“พวกข้า…” เสียงนี้แก่ชราทว่าไม่ดังมาก แต่มันกลับดึงดูดความสนใจของทุกคนไปชั่วขณะ
ชายชราในชุดธรรมดาผู้หนึ่งค้ำไม้เท้าลุกขึ้นยืนด้วยความยากลำบาก พลางเดินไปยังที่นั่งทางขวามือของซ่งชูอีพลางเอ่ย “แม้ไม่มีหลักฐานที่จับต้องได้มายืนยันว่า “ทฤษฎีโค่นรัฐ” นั้นเป็นผลงานของเจ้าพ่อหนุ่มเช่นเจ้า ทว่าเบาะแสภายนอกทั้งหมดล้วนชี้มาที่เจ้า เพื่อช่วยโลกจากการความทุกข์ยากจำต้องระมัดระวังให้มาก ขอเพียงเจ้ากล้าตัดนิ้วสาบาน ข้าผู้อาวุโสก็จะเชื่อเจ้า”
“เซียงจื่อ!” ชูหลี่จี๋อดไม่ไหวลุกขึ้นมา “ร่างกายเป็นสิ่งที่บุพการีมอบให้ จะทำร้ายส่งเดชได้เยี่ยงไร คำขอของเซียงจื่อนี้ไม่เกินไปหน่อยหรือ?”
“สาบานด้วยสิ่งที่พ่อแม่มอบให้เขาเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง มันเกินไปตรงไหน?” เซียงจื่อก้าวเท้าขึ้นไปบนเวที คุกเข่าลงนั่งทางขวามือ “นอกเหนือจากเรื่องนี้ “ทฤษฎีโค่นรัฐ” ของสำนักเต๋าทำให้ชายชราเยี่ยงข้าประหลาดใจจริงๆ ข้าเต็มใจที่จะอภิปรายกับพ่อหนุ่มด้วยหลักคำสอนสำนักนิติธรรม ไม่ทราบว่าผู้ใดสอนพ่อหนุ่มศิษย์สำนักเต๋าให้มีพรสวรรค์น่าทึ่งเช่นนี้?”
เขานิ่งไปครู่หนึ่งแล้วยิ้มน้อยๆ หันไปมองชายวัยกลางคนในชุดสีเขียวที่นั่งอยู่ทางทิศใต้ “จวงจื่อ?”
คิดไม่ถึงว่าจวงจื่อจะอยู่ที่นี่ด้วย! เขาเกลียดการเข้าร่วมงานประชุมประเภทนี้ที่สุดมิใช่หรือ?
ซ่งชูอีแอบตกใจ มือที่วางอยู่ข้างหน้าตักกำแน่นเล็กน้อย นางรู้แล้วว่าโลกนี้มิใช่โลกเดิมของนาง กล่าวได้ว่าปัญหาอาจารย์ในสำนักเป็นช่องโหว่ร้ายแรงที่สุดของนาง วันนี้นางตกอยู่ในสถานะน่าสงสัย หากถูกไล่ต้อนให้พูดทุกสิ่งทุกอย่าง…คนที่นั่งอยู่ในที่นี้มิใช่ตะเกียงที่ไร้น้ำมันเลย
สายตาของจวงจื่อมองไปยังใบหน้าของซ่งชูอีที่ถูกแถบผ้าสีดำปกคลุมไปครึ่งหนึ่ง นึกถึง “ฝันผีเสื้อ” ที่นางเอ่ยถึงขณะที่อยู่ในรัฐสู่ ก็หันมองเซียงจื่อ “มาดูกันว่าจะแพ้หรือชนะเถิด”
“อะไรกัน จวงจื่อมิใช่ผู้เฉยเมยต่อทางโลกหรอกหรือ? กลับสนใจเรื่องแพ้ชนะด้วยหรือ?” เซียงจื่อมองเขาพร้อมอมยิ้มเอ่ย
จวงจื่อสอดมือไว้ในแขนเสื้ออย่างเกียจคร้าน ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “มีไม่มีดำรงอยู่ซึ่งกัน ยากง่ายเกิดความสำเร็จต่อกัน ยาวสั้นก่อเป็นรูปร่างแก่กัน สูงต่ำเพื่อให้สมดุลย์กัน ซุ่มเสียงสะท้อนกันและกัน หน้าหลังเพื่อให้ตามกัน ลัทธิเต๋าว่าด้วยเรื่องสมดุลย์ของธรรมชาติ เซียงจื่อไม่เข้าใจเต๋า เหตุใดไม่ท่องลำน้ำภูเขากับข้าสักสองสามวันเพื่อเข้าใจในข้อมูลเชิงลึกเล่า เพราะอะไรต้องแข่งกับคนรุ่นลูกหลานด้วย?”
คำพูดนี้มิได้ไว้หน้าเซียงจื่อเลยแม้แต่น้อย!
ทุกคนรู้เพียงว่าจวงจื่อท่องพเนจรไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางโลก ทว่าไม่ค่อยมีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นเหมือนดาบคมกริบ ฝีปากกล้าที่มิเคยสนใจหลักครองตนในสังคมจะพูดสิ่งที่น่าฟังได้เยี่ยงไร?
“ข้าอายุมากไม่เข้าใจจริงๆ” แม้ว่าน้ำเสียงของเซียงจื่อไม่ได้โมโห ทว่าแววตาราวกับต้องการจะเจาะทะลุผ่านร่างของจวงจื่อ “ทว่าอุตส่าห์เจอคนสำนักเต๋าที่เข้าตาทั้งที ย่อมอยากขอคำแนะนำเป็นธรรมดา”
ความหมายในคำพูดนี้ก็คือเห็นจวงจื่อแล้วรู้สึกขัดหูขัดตาเป็นพิเศษ
“เช่นนั้นก็เชิญตามสบาย” จวงจื่อยิ้มอย่างสงบนิ่ง
วาจาเหนือกว่า ทว่าเซียงจื่อกลับขมวดคิ้ว ก่อนจะรู้สึกว่าตนเป็นฝ่ายเสียเปรียบแล้ว คำถามเมื่อครู่ถูกจวงจื่อข้ามไปอย่างง่ายดาย บัดนี้เมื่อพูดคุยกันจนขั้นนี้แล้วก็ไม่มีอะไรต้องถามอีก
ซ่งชูอีหันไปทางขวา ค้อมตัวเล็กน้อย “ได้โปรดท่านอาวุโสชี้แนะ”
“การโต้เถียงไม่คำนึงถึงผู้เรียนรู้ก่อนหลัง” เซียงจื่อประสานมือน้อยๆ แล้วเริ่มถาม “ในคำพูด “ทฤษฎีโค่นรัฐ” ของเจ้า มนุษย์มีความปรารถนา เนิ่นนานก็จะเป็นบ่อเกิดแห่งความชั่วร้ายนานับประการ หลักคำสอนของสำนักเต๋าที่ปล่อยให้เป็นไปตามครรลองทำให้ผู้คนวางเฉย มิกลายเป็นการทำลายความปรารถนาหรอกหรือ? มิไร้มนุษยธรรมหรอกหรือ?”
กระแสหลักคำสอนในปัจจุบันล้วนกล่าวถึง “ความปรารถนา” สำหรับความปรารถนาที่ไม่ดีนั้น เจ้าสำนักส่วนใหญ่จะใช้วิธีการต่างๆ เพื่อยับยั้ง แต่ไม่มีสำนักใดสนับสนุนการทำลายความปรารถนาของผู้คน
เซียงจื่อมิได้ออกมาเสนอหน้าอย่างไร้เหตุผล เพียงแต่ต้องการกู้สถานการณ์ที่ตกต่ำของสำนักนิติธรรมกลับคืนมา
ในโลกปัจจุบัน เหตุผลที่ร้อยสำนักโต้แย้งกันเป็นเพราะว่าแต่ละสำนักล้วนต้องการพิสูจน์ว่าทฤษฎีของตนต่างหากที่ทันสมัยที่สุดและเป็นประโยชน์ที่สุด ฉะนั้นการที่เซียงจื่อยิงคำถาม จุดประสงค์หลักก็ดำเนินการโจมตีช่องโหว่ใน “ทฤษฎีโค่นรัฐ” และพิสูจน์ว่า “ทฤษฎีโค่นรัฐ” ไม่มีทางปกครองโลกได้
หลังจากที่หักล้างซ่งชูอีได้แล้ว เขาก็สามารถอธิบายเพิ่มเติมได้ว่าเพียงสำนักนิติธรรมกก็เพียงพอแล้วสำหรับผลประโยชน์ทุกประเภท แล้วก็จะบรรลุวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมสำนักนิติธรรม ตราบใดที่ได้รับการยอมรับจากองค์จวินก็จะถูกเรียกใช้ สำนักนิติธรรมจึงจะสามารถยืนหยัดได้อีกครั้ง
คราวนี้เรื่องของซ่งชูอีก่อให้เกิดโกลาหลและเป็นที่รู้กันทั่ว รัฐฉินเองก็แข็งแกร่งขึ้นมาได้จากความช่วยเหลือของสำนักนิติธรรม แน่นอนว่ารู้ประโยชน์ของสำนักนิติธรรมอย่างล้ำลึก เพราะเซียงจื่อมองเห็นโอกาสนี้จึงได้ออกโรงด้วยตัวเอง
“เซียงจื่อกล่าวเกินไปแล้ว” ซ่งชูอียืดตัวตรง “สำนักเต๋าสนับสนุนเสมอว่าทุกสิ่งควรเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่เคยก่อกำเนิดสิ่งใดและไม่มีวันเข่นฆ่าอะไร ทฤษฎีการทำลายล้างเพียงให้ความรู้แก่ราษฎรด้วยหลักคำสอนของสำนักเต๋าเท่านั้น ชาวเต๋าเพราะเข้าใจว่าวิถีเต๋าเป็นไปตามธรรมชาติ ปฏิบัติตามโชคชะตา ปล่อยวางทุกสิ่ง ข้ามิได้บีบบังคับให้คนทำลายความปรารถนา และจะกล่าวว่า “บีบคอ” พวกเขาได้เยี่ยงไร?”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จะรับประกันได้เยี่ยงไรก็ผู้คนสามารถยอมรับความคิดเห็นของเจ้าได้? ทฤษฎีการทำลายล้างกล่าวว่าการปกครองบ้านเมืองนั้นไร้ประโยชน์?” เซียงจื่อชี้ไปที่รากเหง้า แต่เขาก็ตระหนักด้วยว่าเต๋าสามารถพลิกแพลงได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น การที่จะหักล้างจนซ่งชูอีพูดไม่ออกนั้นเป็นเรื่องยาก ด้วยเหตุนี้เขาจึงเปลี่ยนกลยุทธ์ พลางหักล้างพลางใช้สำนักนิติธรรมมาเปรียบเทียบ ซึ่งสามารถบรรลุเป้าหมายเช่นเดียวกัน “ผู้คนมีความปรารถนาจึงทำผิดกฎหมาย สิ่งที่เรียกว่าไร้กฎหมายไม่อาจเรียกว่าบ้านเมืองได้ สำนักนิติธรรมของข้ามุ่งเน้นไปที่กฎหมาย ทักษะ และศักยภาพ บ้านเมืองมั่งคั่งกองทัพแข็งแกร่ง กฎหมายร้ายแรงและการปฏิรูปสามารถเห็นผลได้ภายในระยะเวลาอันสั้น ขอถามว่าจะเห็นผลของ “ทฤษฎีโค่นรัฐ” ได้เยี่ยงไร?”
ซ่งชูอีมิได้คิดจะโต้เถียงให้ชนะทว่าก็แพ้ไม่ได้ นางหันหน้าเล็กน้อยเอ่ยว่า “เช่นนั้นการที่สำนักขงจื้อปกครองบ้านเมืองไร้ประโยชน์หรือ? จริยธรรม ความชอบธรรม ความเมตตา คุณธรรมปลูกฝังราษฎร สามารถเห็นผลได้หรือไม่? ทฏษฎีการโค่นรัฐมิใช่วิถีที่ใช้ในการปกครองประเทศ ทว่าเป็นแนวคิดที่นำผู้คนไปสู่สันติภาพและความเมตตากรุณา ดังนั้นหวยจินจึงไม่สามารถตอบคำถามของเซียงจื่อได้”
จุดเริ่มต้นก็แตกต่างกันอยู่แล้ว มิใช่วิถีทางเดียวกัน ฉะนั้นจึงไม่มีอะไรที่เปรียบเทียบได้ ยากที่จะใช้ความรู้ด้านสำนักนิติธรรมมาล้มล้าง “ทฤษฎีโค่นรัฐ” ได้ ต่อให้เซียงจื่อสามารถหักล้างซ่งชูอีได้สำเร็จก็ยากที่จะพิสูจน์ว่าหลักคำสอนของสำนักนิติธรรมแข็งกล้ากว่า
มาถึงขั้นนี้แล้ว เป้าหมายของเซียงจื่อก็บรรลุไปแล้วส่วนหนึ่ง ด้วยตำแหน่งสถานะของเขา หากพัวพันต่อไปอีกก็จะดูไร้เกียรติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ประสานมือเอ่ย “เพราะข้าผู้อาวุโสหวาดระแวงมากเกินไป ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ”
“เซียงจื่อกล่าวเกินไปแล้ว” ซ่งชูอีคำนับกลับ
เซียงจื่อลุกขึ้นกลับไปนั่งที่เดิม
นี่คือการแข่งขันและแลกเปลี่ยนทางวิชาการอย่างแท้จริง ต่อให้เสียเปรียบหรือถกแพ้ ก็จะไม่มีใครหัวเราะเยาะด้วยความรังเกียจ ยิ่งไปกว่านั้นผู้คนส่วนใหญ่ในที่นี้ต่างไม่รู้ถึงแก่นแท้ของของ “ทฤษฎีโค่นรัฐ” ก่อนหน้านี้
“ข้าน้อยอู๋จี้จากสำนักขงจื้อ” หลังจากเซียงจื่อนั่งลงแล้ว แถวหลังของสำนักขงจื้อก็มีคนลุกขึ้นยืน “ได้ยินว่าท่านซ่งมุ่งเน้นไปที่การโค่นปาสู่ อีกทั้งยังวางแผนทำให้รัฐสู่ปั่นป่วน…ในเมื่อท่านมุ่งเน้นไปที่หลักคำสอนของสำนักเต๋า เหตุใดจึงทำเรื่องโค่นรัฐเยี่ยงนี้ได้?”
ซ่งชูอีเอ่ย “ว่ากันว่า…ก็เป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น ฉินกงอยู่ที่นี่ ท่านสามารถถามให้ชัดเจนได้”
อิ๋งซื่อชิงเอ่ยปากก่อน “ความวุ่นวายในปาสู่ดำเนินมาเกือบร้อยปีแล้ว ระยะหลังนี้ก็ยิ่งควบคุมไม่ได้ขึ้นเรื่อยๆ นี่เป็นการกระทำของซ่งจื่อหรือ? ต้าฉินของข้าสงบความวุ่นวายของเจี๋ยโจ้ว[1] ท่านกล่าวเช่นนี้ กำลังสงสัยว่ารัฐฉินของข้ามีแผนการอื่นในใจรึ?”
ไม่เพียงแต่อธิบายแต่ยังสวนกลับจนหงายท้อง
อู๋จี้ไร้คำพูดไปชั่วขณะหนึ่ง
ศิษย์ใหญ่แห่งสำนักม่อที่นั่งอยู่ทางซ้ายมือเอ่ยขึ้น “กลับไปที่ประเด็นเดิม ข้ารู้สึกว่าเซียงจื่อมีความเห็นที่ดีมาก พวกข้าไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าแนวคิดกบฏที่มาจากหกรัฐในซานตงเป็นฝีมือของซ่งหวยจิน ทว่าซ่งหวยจินก็ไม่มีหลักฐานที่จับต้องได้มาพิสูจน์ว่าไม่ใช่ฝีมือของตัวเองเช่นกัน เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็อธิบายให้ใต้หล้าใต้เข้าใจเถิด?”
[1] เจี๋ยโจ้ว ตามตำนานเล่าว่า เจี๋ย ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์เซี่ย และ โจ้ว เป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ซางต่างก็เป็นเผด็จการที่ปกครองโดยการกดขี่ข่มเหง