ณ ตำหนักเจ๋อเทียน…รูปปั้นมังกรสิบสองตัวพร้อมกับเสาสีทองตั้งตระหง่านอยู่บนกระเบื้องหยกเคลือบเงา…โถงทางเดินกว้างใหญ่ หลังคาสูงสะท้อนเงากระเบื้องหยกวิบวับ โคมไฟระย้าลอยอยู่เหนือหัวอย่างสง่างาม ยามบ่ายนี้องค์จักรพรรดิต้องได้รับการเข้าเฝ้าจากขุนนางมากมาย

ฉินจิ้นยืนอยู่หน้าบัลลังก์ของตนด้วยท่าทางปีติภาคภูมิ…เขาจ้องมองไปยังซูมู่หยุน ฉินอิน เฟิงจี้สิงและคนอื่นๆ เผยรอยยิ้มที่แข็งกร้าวพร้อมกับอ้าแขนรับอย่างอบอุ่น “โอ้…ฉินอินเจ้ากลับมาแล้ว!”

ฉินอินถอนสายบัวพร้อมกับใช้มือทั้งสองข้างของตนเองยกกระโปรงขึ้นทำความเคารพ นางแลบลิ้นออกมาเผยความทะเล้นบนในหน้า “ลูกกลับมาแล้วเพคะ!”

ฉินจิ้นไถ่ถามลูกสาวของตนอย่างเป็นห่วง “ไม่มีอันตรายอันใดเกิดขึ้นกับเจ้าใช่หรือไม่?”

ฉินอินหยุดชะงักกับคำถามนี้ทันที…นางพลันนึกถึงการลอบสังหารที่น่ากลัวที่แม่น้ำต้าวเจียง นางตัวสั่นและกล่าวออกมาว่า “ข้าก็ยังกลับมาอย่างมีลมหายใจนี่เจ้าคะท่านพ่อ…ทว่าท่านพ่อเจ้าคะ…ท่านตากลับมากับลูกด้วย!”

“อืม…”

ฉินจิ้นพยักหน้าเผยรอยยิ้ม เขาเดินลงจากบันไดทองคำแล้วตรงเข้าหาซูมู่หยุน พลางประสานกำปั้นโค้งคำนับ “ทางกงหยุน ฉินจิ้นยินดีที่ได้พบ เดินทางมาเหนื่อยคงเหนื่อยมิใช่น้อยนะขอรับ!”

ซูมู่หยุนรีบเข้าไปประคองฉินจิ้นด้วยความเกรงใจก่อนจะยิ้มและตอบ “องค์จักรพรรดิทรงพระชราภาพมากแล้ว อย่าทำเช่นนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ ว่าด้วยเรื่องของเรา ในฐานะผู้ดูแลมณฑลอวิ้นจงข้ามีเรื่องต้องรายงาน…หูเถี่ยหนิงผู้ชั่วช้า นักโทษผู้ต้องคดีซักฟอกเงินและละเลยพระราชโองการขององค์จักรพรรดิได้ถูกสังหารหลังการบุกโจมตีมณฑลชางหนาน ข้าพระองค์ได้ตัดหัวของมันมาเพื่อเป็นสิ่งยืนยันพ่ะย่ะค่ะ!”

ซูฉินด้านมาจากด้านหลังซูมู่หยุนพร้อมกับกล่องใบหนึ่ง “ข้าแต่ฝ่าพระบาท…หัวของหูเถี่ยหนิงพ่ะย่ะค่ะ!”

ฉินจิ้นไม่แม้แต่มองสิ่งที่นายทหารเบื้องหน้านำมามอบให้นอกจากพยักหน้ารับ “ขอบคุณแม่ทัพซูฉินที่ทำภารกิจอันยากลำบากนี้จนแล้วเสร็จ ข้าจะมอบรางวัลให้หลังจากท่านกลับถึงเมืองหยาดสายัณห์แล้ว”

“เป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งพ่ะย่ะค่ะ!”

ฉินจิ้นเอ่ยขึ้น “วันนี้ท่านกงหยุน แม่ทัพซูฉินและซูอวี่พักอยู่ตำหนักเจ๋อเทียนเถิด พวกท่านก็คือครอบครัวของข้าเช่นกัน ที่มีห้องว่างอยู่มากมาย นอกเสียจากพวกท่านไม่คิดเช่นเดียวกันอยากจะกลับบ้านข้าก็ไม่ขัดข้อง…”

ซูมู่หยุนโค้งคำนับพร้อมรอยยิ้ม “ข้าเป็นเพียงข้าราชบริพารคงมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ บรรพบุรุษเคยบอกเอาไว้ว่ามีเพียงพระสนมและทายาทเท่านั้นจึงจะสามารถอาศัยในตำหนักได้ ขอเพียงข้าได้พักพิงอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้ก็พอแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“เช่นนั้นก็ตามใจท่าน ทว่าคืนนี้เรามีงานเลี้ยงสังสรรค์ ณ โถงกลางแห่งนี้ ท่านหยุนกงสามารถมาเข้าร่วมและดื่มกินกับข้าได้นะขอรับ”

“ข้าพระองค์น้อมรับคำเชิญชวนพ่ะย่ะค่ะ!”

ในช่วงบ่าย ฉินเหลยนำกลุ่มองครักษ์อวี้หลินพาซูมู่หยุน ซูฉินและซูอวี่ไปพักยังโรงเตี๊ยม ซูมู่หยุนไม่ได้นำคนคุ้มกันตามไปมากนักเพียงห้าร้อยนายเท่านั้น…เพื่อไม่ให้เป็นที่จับตามองมากเกินไป อีกทั้งการนำกำลังคนจำนวนมากเข้าเมืองหลันเยี่ยนจะถูกมองว่าต้องการยกตนเสมอจักรพรรดิ ซูมู่หยุนผู้เป็นขุนนางมานานรู้เรื่องนี้ดี

ในตำหนักเจ๋อเทียน ฉินอิน เฟิงจี้สิง หลินมู่อวี่ ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนและคนอื่นๆ ยังคงอยู่

หลินมู่อวี่กับฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนลำลึกความหลังกันครู่หนึ่ง เมื่อพูดคุยถึงเรื่องของฉู่เหยา ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนก็ยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิ “วิชาปรุงยา วิชารักษาและพลังยุทธ์ของอาเหยาเพิ่มขึ้นอย่างมาก ตอนนี้คงสามารถปรุงยาระดับเจ็ดได้แล้ว และกำลังอยู่ในช่วงพิจารณาเลื่อนขั้นเป็นปรมาจารย์โดยผู้นำสมาพันธ์โอสถ!”

“พี่ฉู่เหยาไปถึงขั้นนั้นแล้วหรือ?” หลินมู่อวี่กล่าวออกมาอย่างดีใจ “ข้าฝากไปยินดีกับก้าวแรกของนางด้วย ต่อเมื่อได้รับการเลื่อนขั้นเป็นปรมาจารย์แห่งสมาพันธ์โอสถแล้ว คงมีฐานะเพียงพอเข้าเมืองหลวงเสียที”

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนหหัวเราะเบาๆ “กว่าอาเหยาจะทัดเทียมฝีมือเจ้าคงอีกนานนัก…”

หลินมู่อวี่ลูบจมูกอย่างขวยเขิน “ข้า…เก่งกาจขนาดนั้นเชียวหรือ?”

“ฮ่าๆๆ อย่าถ่อมตนไปเลย ภารกิจในครานี้ของเจ้าก็ลำบากมิใช่น้อย องค์จักรพรรดิคงอวยรางวัลแก่เจ้ามากโข”

“ข้าก็หวังเช่นนั้น!”

ทันใดนั้นถังเสี่ยวซีก็เข้ามายังตำหนักเจ๋อเทียนพร้อมข้าราชบริพารของนาง ร่างบางสวมชุดแดงเดินขึงขังอย่างเง้างอนไปหาหลินมู่อวี่ “มู่มู่ เหตุใดเจ้ากลับมาแล้วจึงไม่แวะไปหาข้า!”

“โอ้…ดูเหมือนข้าศึกเจ้าจะบุกมาแล้ว ข้าคงต้องขอตัวก่อน!” ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนหันไปคำนับแก่ถังเสี่ยวซีพลางคลี่ยิ้ม “ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนขอตัวก่อนนะขอรับ!”

หลินมู่อวี่ยังไม่ทันได้กล่าวลา จำต้องหันไปตอบถังเสี่ยวซีเสียก่อน “ข้าเพียงแต่กลับมารายงานภารกิจเท่านั้นจึงไม่มีเวลาไปหาเจ้า เช่นนั้น…เสี่ยวซีก็ถือเสียว่านี่เป็นข่าวดีที่ข้าได้กลับมาเสียสิ”

“อืม…”

ถังเสี่ยวซีกอดอกจนยอดปทุมถันอันมหึมาแทบล้นจากอ้อมแขน “ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย! หากไม่เป็นเพราะคนแถบบทงเทียนพูดกันไปทั่วว่าท่านหลินมู่อวี่และองค์หญิงทรงเสด็จกลับหลันเยี่ยนแล้ว ข้าคงไม่มีวันรู้ว่าเจ้ากลับมา!”

หลินมู่อวี่ยิ้มหน้าเจื่อน “อย่าโกรธเคืองข้าเลย…ด้วยภารกิจที่ได้รับมอบเป็นความลับ ข้าจึงไม่มีโอกาสได้แจ้งข่าวแก่เจ้า แล้วการฝึกยุทธ์ของเข้าไปถึงไหนแล้วช่วงที่ข้าไม่อยู่?”

ถังเสี่ยวซีตอบ “ผนึกจิ้งจอกอัคนีข้าถึงระดับห้าแล้ว!”

“จริงหรือ? ข้าดีใจกับเจ้าด้วย!”

ขณะเดียวกัน ฉินอินเดินลงมาจากบันไดพลางเอ่ยขึ้น “เสี่ยวซี เจ้าก็อยู่ที่นี่รึ!”

ถังเสี่ยวซีเม้มปากตอบ “เสี่ยวอินเจ้าใจร้ายกับข้ามาก เจ้าพาหลินมู่อวี่ไปเที่ยวเล่นภูเขากับแม่น้ำโดนทิ้งข้าไว้กับการฝึกน่าเบื่อ ครั้งต่อไปเจ้าต้องพาข้าไปด้วย!”

ฉินอินทำหน้ามุ่ย “เจ้าพูดเช่นนั้นได้อย่างไร? ที่ต้าวเจียงข้ากับอาอวี่เกือบเอาชีวิตไม่รอด!”

“เกิดอันใดขึ้นหรือ?”

ฉินอินเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการโจมตีของชายปริศนาที่แม่น้ำต้าวเจียง เป็นเวลาเดียวกับที่ชวีฉูเดินเข้ามาพอดี เมื่อได้ฟังเรื่องราวที่ฉินอินเล่า ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด

“องค์หญิง…ชายปริศนาที่ท่านได้พบใช้พลังแห่งความมืดใช่หรือไม่ขอรับ?”

“ใช่แล้ว ข้ากับอาอวี่เห็นกับตา” ฉินอินพยักหน้า

“จริงรึอาอวี่?” ชวีฉูถามย้ำ

หลินมู่อวี่โค้งคำนับพลางตอบ “ใช่แล้วขอรับท่านปู่ชวี พลังอาฆาตของมันว่าแข็งแกร่งแล้ว ฝีมือดาบนั้นยิ่งกว่า…ข้าทนสู้กับมันได้ไม่ถึงสามครั้งด้วยซ้ำ หากไม่ได้มังกรเกราะน้ำแข็งในแม่น้ำต้าวเจียงช่วยไว้ ข้ากับฉินอินคงตายไปเสียแล้วกระมัง”

“ทักษะดาบยอดเยี่ยมมากหรือ?”

ชวีฉูขมวดคิ้วพลางกล่าว “อาอวี่ เสี่ยวอิน ตามข้ามาเร็ว!”

“ขอรับ”

ฉินอินและหลินมู่อวี่ออกจากตำหนักเจ๋อเทียนไปพร้อมกับชวีฉูโดยมีถังเสี่ยวซีติดตามไปด้วย ทั้งสี่คนเดินไปตามโถงทางเดินที่เต็มไปด้วยของสะสมในตำหนัก กระทั่งมาถึงห้องที่ใช้สะสมของ ชวีฉูจึงหันไปสั่งการแก่ทหารอารักขา “ปิดประตู อย่าให้ใครเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต”

“ขอรับท่านชวีฉู!”

กระทั่งประตูปิดและเหลือเพียงสี่คนคนอยู่ในห้อง ชวีฉูจุดเทียนเพิ่มความสว่างก่อนจะผายมือ “นั่งลงและจิบชากันก่อนเถิด หลังจากนั้นค่อยบอกปู่ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ข้าอยากรู้”

“ขอรับ”

แม้ฉินอินและหลินมู่อวี่จะยังสงสัยว่าเหตุใดท่าทีจิงชวีฉูจึงเปลี่ยนไปเมื่อได้ฟังเรื่องของชายปริศนา ทว่าสิ่งที่รู้แน่ชัดคือมีบางอย่างที่ถูกปกปิดไว้

ถังเสี่ยวซีที่ไม่ได้เผชิญกับการลอบสังหารด้วยตนเอง จึงนั่งจิบชาและฟังทั้งสามคุยกันถึงเหตุการณ์ ณ แม่น้ำต้าวเจียงอย่างเงียบๆ พร้อมกับหมาป่าวาโยของฉินอินที่กระดิกหางออดอ้อนเสี่ยวซีอยู่ข้างๆ หลินมู่อวี่เมื่อเห็นก็อดรู้สึกรำคาญไม่ได้ หมาป่าตัวนี้ชอบเอาอกเอาใจหญิงงามนัก!

“อาอวี่ นอกจากพลังมืดและทักษะดาบอันไร้เทียมทานแล้ว มันมีลักษณะอย่างอื่นอีกหรือไม่?” ชวีฉูถาม

“อย่างอื่น…”

หลินมู่อวี่พยามยามนึก “อ้อ ทุกครั้งที่มันโจมตี ดวงตาจะเปลี่ยนเป็นสีแดงราวกับสีของพระอาทิตย์ตกดิน”

ชวีฉูร่างกายเริ่มสั่นเทิ้ม “มีอีกหรือไม่?”

“นอกจากนิสัยหยิ่งผยองคอยดูถูกข้าและฉินอินก็ไม่สิ่งใดแล้วขอรับ”

“…”

“อีกอย่าง ระหว่างที่พวกข้าอยู่ที่วัด ข้าพบบางสิ่งคล้ายไม้บรรทัดเหล็ก ชายผู้นั้นตั้งใจเข้ามาแย่งชิงมัน และบอกว่ามันคืออุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์”

“จริงหรือ?” ชวีฉูเบิกตากว้าง “แล้วตอนนี้แท่งโลหะนั้นอยู่ที่ใด?”

“ข้าหลอมมันไปแล้ว…” หลินมู่อวี่ตอบอย่างละอาย “ในตอนนั้นมังกรเกราะน้ำแข็งหลายพันตัวจากแม่น้ำต้าวเจียงเข้าจู่โจมข้ากับชายปริศนาพร้อมกัน ข้าถูกกัดเข้าที่แขนซ้าย เพื่อที่จะเอาชีวิตรอดจึงจำเป็นต้องตัดมันทิ้ง หลังจากนั้นข้าสัมผัสได้ถึงพลังงานชีวิตที่ไหลเวียนอยู่ในแท่งโลหะ จึงลองหลอมมันเพื่อสร้างคาดซ้ายขึ้นมาใหม่…”

“อะไรนะ!?”

ถังเสี่ยวซีวางแก้วชาและรีบตรงไปยังแขนของหลินมู่อวี่ทันที “มู่มู่ เจ้าเคยแขนขาดรึ?”

“อืม” หลินมู่อวี่พยักหน้า “แขนซ้ายที่เจ้าเห็นอยู่นี้เป็นแขนที่ข้าหลอมขึ้นมาใหม่จากแท่งโลหะกับเลือดของตัวเอง”

ชวีฉูลูบเคราหงอก “หลังจากหลอมแท่งโลหะแล้ว เจ้าได้ความสามารถใดเพิ่มเติมหรือไม้?”

“พละกำลังแขนซ้ายข้าเพิ่มขึ้นอย่างมาก และดูเหมือนจะสามารถสร้างชั้นพลังงานป้องกันตัวเองได้ด้วย”

“ไหนมาให้ปู่ดู…”

“ขอรับ”

หลินมู่อวี่ลุกขึ้นเดินออกจากโต๊ะ ทันทีที่ก้าวไปหาชวีฉูทั้งร่างของหลินมู่อวี่ก็ปกคลุมไปด้วยพลังแห่งความอาฆาต ในขณะที่แขนซ้ายมีรูปลักษณ์มังกรโปร่งแสงปรากฏขึ้น พลังที่เอ่อล้นดูน่าเกรงขามราวกับเมื่อใดได้ต่างต้องยอมสยบ

“นี่มัน…” ชวีฉูตกตะลึง “อาอวี่เจ้าช่างเป็นที่โปรดปรานของสวรรค์เสียจริง ถึงได้ครอบครองพลังเทพโบราณนี้!”

“พลังเทพโบราณอย่างนั้นรึ?”

หลินมู่อวี่ประหลาดใจ “ท่านปู่ชวี ท่านหมายความว่านี่เป็นพลังอันเก่าแก่ใช่หรือไม่?”

“เจ้าไม่รู้ต้นกำเนิดของแท่งโลหะหรือ?”

“ไม่เลยขอรับ”

ชวีฉูเอ่ยอย่างช้าๆ “เสี่ยวอิน เจ้าจงไปที่ชั้นหนังสือด้านในสุด จะมีสำเนาชื่อว่า ‘เทพและปีศาจ’ วางอยู่ มันถูกเขียนขึ้นโดยตงฮั่นฉูเมื่อสองหมื่นแปดพันปีที่แล้ว”

“เจ้าค่ะ”

………………………