลังจากเสวยพระกระยาหารเช้าเพียงไม่กี่คำก็สั่งให้คนนำ “ทฤษฎีโค่นรัฐ” ฉบับปลอมของจวี้จื่อแห่งสำนักม่อไปส่งให้ซ่งชูอี ครั้นเผชิญกับเอกสารกองสุมเต็มโต๊ะก็อ่านทบทวนด้วยความกระปรี้กระเปร่าต่อ
ขุนนางในราชสำนักถูกแทนที่จำนวนมาก แม้ว่าสายตาในการอ่านคนของเขาจะแม่นยำ ทว่าคนส่วนใหญ่ล้วนเข้ารับตำแหน่งใหม่ของราชสำนัก ยากที่จะทำความคุ้นเคย ความผิดพลาดจึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง กงซุนเหยี่ยนที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งต้าเหลียงเจ้าชำนาญด้านความสัมพันธ์ทางการทูตและกิจการทหารมากที่สุด ไม่สามารถจัดการกับกิจการภายในได้อย่างคล่องแคล่ว อีกทั้งยังส่งผู้มีความสามารถที่คิดว่าจะใช้งานได้ออกไปทำสงครามต่างรัฐเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีคนที่ถูกส่งไปยังมณฑลต่างๆ เป็นการชั่วคราว คนในราชสำนักที่สามารถใช้งานได้มีน้อยเต็มทน ในขณะนี้มีเพียงเขาและชูหลี่จี๋เท่านั้นที่เป็นผู้นำ โดยทั่วไปกิจการของรัฐที่ส่งมาหาเขาผ่านชูหลี่จี๋ก็ยุ่งยากยิ่งกว่า
จนกระทั่งตกดึก เมื่อโต๊ะของอิ๋งซื่อว่างเปล่าก็สามารถแกะสลักตัวอักษรของซ่งชูอีได้
“ฝ่าบาท ฮองเฮาสั่งให้สาวใช้ส่วนตัวส่งหมี่น้ำมาพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีกล่าวรายงานอยู่ข้างนอก
“เข้ามา” อิ๋งซื่อวางมีดแกะสลักลง
กล่าวโดยรวมแล้ว เขาค่อนข้างพึงพอใจกับฮองเฮาผู้นี้มาก นางซื่อตรงไม่เคยก่อเรื่องและยังสามารถจัดการเรื่องต่างๆ ในวังหลังได้อย่างเหมาะสม
สาวใช้ยกกล่องอาหารเข้ามา คุกเข่าลงตรงหน้าโต๊ะ โน้มตัวและนำหมี่ออกมา “นี่คือหมี่ที่ฮองเฮาทำเองเพคะ ฝ่าบาทเชิญเสวย”
อิ๋งซื่อรับตะเกียบมาและลงมือกินโดยไม่สนใจว่ารสชาติจะเป็นเยี่ยงไร เขากินอย่างไม่สงวนท่าที สาวใช้ลอบมอง ในใจคิดว่านี่ต่างหากจึงจะเป็นลักษณะของสามีที่แท้จริง ผู้ชายที่นางเคยรู้สึกว่าสูงส่งและเคี้ยวอาหารอย่างละเมียดละไมนั้นอยู่นอกสายตาโดยสิ้นเชิง
เขากินอาหารจนไม่เหลือน้ำแกงแม้แต่หยดเดียว
อิ๋งซื่อเพิ่งจะวางตะเกียบลง ขันทีด้านนอกก็ล่าวขึ้นอีกครั้ง “ฝ่าบาท ฮูหยินอวี้มาส่งหมี่น้ำด้วยตัวเองพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าของอิ๋งซื่อเย็นเยียบทันใด ทำเอาสาวใช้ที่เหลือบตาขึ้นสังเกตสีหน้าของเขาตกใจกลัวจนตัวสั่น
“ส่งตัวกลับไป กักบริเวณครึ่งเดือน!” อิ๋งซื่อกล่าวด้วยความเย็นชา หันไปมองสาวใช้ที่หมอบคลานอยู่ที่พื้น “เจ้ากลับไปเถิด นี่ก็ดึกมากแล้ว ให้ฮองเฮารีบพักผ่อนด้วย”
“เพคะ” สาวใช้ดีใจ เก็บของกลับไปด้วยความคล่องแคล่ว ถอยออกไปอย่างมีมารยาท
สำหรับอิ๋งซื่อแล้ว แม้ว่าจะเป็นเพราะเหตุผลทางการเมืองก็ตาม ในเมื่ออภิเษกสมรสกับเขาแล้วก็เป็นพระชายาเพียงผู้เดียวของเขา คนที่เหลือล้วนเป็นเพียงเหยื่อทางการเมือง สิ่งที่เขาให้ได้มีเพียงอาภรณ์หรูหราและอาหารชั้นเลิศเท่านั้น
สำหรับพระชายาคนเดียวของเขานั้น…หน้าตาเป็นอย่างไรก็ดูเหมือนเลือนลางไปเล็กน้อยแล้ว ช่างเถิด รอให้พ้นช่วงยุ่งนี้ไปก่อนค่อยหาเวลาไปหานางก็แล้วกัน
เวลาที่เงียบสงบและยุ่งเหยิงก็ผ่านไปเช่นนี้หกวัน
คนที่อิ๋งซื่อลอบส่งไปยังมณฑลต่างๆ ของรัฐฉินได้ระงับข่าวลือเกี่ยวกับซ่งชูอีแล้ว การติดตามแหล่งที่มาของข่าวลือก็ค่อยๆ เป็นที่จับตามากขึ้น ว่ากันว่ามีการรั่วไหลจากสมาคมการค้าของต่างรัฐ และมีอยู่เกือบทุกสมาคมการค้าของทุกรัฐ
อย่างไรก็ดีการประณามจากสำนักต่างๆ ที่ไม่อาจยับยั้งก็ได้ก่อตัวกลายเป็นคลื่นขนาดมหึมา
สำนักม่อให้การสนับสนุนรัฐฉินเป็นอย่างดีตลอดไม่กี่ปีที่ผ่านมา รัฐฉินไม่อาจสูญเสียความช่วยเหลือใหญ่เช่นนี้ได้ อย่างไรก็ดีปฏิกิริยาของสำนักม่อกลับรุนแรงที่สุดในบรรดาร้อยสำนัก
สำนักม่อต่อต้านการปกครองแบบเผด็จการมาโดยตลอด หรือแม้กระทั่งใช้ความรุนแรงเพื่อควบคุมความรุนแรง
เห็นได้ชัดว่าไม่อาจยืดเยื้อเรื่องนี้ได้เป็นเวลานาน จะมีข้อกังขาต่อซ่งชูอีก็ได้ จะมีการต่อต้านก็ได้ จะมีการประณามก็ได้ แต่จะปล่อยให้ผู้กระทำความผิดนั่งติดที่ไม่ได้อย่างแน่นอน! อิ๋งซื่อยืนยันหนักแน่นว่าซ่งชูอีมิได้เป็นคนเขียน “ทฤษฎีการโค่นรัฐ” บวกกับอิทธิพลของความคิดเห็นราษฎรในรัฐฉินที่ค่อยๆ ลดลง นักปรัชญาหลายร้อยสำนักจึงไม่ได้เรียกร้องให้สังหารซ่งชูอี ทว่าอารมณ์ยังคงเดือดพล่าน เจ้าสำนักต่างๆ ได้เดินทางมาที่นครเสียนหยางอย่างต่อเนื่องเพื่อรอคำอธิบายจากซ่งชูอี