EP.269 หอหลิงหยุน

ฉินอินหยิบตำราโบราณเล่มหนาจากข้างโต๊ะส่งให้ชวีฉู่ จากนั้นชวีฉู่ก็วางมันลงและรีบเปิดไปที่หน้าสิบเจ็ด เขาชี้นิ้วมือไปที่ภาพในหนังสือ มีภาพในตำราอยู่เก้าภาพ หนึ่งในนั้นรูปร่างคล้ายแท่งโลหะ ฉวีชู่จึงเอ่ยถาม “อาอวี่ดูนี่สิ เจ้าแท่งโลหะชิ้นนั้นเหมือนในภาพหรือไม่”

หลินมู่อวี่เอนตัวไปดูและตกตะลึง “นั่น…นั่นมันแท่งโลหะ…”

น่าเสียดาย นอกจากรูปภาพแล้ว หลินมู่อวี่ไม่เข้าใจตัวอักษรในตำรา ‘เทพและปีศาจ’ เล่มนี้เลย ดูเหมือนจะเป็นภาษาสันสกฤต และคงจะเป็นดังเช่นฉินอินกล่าว มันคืออักขระโบราณ

ฉวีชู่ลูบเคราขาวและกล่าวว่า “ตำราเทพและปีศาจเล่มนี้ มีผู้ที่เข้าใจเนื้อหาไม่ถึงสิบคน ตอนที่ข้าเป็นเด็ก ข้าเคยได้ติดตามอาจารย์และเรียนรู้สิ่งที่เรียกว่า ‘เทพเจ้า’ และข้าอ่านออกเพียงหนึ่งถึงสองคำเท่านั้น ทว่าเมื่อข้าได้เป็นผู้บัญชาการแห่งกองทัพจักรวรรดิตอนอายุสี่สิบปี ข้าก็มีโอกาสได้อ่านตำราเทพและปีศาจอีกครั้ง ซึ่งทำให้ข้าประทับใจ”

“ต้นกำเนิดของแท่งโลหะคือสิ่งใดผู้อาวุโสฉู่? บอกพวกเรามาโดยตรงเถิด!” หลินมู่อวี่พูดอย่างกังวลใจ

ชวีฉู่อดไม่ได้ที่จะยิ้ม “วางใจเถิด…แล้วข้าจะเล่าอะไรให้ฟัง มันมีเรื่องผิดพลาดเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของแผ่นดินนี้ เมื่อราวห้าหมื่นปีก่อน ตามตำนานกล่าวไว้ว่ามีดาวตกลงมาจากฟ้าจนทำให้แผ่นดินแยกออกจากกัน อารยธรรมถูกเผาไหม้จนหมดสิ้น ก่อนจะค่อยๆ พัฒนาเป็นอารยธรรมของแผ่นดินในปัจจุบัน ดังนั้นตำราเล่มนี้จึงเป็นประวัติศาสตร์ที่เริ่มจากเมื่อห้าหมื่นปีที่แล้ว ซึ่งยุคสมัยก่อนหน้านั้นสูญหายทั้งหมด”

“แล้วเกี่ยวข้องกับแท่งโลหะนี้อย่างไรเจ้าคะ?” ฉินอินเอ่ยถาม

ฉวีชู่ยิ้มเล็กน้อย “รู้หรือไม่ว่าห้าหมื่นปีก่อน ผู้ปกครองแผ่นดินมิใช่พวกเรา…”

“หืม?” ฉินอินตกใจ “เช่นนั้นเป็นใครกัน?”

“เรื่องนั้น…”

ฉวีชู่หรี่ตาลงและส่ายหัว “ข้าไม่ทราบว่าเป็นใคร อาจเป็นมนุษย์กลุ่มหนึ่ง…อาจเรียกได้ว่าเป็นมนุษย์โบราณ พวกเขานับถือเทพเก้าองค์ที่เรียกว่า พระพุทธเจ้าทั้งเก้า และแต่ละองค์ได้สร้างเครื่องมือศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา ซึ่งมีชื่อว่า มีดเสียงปีศาจ กระบี่แก้ว แท่งวิญญาณปริศนา และอีกมากมาย หากข้าเดาไม่ผิด แท่งโลหะที่อาอวี่หลอมนั้นก็คือแท่งวิญญาณปริศนา หนึ่งในเครื่องมือศักดิ์สิทธิ์สำหรับปกป้องธรรมะ และยังเป็นเครื่องมือศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธเจ้าผู้ลึกลับ ผู้ซึ่งเป็นเจ้าแห่ง ‘ชีวิตและการช่วยชีวิต’ อีกทั้งแท่งวิญญาณปริศนาเป็นของพระพุทธเจ้าซวนจี่ที่พวกเจ้าไปเจอมา เข้าใจหรือไม่?”

ฉินอินขยับปากเล็กน้อยอย่างประหลาดใจ “ท่านอาวุโสฉู่หมายถึง…แท่งโลหะที่อาอวี่หลอมนั้นเป็นแท่งวิญญาณปริศนาอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธเจ้าทั้งเก้าหรือเจ้าคะ?”

“ถูกต้อง มิเช่นนั้นหลินมู่อวี่จะสร้างร่างกายใหม่ได้อย่างไร?” ชวีฉู่ลูบเคราและเผยยิ้ม “อาวุธวิเศษทั่วไป คงไม่มีความสามารถพิเศษเช่นนี้!”

หลินมู่อวี่หรี่ตา “ในเมื่อข้าหลอมแท่งวิญญาณปริศนาไปแล้ว เช่นนั้น…นักฆ่าเป็นใครกัน เขาเกี่ยวข้องกับแท่งวิญญาณปริศนาใช่หรือไม่?”

ชวีฉู่หันมองและกล่าวว่า “หากข้าจำไม่ผิด เขาคงเป็นลูกหลานของมนุษย์โบราณ และเป็นผู้ดูแลสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งเก้า เนื่องจากห้าหมื่นปีก่อนพวกเขาเป็นเจ้าของแผ่นดินนี้”

ถังเสี่ยวซีอ้าปากค้าง “พระเจ้า…โชคดีที่คนผู้นั้นถูกมังกรกินไปแล้ว มิเช่นนั้นมู่มู่จะต้องตกอยู่ในอันตรายเป็นแน่…”

ฉวีชู่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “เสี่ยวซี เจ้าเป็นห่วงอาอวี่มากเหลือเกิน”

ถังเสี่ยวซีพลันหน้าแดง “ข…ข้าไม่…”

หลินมู่อวี่มีสีหน้าเคร่งขรึม “ผู้อาวุโสฉู่ จะมีลูกหลานของมนุษย์โบราณอีกหรือไม่…คนผู้นั้นแข็งแกร่งมาก หากยังมีมนุษย์โบราณอีกเป็นจำนวนมาก ข้าเกรงว่าแผ่นดินนี้อาจจะตกเป็นของพวกเขาอีกครั้ง!”

“ไม่”

ชวีฉู่ส่ายหัวและยิ้ม “พวกเขามิได้มีจำนวนมาก มิเช่นนั้นคงแย่งชิงแผ่นดินไปนานแล้ว ทว่า…มนุษย์โบราณกลุ่มนี้ได้เริ่มค้นหาสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งเก้าอีกครั้ง นี่อาจเป็นคำเตือนสำหรับมนุษย์อย่างพวกเราที่อาศัยอยู่ที่นี่มานานนับหมื่นปีต้องเริ่มตื่นตัว”

หลินมู่อวี่และฉินอินมองหน้ากันอย่างกังวล

ทันใดนั้นก็มีคนมาเคาะประตูและพูดว่า “ท่านอาวุโสฉู่ ฝ่าบาทมีพระประสงค์ให้ท่านแม่ทัพหลินมู่อวี่เข้าพบที่ตำหนักเจ๋อปิงขอรับ”

“อืม ข้าจะไปทันที”

ชวีฉู่ยิ้มเล็กน้อย “อาอวี่ ฝ่าบาทคงประสงค์จะประกาศเกียรติยศให้เจ้า ไปเถิด คงจะมีงานเลี้ยงฉลองในคืนนี้ ฝ่าบาทได้เข้าปกครองมณฑลชางหนานอย่างสมบูรณ์แล้ว เจ้าประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวงแบบที่ไม่มีใครเปรียบเทียบได้”

“ขอรับ”

หลินมู่อวี่ลุกขึ้นและเดินไปตำหนักเจ๋อปอง ซึ่งอยู่ด้านหลังตำหนักเจ๋อเทียน อีกทั้งยังเป็นสถานที่ที่จักรพรรดิเรียกพบนายพลและผู้บัญชาการเป็นการส่วนพระองค์ การที่เรียกหลินมู่อวี่ไปที่ตำหนักเจ๋อปิงนั้นมีความหมายลึกๆ ในตัวมันเองอย่างชัดเจน

‘ก๊อก ก๊อก…’

หลินมู่อวี่เคาะประตูห้องอย่างแผ่วเบาและกล่าวด้วยความเคารพ “ฝ่าบาท กระหม่อมหลินมู่อวี่พ่ะย่ะค่ะ”

“อาอวี่ เข้ามาสิ”

“พ่ะย่ะค่ะ”

หลินมู่อวี่พลักประตูเข้าไปก่อนจะพบฉินจิ้นถือกระบี่ขึ้นสนิมเล่มหนึ่งด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม ก่อนจะหันกลับมาพร้อมน้ำค้างแข็งที่เกาะบนใบหน้า

“ฝ่าบาทประสงค์ที่จะรับสั่งสิ่งใดแก่กระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ?” หลินมู่อวี่เอ่ยถาม

“เรียกข้าว่าเสด็จพ่อได้หรือไม่?” ฉินจิ้นกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ขอรับเสด็จพ่อ”

“ดี” ฉินจิ้นก้าวไปด้านหน้าแล้วกล่าวว่า “ตามมาสิ ข้าจะพาเจ้าเดินดูรอบบริเวณ”

“โอ้? ขอรับ…”

ทั้งสองเดินผ่านเข้าไปในตำหนักเจ๋อเทียนจนถึงห้องใต้หลังคาขนาดเล็กซึ่งมีทหารอวี้หลินสี่นายเฝ้าอยู่หน้าประตู บนแผ่นโลหะหน้าตาประหลาดมีตัวอักษรสามตัวเขียนว่า ‘หอหลิงหยุน’ ด้วยลายมือที่สวยงามราวกับมังกรและหงส์ไฟ

“หอหลิงหยุน?” หลินมู่อวี่กล่าวด้วยความประหลาดใจ

“ถูกต้อง”

ฉินจิ้นผลักประตูเข้าไป ทันใดนั้นก็มีลมพัดประทะใบหน้า เมื่อหลินมู่อวี่ก้าวเข้าไปด้านในก็พบว่าหอหลิงหยุนนั้นเป็นห้องโล่ง มีเพียงโต๊ะเก่าๆ ตั้งอยู่ด้านใน แต่ละโต๊ะมีชุดเกราะ ศาสตราวุธ และสิ่งของอีกมากมาย ศาสตราวุธบางชิ้นเป็นดาบยาว บางชิ้นเป็นกระบี่ และบางชิ้นเป็นค้อนสงคราม ด้านหลังของโต๊ะมีโกศจิตวิญญาณ

หลินมู่อวี่เดินเข้าไปใกล้ก็เห็นตัวหนังสือที่เขียนอยู่บนโกศจิตวิญญาณอันดับแรก ‘จิตวิญญาณผู้ก่อตั้งแม่ทัพเซี่ยงเหวินเทียน’

“เซี่ยงเหวินเทียน?”

หลินมู่อวี่ตะลึง “เทพทหารเซี่ยงเหวินเทียนผู้เป็นบรรพบุรุษเซี่ยงอวี้ใช่หรือไม่ขอรับ?”

“ใช่”

ฉินจิ้นเผยยิ้มจางๆ ขณะที่เอื้อมมือไปที่โกศจิตวิญญาณด้านหลังและกล่าวว่า “หอหลิงหยุนเป็นสถานที่ที่จักรวรรดิฉินสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประดิษฐานแก่แม่ทัพผู้เกรียงไกรในอดีต และผู้มีบุญญาธิการเท่านั้นจึงจะสามารถเข้ามาอยู่ในหอหลิงหยุนนี้ได้ จักรวรรดิฉินปกครองแผ่นดินมานานหลายพันปี ทว่ามีแม่ทัพอยู่ที่นี่เพียงยี่สิบหกนายเท่านั้น ในช่วงร้อยปีมานี้ยังเกิดสงครามอย่างต่อเนื่อง เจิ้งอี้ฝานและแม่ทัพชายแดนผู้แข็งแกร่งเฟิงอี้เฉิงก็กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของหอหลิงหยุน แต่เจิ้งอี้ฝานยังมีชีวิตอยู่ ขณะที่เฟิงอี้เฉิงเสียชีวิตในศึกสงครามไปแล้ว”

หลินมู่อวี่เขาไปมองใกล้ๆ ก็พบว่าบุคคลที่สองคือหลัวตงไห่ ผู้เป็นบรรพบุรุษของหลัวอวี่ อาจเป็นเพราะแม่ทัพผู้เก่งกล้าเช่นนี้ทำให้ลูกหลานอย่างหลัวอวี่ต้องการเข้าร่วมกลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาด เพื่อเดินตามรอยบรรพบุรษของเขา!

สำหรับเจิ้งอี้ฝานอยู่อันดับที่เจ็ด ส่วนเฟิงอี้เฉิงอยู่อันดับที่สิบหก หลินมู่อวี่ไม่รู้จักคนอื่นที่เหลือ เขาไม่มีเวลาศึกษาประวัติศาสตร์ของแผ่นดินนี้มากนัก

“ไม่ทราบว่าเสด็จพ่อพาข้ามาที่หอหลิงหยุนด้วยการใดขอรับ?” หลินมู่อวี่เอ่ยถามอย่างกะทันหัน

ฉินจิ้นหัวเราะ “อาอวี่ วีรบุรุษมักเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่มีศึกสงคราม ข้าคิดว่าเจ้าควรเข้าใจความจริงข้อนี้ด้วย อีกทั้งเจ้าเป็นคนฉลาด ขณะนี้มีเพียงเจ้าและพ่อในหอหลิงหยุน เจ้าไม่เข้าใจหรือ? จักรวรรดิฉินแห่งนี้กำลังตกอยู่ในความโกลาหล ทางตอนใต้ของภูเขาฉิน องค์ชายจากทั้งสี่มณฑลติดตามน้องชายของข้า…ราชาเจิ้นหนานฉินอี้ ข้าไม่ได้เจอเขานานหลายปีแล้ว ขณะที่ทางเหนือของภูเขาฉินมีผู้นำที่ยิ่งใหญ่แปดคนในแต่ละมณฑล ส่วนมณฑลหลิงเป่ย มณฑลชางหนาน และมณฑลตี่ฉิงขณะนี้อยู่ในการปกครองของพ่อ อีกห้ามณฑลที่เหลือนั้น…มณฑลชีไห่อยู่ในการดูแลของหลานกง ขณะที่มณฑลอวิ้นจงอยู่ในการดูแลของหยุนกง สำหรับมณฑลเทียนชู่แม้จะมีการจ่ายส่วยทุกปี แต่อำนาจทางการทหารมิได้อยู่กับพ่อ มณฑลหลิงตงเป็นพื้นที่ห่างไกลทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งมีพื้นที่แห้งแล้ง มีชาวบ้านอยู่เบาบาง และกำลังทหารไม่ถึงหมื่นนายจึงไม่นับ มณฑลทงเทียนเป็นพื้นที่ติดทะเลและไม่สะดวกในการเดินทาง แม้แต่นกส่งสารก็บินไปที่นั่นไม่ได้ จึงมิได้อยู่ในการควบคุมของพ่อ”

ฉินจิ้นถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อยและกล่าวว่า “จักรวรรดินี้…ฉินอี้ ซูมู่หยุน ถังหลาน หากคนใดคนหนึ่งก่อกบฏ ข้าเกรงว่าจักรวรรดิคงถูกแยกออกจากกัน”

หลินมู่อวี่ตกใจและรีบเข้าไปพยุงแขนฉินจิ้น “เสด็จพ่อ พวกเขาคงไม่ทำเช่นนั้น…หยุนกงนั้นภักดี แม้ว่าซูฉินลูกชายของเขาจะมุทะลุแต่ก็จงรักภักดีต่อเสด็จพ่อแน่นอน มณฑลอวิ้นจงคงไม่ทรยศเป็นแน่ ส่วนหลานกงแห่งมณฑลชีไห่เป็นปู่ของเสี่ยวซี ความสัมพันธ์ของเสี่ยวซีและเสี่ยวอินนั้นแน่นแฟ้นมาก ดังนั้นมณฑลชีไห่จะไม่มีทางก่อกบฏ ด้วยประการฉะนี้จะเห็นว่ากองกำลังกว่าหกแสนนายเป็นผู้ที่ภักดีต่อเสด็จพ่อ ข้าเชื่อว่าราชาเจิ้นหนานเองก็คงจะไม่ยกกองทัพมาก่อกบฏใช่หรือไม่ขอรับ?”

ฉินจิ้นยิ้มเล็กน้อย “อาอวี่สามารถมองทะลุปรุโปร่ง…ทว่าหัวใจของผู้คนต่างถูกแยกออกไป ภายใต้อำนาจล่อลวงของราชบัลลังก์ จะมีสักกี่คนที่จะสามารถจงรักภักดีไปได้ตลอด?”

“เสด็จพ่อกังวลเรื่องเจิ้งอี้ฝานหรือขอรับ?”

“หือ เจิ้งอี้ฝาน?!”

ฉินจิ้นหัวเราะเยาะ “เจิ้งอี้ฝานเป็นเพียงแค่หมาแก่เท่านั้น ไม่มีสิ่งใดต้องกลัว คนที่พ่อกังวลที่สุดไม่ใช่เขา”

“ผู้นั้นคือ…ฉินอี้? หรือหลานกง และหยุนกงขอรับ?”

“อืม เราอย่าคุยเรื่องนี้กันเลย…”

ฉินจิ้นยื่นมือออกมาบีบเบาๆ ที่ไหล่ของหลินมู่อวี่ ดวงตาทั้งสองเต็มไปด้วยความหมายลึกซึ้ง “พ่อพาเจ้ามาที่หอหลิงหยุนเพื่อบอกเจ้า…พ่อหวังว่าชื่อของอาอวี่จะปรากฏอยู่ที่นี่สักวัน…พ่อรู้ชะตากรรมของตัวเอง และเวลาไม่รอคอยข้า พ่อเกรงว่าคงจะมีเพียงเจ้าที่จะอยู่เคียงข้างเสี่ยวอินในภายภาคหน้า มันไม่ง่ายสำหรับเสี่ยวอินที่จะปกป้องแผ่นดินนี้ อาอวี่…เจ้า เฟิงจี้สิง ฉินเหลย และฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน ต่างก็เป็นความหวังของพ่อ เจ้ารู้ใช่หรือไม่?”

หลินมู่อวี่รีบถอยกลับพร้อมวางกระบี่ยาวที่พื้นและคุกเข่าต่อหน้าพ่อบุญธรรม เขากล่าวอย่างเคร่งขรึม “หลินมู่อวี่สาบาน ณ ที่แห่งนี้ ว่าจะไม่มีวันทรยศต่อเสี่ยวอินไปชั่วชีวิต!”

ฉินจิ้นเผยรอยยิ้มพึงพอใจ “เช่นนั้น…พ่อคงมิต้องกังวลอีก ลุกขึ้นเถิด และเตรียมตัวสำหรับมื้อค่ำนี้ มันเป็นงานเลี้ยงฉลองเพื่ออาอาวี่ ซูฉิน และเสี่ยวอิน”

“ขอรับเสด็จพ่อ”

“เจ้าทำผลงานได้ดีมากในครานี้ ทว่าพ่อไม่สามารถให้รางวัลหรือเลื่อนยศตำแหน่งให้เจ้าได้ หากเจ้าเติบโตเร็วเกินไปจะตกเป็นเป้าของการวิพากษ์วิจารณ์ เจ้าเข้าใจหรือไม่?”

“ขอรับ เสด็จพ่อมิต้องกังวล”

…………………