ตอนที่ 29 เชื้อเชิญ

Perfect Superstar

ตอนที่ 29 เชื้อเชิญ

“เอ๊ะ พวกเธอเป็นอะไรไป”

เวลาเดียวกัน ประตูหลังเวทีก็ถูกคนผลักออก เฉินเจี้ยนหาวเดิบฉับๆ เข้ามา

เมื่อเห็นสถานการณ์ในห้อง เถ้าแก่ของบาร์เดย์ลิลลี่คนนี้ตกใจมาก ไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ไม่รู้ว่าทำไมพี่น่าถึงกอดลู่เฉินร้องไห้!

“เถ้าแก่!”

พี่น่าปล่อยลู่เฉิน ใบหน้าของเธอทั้งร้องไห้และหัวเราะ เธอเดินไปหาเฉินเจี้ยนหาวก่อนเอ่ย “เสี่ยวลู่แต่งเพลงให้ฉันค่ะ คุณดูสิว่าดีหรือไม่ดี”

เฉินเจี้ยนหาวรับกระดาษที่พี่น่ายื่นมาให้อย่างแปลกใจ อ่านโน้ตดนตรีที่อยู่บนนั้นอย่างตั้งใจ

เขาใช้เวลาอ่านห้านาทีเต็ม สีหน้าเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เคร่งขรึม ซาบซึ้ง ชื่นชม ถอนหายใจ…

หลังจากอ่านเสร็จแล้ว เฉินเจี้ยนหาวเงียบงัน

“เถ้าแก่ คุณคิดว่าเป็นยังไงบ้างคะ”

พี่น่าถามอย่างใจตุ้มๆ ต่อมๆ เธอเป็นเหมือนเด็กนักเรียนชั้นประถมที่รอคำพูดของคุณครู ไม่ใช่นักร้องมากประ สบการณ์ที่คลุกอยู่ในวงการเพลงมายี่สิบปีกว่า รอคอยการชื่นชมและกลัวการวิจารณ์

“เพลงดี!”

เฉินเจี้ยนหาวตอบเสียงทุ้ม “เป็นเพลงที่ดีมากเพลงหนึ่งเลย ผมแค่ไม่อยากจะเชื่อว่าเสี่ยวลู่เป็นคนแต่งเพลงนี้ เหมาะกับคุณมากจริงๆ!”

เฉินเจี้ยนหาวก็เป็นคนในวงการอยู่แล้ว ไม่ว่าเรื่องความรู้ความสามารถด้านดนตรี เขาก็เหนือกว่าพี่น่า ดังนั้นจึงอ่านและเข้าใจความหมายของเพลงนี้ได้สูงอีกระดับหนึ่ง

ดังนั้นเขาจึงยากจะเชื่อจริงๆ ว่าเพลงนี้เป็นฝีมือของลู่เฉิน

พี่น่ายื่นมือเช็ดน้ำตา ยิ้มพูดว่า “ใช่ค่ะ ฉันเพิ่งลองร้องดูไปแป๊บเดียว ก็ร้องไห้เลย”

คนที่อยู่ในเหตุการณ์รวมทั้งเฉินเจี้ยนหาวไม่มีใครอายุมากกว่าเธอ แต่พี่น่ากลับไม่รู้สึกลำบากใจเลยสักนิด

ในใจของเธอมีเพียงความตื่นเต้นและซาบซึ้ง

“ต้องทำเพลงนี้ออกมาให้ดีๆ!”

เฉินเจี้ยนหาวไม่ได้ซักถามอะไรจากลู่เฉินต่อ เขาสะบัดโน้ตดนตรีที่อยู่ในมือพลางพูด “ทำเป็นเพลงหลักของแผ่นเสียงอัลบั้มก็พอแล้ว ขอแค่จัดการดีๆ ก็อาจจะดังได้!”

อัลบั้ม? เพลงหลัก?

หลี่หงกับเยี่ยเจิ้นหยางรวมถึงหวางเสี่ยวไซว่ได้ยินก็อ้าปากตาค้าง ต่างสงสัยว่าตัวเองฟังผิดไปหรือเปล่า

ตอนนี้พวกเขารู้แล้ว สาเหตุที่พี่น่าตื่นเต้นเสียอาการเป็นเพราะลู่เฉินแต่งเพลงให้เธอหนึ่งเพลง แต่บทเพลงนี้ดีขนาดไหนกันแน่ เฉินเจี้ยนหาวจึงเฉลยคำตอบตอนนี้!

ไม่ว่านักร้องคนไหน นอกเสียจากไม่คิดมุ่งแสวงหาความเจริญก้าวหน้า ไม่อย่างนั้นก็คงอยากออกอัลบั้มที่เป็นเป้าหมายสูงสุดในชีวิตของตัวเอง ต่อให้แผ่นเสียงที่ร้องออกมาในปัจจุบันนี้จะไม่ทำกำไรมากแล้วก็ตาม

หนึ่งอัลบั้ม หนึ่งแผ่นเสียง เป็นตัวแทนของนักร้องที่มีฐานะและศักยภาพ แล้วก็ความหยิ่งทระนง!

พี่น่ายิ้มขมขื่น “ออกอัลบั้มแผ่นเสียงฉันไม่กล้าคิดหรอกค่ะ ออกเป็นซิงเกิลได้ก็พอใจแล้ว ไม่เสียดายแล้วค่ะ!”

นักร้องในตอนนี้ต่างก็อยากออกแผ่นเสียง ส่วนใหญ่จึงทำการลดแลกแจกแถมเสียต้นทุน นอกจากดารานักร้อง ไอดอลที่โด่งดังแล้ว นักร้องธรรมดาไม่กล้าจะคาดหวัง

เมื่อเทียบกันแล้วการออกซิงเกิลถือว่าง่ายกว่า และเป็นที่นิยมในวงการอีกด้วย

เฉินเจี้ยนหาวไม่ได้คัดค้าน “ซิงเกิลก็ดี อยากให้ช่วยตรงไหนก็บอกมาเลย ผมยังพอใช้เส้นสายได้”

พี่น่าซาบซึ้ง

“ขอบคุณเถ้าแก่ค่ะ!”

เฉินเจี้ยนหาวชื่นชมเธอมาตลอด และดูแลเธอมากเช่นกัน นอกจากนี้เฉินเจี้ยนหาวยังมีเส้นสายที่กว้างขวาง มีเขาคอยช่วยเหลือออกซิงเกิล แบบนั้นจึงไม่ใช่ปัญหาอะไร

เฉินเจี้ยนหาวยิ้มพูด “คุณควรจะขอบคุณเสี่ยวลู่ เขาแต่งเพลงนี้ได้ดีจริงๆ…สุดยอดมาก!”

พี่น่าพยักหน้า “แน่นอนอยู่แล้วค่ะ!”

เธอครุ่นคิด หยิบโทรศัพท์ออกมา เปิดหน้าจอแล้วกดไปมาอย่างรวดเร็ว

ผ่านไปสักพัก เสียงติ๊ดๆ ของข้อความโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าของลู่เฉินก็ดังขึ้น

ลู่เฉินตกตะลึง รีบหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมา สุดท้ายพบว่าเป็นข้อความที่ส่งมาจากอี้ฟู่เป่า[1] เตือนว่าบัญชีของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลง ถูกคนโอนเงินเข้าบัญชีสามหมื่นหยวนเมื่อครู่

เงินสามหมื่นหยวนนี้มาจากพี่น่าร้อยเปอร์เซ็นต์!

การโอนเงินในอี้ฟู่เป่าสะดวกเป็นอย่างมาก แค่รู้เบอร์โทรศัพท์ของอีกฝ่ายก็สามารถโอนเงินได้แล้ว และยังเข้าบัญชี ณ ตอนนั้นเลย

ลู่เฉินตกใจ “พี่น่า สามหมื่นหยวนเยอะเกินไปครับ!”

เขามอบเพลงนี้ให้กับพี่น่าก็เพื่อตอบแทนการดูแลของอีกฝ่าย และก็เป็นเพราะเพลงนี้เหมาะกับเธอมากจริงๆ

ส่วนค่าใช้จ่ายในการแต่งเพลง ลู่เฉินไม่ได้คิดมาก่อน

แต่ความคิดของพี่น่าไม่เหมือนกัน “เสี่ยวลู่ เพลงนี้ของนายฉันให้สามหมื่นยังน้อยไป ถ้าเพิ่มศูนย์อีกหนึ่งตัวก็ยังคุ้ม แต่ตอนนี้ฉันไม่มีเงินมากขนาดนั้น เดี๋ยวค่อยชดเชยให้นายในวันหน้า!”

เธอรู้ว่ามูลค่าที่แท้จริงของบทเพลงที่ดีเพลงหนึ่งเป็นอย่างดี นับตั้งแต่ที่เพลงป็อบเกิดขึ้นในยุค 1990 จนถึงตอนนี้ มีนักร้องมากมายอาศัยผลงานเพลงคลาสสิคที่โด่งดังแค่เพลงเดียวทำมาหากิน อาศัยกินบุญเก่า เพลงแบบนี้หากต้องการในราคาหลักแสนก็ยังน้อยไป

แน่นอนว่าการใช้เงินซื้อเพลงที่แท้จริงไม่ได้คิดแบบนี้ เพลงเพลงหนึ่งจะดังหรือไม่ดัง ยังต้องดูปัจจัยอื่นอีกหลายด้าน โดยเฉพาะในยุคอินเทอร์เน็ตตอนนี้ การมีชื่อเสียงจำเป็นต้องอาศัยการสร้างกระแสกับผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง

ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ พี่น่าก็ยังรู้สึกว่าตัวเองให้สามหมื่นยังเอาเปรียบลู่เฉินอยู่ดี!

ลู่เฉินอดเกาศีรษะแกรกๆ ไม่ได้ พูดว่า “พี่น่าพูดแบบนี้ ผมเกรงใจแย่เลย!”

อย่ามาทำดัดจริต!

เยี่ยเจิ้นหยางและคนอื่นๆ ต่างแอบด่าอยู่ในใจ ขณะเดียวกันพวกเขาก็รู้สึกอิจฉาริษยาลู่เฉินเป็นอย่างมาก

แต่งแค่เพลงเดียวก็ได้เงินสามหมื่น ถ้าหากแต่งเป็นสิบเพลงออกมาก็ขายได้หลายแสนใช่ไหม ลู่เฉินเปลี่ยนเป็นคนที่มีความสามารถตั้งแต่เมื่อไร ตัวเองแต่งเพลงไม่ร้อง แถมยังแต่งเพลงให้คนอื่นอีก!

ทั้งสามคนที่อยู่ในนี้ อารมณ์ของหลี่หงสับสนซับซ้อนมากที่สุด เธอก็อิจฉาลู่เฉิน ยิ่งอิจฉาพี่น่าที่ได้ซื้อเพลงดี และเกลียดตัวเองทำไมถึงไม่โชคดีแบบนี้บ้าง

หลี่หงก็อยากซื้อเพลงของลู่เฉินเหมือนกัน แต่เงินสามหมื่นหยวนมันสูงเกินไป สามารถเชิญนักร้องที่มีชื่อเสียงได้ มากพอ นอกจากนี้เธอก็ซื้อไม่ไหวและเสียดายจริงๆ!

รายได้ของนักร้องในบาร์ก็ไม่เลว แต่ต้นทุนในการใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงสูงเกินไป ไม่ว่าจะเป็นค่าเช่าห้อง ค่าครองชีพ ค่าใช้จ่ายประจำวัน เสื้อผ้าเครื่องสำอาง เครื่องประทินผิวบำรุงร่างกาย…แค่หนึ่งปีเหลือเงินเก็บไม่เท่าไร

ดังนั้นเธอจึงได้แต่มอง และแอบอิจฉา

ความจริงหลี่หงคิดมากเกินไป ต่อให้เธอมีเงินสามหมื่นหยวน ลู่เฉินก็ไม่ขายให้เธอ

เพราะทั้งสองคนไม่ได้สนิทสนมกันมาก!

“โอเค ทุกคนเตรียมการแสดงเถอะ…”

เฉินเจี้ยนหาวตบมือพลางพูด “เสี่ยวลู่ นายมานี่ ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับนายหน่อย”

ดังนั้นลู่เฉินจึงเดินตามไป ทั้งสองคนคุยเป็นการส่วนตัวอยู่ตรงมุมห้อง

เฉินเจี้ยนหาวพูดสั้นกระชับได้ใจความ “เมื่อครู่เถ้าแก่ฉางเหว่ยบาร์บลูโลตัสมา แล้วก็ยังมีคนในวงการอีกสองสามคน พวกเขาอาจจะเชิญนายไปร่วมงานเทศกาลดนตรีที่จะจัดขึ้นในคืนวันเสาร์นี้”

ลู่เฉินประหลาดใจ “เชิญผม?”

บาร์บลูโลตัสเป็นบาร์ที่แข็งแกร่งทรงพลังที่สุดและมีพื้นที่ใหญ่ที่สุดในโฮ่วไห่ ดำเนินกิจการมานานแล้ว เถ้าแก่ฉางเหว่ยมีชื่อเสียงโด่งดังมาก เป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่ง

ลู่เฉินเคยไปที่บาร์บลูโลตัสมาแล้ว แค่พื้นที่ลานจอดรถของที่นั่นก็มีมากกว่าบาร์เดย์ลิลลี่ และยังถูกจัดเทศกาลดนตรีคาร์นิวัลไนท์บ่อยครั้ง มักดึงดูดลูกค้าหรือคนที่คลั่งไคล้ดนตรีได้นับพันคน

เทศกาลดนตรีคาร์นิวัลไนท์ของบาร์บลูโลตัสจะมีประเพณีเชิญนักร้องสายอาชีพเดียวกันมาร่วมงาน แน่นอนว่าคนที่พวกเขาเชิญมาล้วนมีความสามารถ หากไม่เก่งจริงจะถูกคนไล่ลงไป

และนักร้องที่ถูกเชิญก็มีความยินดีที่จะมาร่วมงานเป็นอย่างมาก นอกจากค่าตอบแทนแล้ว ประเด็นสำคัญคืออาจจะมีคนของบริษัทบันเทิงมีเดียจำนวนไม่น้อยมาร่วมดูความคึกคัก ไม่แน่หากถูกใจก็อาจได้เซ็นสัญญา เดินสู่เส้นทางที่มีชื่อเสียง!

แน่นอนว่าลู่เฉินรู้จักเทศกาลดนตรีคาร์นิวัลไนท์ของบาร์บลูโลตัส เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าเถ้าแก่ฉางเหว่ยจะมาเชิญตัวเอง

เฉินเจี้ยนหาวเอ่ย “ถูกแล้ว แต่ก็ต้องดูการแสดงออกของนายว่าเป็นอย่างไร เมื่อคืนนายมีธุระมาไม่ได้ คืนนี้นายอย่าทำให้ฉันขายหน้านะ!”

ถึงแม้น้ำเสียงจะเป็นการพูดล้อเล่น แต่ก็สามารถดูออกถึงท่าทีจริงจังของเฉินเจี้ยนหาว

ลู่เฉินพยักหน้า พลันรู้สึกใจกระตุก “เถ้าแก่ครับ เรื่องนี้เกี่ยวกับผู้อำนวยการซูคนนั้นไหมครับ”

ตอนนี้เขาเป็นเพียงนักร้องตัวเล็กๆ ที่อยู่ในบาร์ ต่อให้แต่งเพลงได้สองเพลง ฉางเหว่ยก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องให้ความสำคัญขนาดนี้ ดังนั้นจึงต้องมีสาเหตุอย่างอื่นแน่นอน

ลู่เฉินนึกถึงการพบเจอกับซูชิงเหมยที่บาร์เมื่อครู่ ดังนั้นจึงพูดโพล่งออกไป

“แค่กๆ!”

เฉินเจี้ยนหาวกระแอมแรงๆ สองที “เทศกาลดนตรีคาร์นิวัลไนท์ของบาร์บลูโลตัสในครั้งนี้จัดในนามบริษัทชิงอวี่มีเดีย เถ้าแก่ของชิงอวี่มีเดียกับฉางเหว่ยมีความสัมพันธ์ที่ดีกันมาก ดังนั้น…”

ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้เอง!

ลู่เฉินเข้าใจในทันที เขาไม่เข้าใจว่าทำไมซูชิงเหมยถึงจ้องเขาไม่ปล่อย ไม่ยอมแพ้แบบนี้

เฉินเจี้ยนหาวตบไหล่ของเขาแล้วพูดว่า “นายไม่ต้องคิดมาก แค่แสดงให้ดีก็พอ ครั้งนี้เป็นโอกาสที่ดีมาก ส่วนเรื่องอื่น ขอแค่นายยืนหยัดในความคิดของตัวเอง คนอื่นก็บังคับฝืนใจนายไม่ได้”

ลู่เฉินเผยรอยยิ้มบนใบหน้า “ผมเข้าใจครับ ขอบคุณครับเถ้าแก่”

เขาในตอนนี้ก็ไม่แคร์อะไรมากจริงๆ

…………………………………………………………………………

[1] อี้ฟู่เป่า คือแอพพลิเคชันกระเป๋าตังอีเล็กทรอนิกส์ของจีน อยู่ในเครือบริษัท Suning Holding Group