บทที่ 236 ทฏษฎีโค่นรัฐของจริงของปลอม

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

ผ่านไปเก้าวัน

แนวคิดต่อการผนวกและการโค่นรัฐได้กลายเป็นการศึกษาถึงสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงและการล่มสลายของราชวงศ์ที่สืบต่อกันมา รวมถึงวิธีที่จะไม่ให้บ้านเมืองถูกทำลายภายใต้แนวคิดที่ซ่งชูอีร่างขึ้นมาใหม่

ในบทความเชื่อว่าสงครามโลก อาวุธโหดร้ายของกองทัพ รวมถึงทุกด้านมืดของตัวบุคคลล้วนมาจาก “ความปรารถนา” และได้วิเคราะห์กระบวนการล่มสลายของราชวงศ์ในประวัติศาสตร์อันสืบเนื่องมาจาก “ความปรารถนา” จากนั้นจึงส่งเสริมให้ใช้หลักคำสอนของลัทธิเต๋าที่ว่าด้วยการวางเฉยและปล่อยให้เป็นไปตามครรลองเพื่อสร้างความสมดุลให้กับ “ความปรารถนา” ที่มีอยู่ในตัวมนุษย์เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ไม่อาจโต้เถียงได้ สุดท้ายก็ยังบรรยายถึงโลกอันสวยงามที่ปราศจากความปรารถนาและสงคราม

นี่คือแนวคิดที่ตรงกันข้ามกับ “ทฤษฎีโค่นรัฐ” ต้นฉบับอย่างสมบูรณ์

หลังจากบทความเสร็จเรียบร้อยแล้ว อิ๋งซื่อก็สั่งให้คนคัดลอกร้อยชุด แล้วส่งไปยังสำนักต่างๆ

ครั้นได้รับแนวคิดที่มีร่องรอยของลัทธิเต๋าอย่างเห็นได้ชัดเช่นนี้ นักปรัชญาก็เงียบลงทันที ค้นคว้าอย่างละเอียดอยู่หลายวัน ในที่สุดก็ยังต้องการเชิญซ่งชูอีก้าวออกมาเล่าความจริง

“พรุ่งนี้ที่หอชิงเฟิง” ชูหลี่จี๋ยัดกระบอกไม้ไผ่สีเขียวไว้ในมือของซ่งชูอี กล่าวอย่างเป็นกังวล “แม้จะมีบทความแนวคิดฉบับใหม่นี้ หวยจินก็ยังตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายมาก การกระทำครั้งนี้เสี่ยงอันตราย…”

“พี่ใหญ่อย่าได้เป็นกังวล” ซ่งชูอีกำกระบอกไผ่แน่น

บนใบหน้าหล่อเหลาที่ซีดเซียวเล็กน้อยของชูหลี่จี๋มีความเคร่งขรึม “ข้าดูดาวในยามราตรี รู้สึกว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีนัก อีกทั้งพอทำนายให้เจ้าแล้ว แผนภูมิแปดทิศเผยให้เห็นแสงเลือดจางๆ”

“ตราบใดที่ข้าแซ่ซ่งผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่โดยไม่เสียสติไปก่อนก็เพียงพอ” มุมปากของซ่งชูอียกขึ้นเล็กน้อย “ต้องรบกวนให้พี่ใหญ่กับฝ่าบาทปกป้องชีวิตของหวยจินแล้ว”

ชูหลี่จี๋ยิ้มมุมปาก “ปกป้องชีวิตเจ้าจะยากตรงไหน…ข้าแค่ไม่ต้องการเห็นเจ้าทุกข์ทรมานอีกแล้ว”

มี “ทฤษฏีโค่นรัฐ” ฉบับใหม่ ร้อยสำนักก็ยากที่จะเอาผิดกับซ่งชูอีในขณะนี้ การรอดชีวิตนั้นไม่ยาก ทว่า…

“หมิ่นฉือที่เจ้าให้ข้าสืบ” ทันใดนั้นชูหลี่จี๋ก็นึกถึงผู้ร้ายของสถานการณ์ในวันนี้ “บัดนี้เขาเป็นซ่างต้าฟูของรัฐเว่ย เป็นขุนนางหลางจงฝ่ายขวา ดูจากข่าวที่สายลับในแต่ละพื้นที่ส่งมาแล้ว เป็นไปได้เสียแปดส่วนว่าเป็นฝีมือของบุคคลนี้!”

ชูหลี่จี๋ตบโต๊ะด้วยความโกรธ “โหดร้ายเกินไปแล้ว! วิธีการต่ำช้านัก!”

ซ่งชูอีหลุบตาลง หมิ่นฉือเอ๋ย…บัดนั้นเจ้าอายุย่างสามสิบเท่านั้นจึงจะสามารถต่อสู้กับข้าได้ วันนี้ข้าจะถูกเจ้าฆ่าได้อย่างง่ายดายได้เยี่ยงไร! ข้าแซ่ซ่งจะบอกอะไรเจ้า การเลือกก้าวบนหินผิดก้อน ร่วงลงมาจะน่าอนาจยิ่งนัก!

“ทางฝ่าบาทเตรียมการเรียบร้อยแล้วรึ?” ซ่งชูเอ่ยถาม

ชูหลี่จี๋กล่าว “ข้าดูแล้ว แผ่นไผ่ที่ฝ่าบาททำออกมาเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน อีกทั้งเหมือนกับลายมือที่เจ้าสลักไว้ทุกประการ”

ซ่งชูอีพยักหน้า “เยี่ยม”

“เจ้าพักอย่างสบายใจสักคืนเถิด พรุ่งนี้จะได้รับมืออย่างมีพลัง” ชูหลี่จี๋ตบๆ ไหล่ของนาง น้ำเสียงหนักแน่น “ในเมื่อเข้าเรียกอิ๋งจี๋ว่าพี่ใหญ่ ต่อให้อิ๋งจี๋ต้องสละชีวิต ก็จะต้องปกป้องเจ้า”

“พี่ใหญ่…” ซ่งชูอียกมือขึ้นกุมมือที่วางอยู่บนไหล่ของตน “ชาตินี้หวยจินได้รู้จักท่าน นับเป็นวาสนายิ่ง!”

จนถึงขณะนี้ ครั้นได้ยินคำพูดน่าซาบซึ้งของซ่งชูอี อารมณ์ตึงเครียดของชูหลี่จี๋ก็ผ่อนคลายบ้างเล็กน้อย

หัวใจของซ่งชูอีที่สงบนิ่งอยู่เสมออ่อนไหวอย่างหาได้ยาก จนกระทั่งชูหลี่จี๋จากไปแล้วจึงค่อยๆ สงบสติลง สำหรับซ่งชูอีแล้ว ในชาตินี้นางมีบุคคลล้ำค่าสองคน คนหนึ่งคือเจ้าอี่โหลว อีกคนก็คือชูหลี่จี๋

“อี่โหลว” ซ่งชูอีพึมพำกับตัวเอง

นางรู้มาตลอดว่าเจ้าอี่โหลวเป็นคนที่มีความทะเยอทะยาน ทว่าลูกผู้ชายจำต้องยืนตระหง่านค้ำฟ้า นางไม่หวังให้เขาตามหลังผู้อื่นตลอดไปเหมือนกับเจียน ซ่งชูอีไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าทำให้เขากลายเป็นท่านแม่ทัพใหญ่ที่มีกองกำลังแข็งแกร่งอยู่ในมือ เพราะอย่างน้อยก็สามารถเดินเคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับนางและอยู่ในโลกนี้ด้วยกันอย่างสง่างาม

ซ่งชูอีเยี่ยงนางไม่ใช่คนเขลาและก็ไม่ชอบคนเขลา!

แสงจันทร์กระจ่างใสราวกับสายน้ำ ไม่รู้ว่ามีกี่คนในนครเสียนหยางที่ไม่หลับไม่นอน แต่คนที่ติดอยู่ในกับดักนี้กำลังหลับสนิทและลึกล้ำ

วันรุ่งขึ้นหลังจากกินอาหารเช้าเสร็จแล้ว เปี่ยนเชวี่ยก็มาฝังเข็มให้ซ่งชูอีตามปกติ

ชูหลี่จี๋มารับนาง ครั้นเห็นเปี่ยนเชวี่ยก็รู้สึกซาบซึ้งจึงเชื้อเชิญเขาไปฟังร้อยสำนักโต้เถียงที่หอชิงเฟิงด้วยกัน

แม้ว่าการถกเถียงของสำนักต่างๆ จะเป็นเรื่องธรรมดามาช้านานแล้ว ทว่าการที่ร้อยสำนักมารวมตัวกันในคราเดียวเป็นโอกาสที่หาได้ยากอย่างแท้จริง เขาจึงเตรียมตัวเล็กน้อย จากนั้นก็ออกไปชมด้วยกัน

ภายในรถม้า เปี่ยนเชวี่ยสำรวจซ่งชูอีสองสามรอบ กล่าวประเมินอย่างตรงไปตรงมา “หวยจินแต่งตัวแล้วก็ดูดีทีเดียว”

วันนี้นางยังคงอยู่ในชุดคลุมแขนกว้างสีดำ คอเสื้อและปลายแขนเสื้อปักลายสัตว์สีน้ำเงินเทา ผมถูกหวีอย่างเรียบร้อยกว่าปกติ ดวงตาถูกปิดด้วยแถบผ้าไหมสีดำซึ่งปกคลุมใบหน้าเกือบครึ่งหนึ่ง

ซ่งชูอียิ้มกว้าง “ท่านอาวุโสมีสายตาเฉียบคมนัก”

“ไม่ถ่อมตนเลย!” เปี่ยนเชวี่ยหัวเราะเยาะ ในใจอดที่จะถอนหายใจไม่ได้ ด้วยพรสวรรค์อันน่าอิจฉาเยี่ยงนี้ ผู้มีพรสวรรค์ส่วนใหญ่ต่างเสียชีวิตในความทุกข์ยาก เขาหวังว่าซ่งชูอีจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างมีความสุข

หลังจากรถม้าเข้าสู่ถนนสายหลักของนครเสียนหยางแล้วการจราจรก็เริ่มติดขัด วันนี้ร้อยสำนักรวมตัวกัน นอกจากมาโต้แย้งซ่งชูอีแล้วก็ยังมีสงครามทฤษฎีระหว่างกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นนักปราชญ์จากสำนักต่างๆ ก็รีบมาทันทีที่ได้ยินข่าว สองสามวันนี้เสียนหยางเต็มไปด้วยผู้คน โดยเฉพาะในละแวกใกล้เคียงหอชิงเฟิง ฝูงชนดำทะมึนอลังการเป็นอย่างยิ่ง

หอชิงเฟิงถูกก่อตั้งโดยฉินเซี่ยวกง บัดนี้ตกเป็นของจวนตุลาการที่อยู่ภายใต้อำนาจศาล เป็นสถานที่สำหรับนักวิชาการใช้ในเตรียมหารือทางการเมือง อภิปราย และกล่าวสุนทรพจน์เชิงวิชาการที่เกี่ยวข้องกับสำนักตนเอง นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่ที่รัฐฉินออกแบบมาเพื่อเสาะหาผู้มีพรสวรรค์ ดังนั้นจึงไม่คิดค่าบริการกับนักวิชาการที่มาใช้งานสถานที่แห่งนี้ บ้างต้องการหยิบยืมที่แห่งนี้เพื่อเผยแพร่แนวคิดของตนเอง หรือโต้เถียงกับผู้อื่น หรือชี้แจ้งข้อผิดพลาด ขอเพียงส่งเรื่องไปยังฝ่ายเอกสารของจวนตุลาการที่อยู่ภายใต้อำนาจศาล หากจวนตุลาการคิดว่าเนื้อหานั้นดีก็สามารถจัดหาสถานที่โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย หากเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง รัฐฉินก็จะหาทางเก็บเอาไว้ใช้งาน

สำหรับบุคคลที่ต้องการเข้าเป็นขุนนางฉินโดยตรง ก็สามารถลงทะเบียนผ่านฝ่ายธุรการที่ตั้งอยู่ข้างหอชิงเฟิงได้ทันที เอกสารเหล่านี้จะถูกนำเสนอไปยังจวนของต้าเหลียงเจ้าโดยไม่ตกหล่น ที่นั่นจะมีองค์กรพิเศษสำหรับตรวจสอบเอกสารเหล่านี้ อย่างไรก็ตามตั้งแต่เซี่ยวกงและซางจวินจากไป ตระกูลเก่าแก่พยายามที่จะฟื้นฟูอำนาจ จึงก้าวก่ายมาถึงฝ่ายธุรการแล้ว ผู้มีพรสวรรค์ที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขามักจะถูกกีดกันอยู่ภายนอกเสมอ เอกสารไม่มีวันที่จะนำเสนอมาถึงโต๊ะของต้าเหลียงเจ้าหรือฉินกง ดังนั้นถนนสายนี้จึงตัดขาดมาหลายปีแล้ว แม้ว่าจะเพิ่งเปิดใหม่เมื่อเร็วๆ นี้ ทว่าความไว้วางใจที่นักวิชาการมีต่อที่นี่กลับไม่ยิ่งใหญ่เหมือนเมื่อก่อน

มีทหารในชุดเกราะสีดำเปิดทาง รถม้าจึงแล่นไปตลอดทางจนถึงหอชิงเฟิง

เสียงเซ็งแซ่ภายนอกค่อยๆ สงบลง เปี่ยนเชวี่ยกับชูหลี่จี๋ลงจากรถม้าก่อน จากนั้นก็ประคองซ่งชูอีลงมา

ทันใดนั้นผู้คนหลายพันคนก็เงียบลง สงบลงเพียงไม่กี่ลมหายใจ ก็มีบางคนที่เดาตัวตนของนางได้ “ซ่งหวยจิน!”

“ซ่งจื่อ!”

มีการเรียกสองประเภท เห็นได้ชัดว่าทัศนคติที่มีต่อนางแตกต่างกัน

เพียงพริบตาเสียงก็กลับมาโกลาหลอีกครั้ง ไม่รู้ว่าใครตะโกนเสียงสูง “ต่อต้านทรราช! โค่นความเห็นทรราช! ฆ่าซ่งหวยจิน!”

ไม่ช้าก็มีคนมากมายขานรับ อารมณ์ของผู้คนมักจะยุยงได้ง่าย ผ่านไปไม่นาน เสียงโห่ร้องก็ยิ่งดังขึ้นทุกที

มุมปากของซ่งชูอีกระตุกขึ้น ตามชูหลี่จี๋ก้าวขึ้นบันไดหอชิงเฟิงอย่างใจเย็น

เจ้าหน้าที่ขุนนางที่ยืนอยู่บนแท่นสูงกล่าวเสียงดัง “ทุกท่านโปรดอยู่ในความสงบ เพื่อที่จะได้ยินข้อความของคนรับใช้ในหออย่างชัดเจนในภายหลัง!”

เสียงของเขาผสมปนเปอยู่ในนั้น ตะโกนอยู่หลายรอบก็ไม่มีใครสนใจ

“วู้…”

เสียงสัญญาณนอแรดดังขึ้น เสียงต่ำและเคร่งขรึมทำให้ฝูงชนที่ลุกฮือในสถานที่นั้นค่อยๆ สงบลง

“ฝ่าบาทเสด็จ!” เสียงแหบแห้งของทหารองครักษ์หู่เปินผสมอยู่กับสัญญาณของนอแรด ทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนอยู่ในค่ายทหาร เสียงที่กระจัดกระจายก็ถูกระงับเช่นกัน

รถม้าหยุดลง ทหารองครักษ์หู่เปินรีบกันคนออกจากประตูหลักของหอชิงเฟิงในระยะสองจั้ง

อิ๋งซื่อในชุดหรูหราแขนกว้างสีดำลงจากรถ ทหารสองนายรีบค้อมคำนับต่ำ “ถวายบังคมฉินกง”

อิ๋งซื่อเดินไปยังหอชิงเฟิงโดยไม่หยุด มีเสียงคำนับดังขึ้นทุกที่ที่เดินผ่าน

พวกซ่งชูอีทั้งสามคนที่อยู่หน้าประตูชิงเฟิงก็หลบไปด้านข้าง ประสานมือคำนับ “ถวายบังคมฝ่าบาท”

นักปราชญ์จากร้อยสำนักที่มาถึงหอก่อนเวลาต่างทยอยออกมาต้อนรับเช่นกัน

ทุกคนต่างค้อมตัวคำนับ อิ๋งซื่อยืนอยู่บนบันไดที่หน้าประตูหอชิงเฟิง กล่าวเสียงสูง “ทุกท่านไม่ต้องมากพิธี!”

เขานิ่งไปครู่หนึ่ง รอจนทุกคนยืดตัวตรงแล้วก็เอ่ยต่อ “นักปราชญ์ร้อยสำนัก บัณฑิตทั่วหล้าต่างสงสัยในแนวคิดอันโหดร้ายของซ่งหวยจิน ในเมื่อฉินใช้งานซ่งหวยจินก็เท่ากับว่าทุกท่านสงสัยในการปกครองเผด็จการของต้าฉินข้าและสงสัยว่าอิ๋งซื่อเป็นจวินทรราช ทว่าต้าฉินและซ่งหวยจินยังมิได้ให้คำอธิบาย เรื่องราวยังมิได้รับการตัดสิน ทุกอย่างยังเร็วเกินกว่าจะกล่าว ก่อนที่ทุกท่านจะตัดสินโทษประหารก็ได้โปรดเตรียมหลักฐานที่จับต้องได้ด้วย มิฉะนั้น สุริยันต์ส่องสว่าง จันทราสดใส ต้าฉินของข้ามีเกียรติศักดิ์ศรี จะยอมให้คนอื่นใส่ร้ายและเหยียบย่ำได้เยี่ยงไร!”

วาจานี้มีชีวิตชีวาและทรงพลังยิ่ง

จวินหนุ่มผู้นั้นเย็นเยียบทั้งตัว บุคลิกน่าเกรงขาม ผู้คนนับพันในลานจตุรัสปิดปากเงียบ ไม่มีใครกล้าส่งเสียงใดๆ

ซ่งชูอีเม้มปากแน่น อิ๋งซื่อสามารถนำตัวเองออกมาจากสถานการณ์นี้และเฝ้ามองสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างสมบูรณ์ หากสถานการณ์นี้ไม่สามารถกู้ได้ก็สามารถเตะนางออกไปจากรัฐฉินได้ทันที อย่างไรก็ตามอิ๋งซื่อกลับผูกนางและรัฐฉินไว้ด้วยกันกับเขาแล้ว

การทำเช่นนี้แน่นอนว่าสามารถยับยั้งการพัฒนาของสถานการณ์ได้ ทว่าก็เสี่ยงมากเช่นกัน

อิ๋งซื่อเดินเข้าไปในหอชิงเฟิงก่อน จากนั้นทุกคนก็ตามหลังเข้าไปทีละคน

จนกระทั่งองค์จวิน ขุนนางและนักปราญช์ต่างนั่งลงแล้ว อิ๋งซื่อก็มองไปรอบๆ เอ่ยขึ้น “คิดว่าทุกท่านที่มาคงได้อ่านต้นฉบับของ “ทฤษฎีโค่นรัฐ” แล้ว ซ่งหวยจินอยู่ที่นี่ ถามได้ตามสบาย”

ที่นั่งสองที่ถูกจัดวางใต้แท่นพระที่นั่งขององค์จวิน ด้านซ้ายมือเป็นตำแหน่งไว้รับคำถาม ด้านขวามือเป็นตำแหน่งถามคำถาม

ครั้นสิ้นวาจาของอิ๋งซื่อ ก็มีขันทีประคองซ่งชูอีไปนั่งที่ที่นั่งด้านซ้าย หากมีใครต้องการโต้แย้งกับซ่งชูอีเกี่ยวกับแนวคิดทางวิชาการ ก็สามารถนั่งทางด้านขวาได้ หากต้องการถามเพียงไม่กี่คำก็ไม่จำเป็นต้องมานั่ง

“ขอถามซ่งจื่อ ท่านทราบเรื่อง “ทฤษฎีโค่นรัฐ” ที่หกรัฐในซานตงปล่อยออกมาหรือไม่?” มีคนลุกขึ้นถามทันที

“นักปราชญ์ร้อยสำนักอยู่ที่นี่ ข้ามิบังอาจถูกเรียกเยี่ยงนี้” ซ่งชูอีแสดงความเกรงใจเล็กน้อย จากนั้นก็เอ่ยต่อ “ข้าได้อ่านม้วน “ทฤษฎีโค่นรัฐ” นั้นเมื่อสองสามวันก่อน”

“ท่านมีความเห็นเยี่ยงไร?” ชายคนนั้นถามต่อทันที

ซ่งชูอีกล่าวอย่างกระชับและรัดกุม “โหดร้ายไร้ปรานี เป็นกบฏต่อสวรรค์”

จู่ๆ ชายคนนั้นถามอย่างเผ็ดร้อน “อย่างไรก็ดีแนวคิดม้วนนั้นมาจากมือของท่านซ่งหวยจิน ใช่หรือไม่?!”

เมื่อเทียบกับความรุนแรงของบุคคลนี้ ซ่งชูอีดูเหมือนแอ่งน้ำนิ่ง “เหตใดท่านจึงกล่าวเช่นนี้? ด้วยหลักฐานใด?”

คนนั้นเห็นว่าซ่งชูอีไม่ยอมรับ ก็พ่นลมหายใจเย็นชา จากนั้นก็กล่าวเสียงดัง “มีข่าวหมุนเวียนอยู่ในชมรมป๋ออี้ ซ่งหวยจินเคยกล่าวในโรงสุราของรัฐเว่ย์ว่า “ความสนใจที่สุดในชีวิตก็คือการโค่นรัฐ!” วาจานี้ออกมาจากปากท่านใช่หรือไม่?’”

“หวยจินอยู่ในรัฐเว่ย์ เป็นเรื่องเมื่อปีกว่ามาแล้ว ในเมื่อมีวาจาเช่นนี้นานแล้ว เหตุใดชมรมป๋ออี้เพิ่งจะปล่อยออกมาวันนี้เล่า?” ซ่งชูอีไม่ตอบคำถาม นางยิ้มเย็นชา “ทฤษฎีโค่นรัฐของหวยจินก็ถูกเขียนขึ้นนานแล้ว เหตุใดจึงข่าวต้องแพร่ไปยังหกรัฐแห่งซานตงภายในครึ่งเดือนหลังจากที่ข้ากลับมาจากปาสู่ด้วย?”