ตอนที่ 169 แม่ยายพบบุตรเขย

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 169 แม่ยายพบบุตรเขย

ความรู้สึกที่เสนาบดีต่งมีต่อฟู่เสี่ยวกวนนั้นถือว่าค่อนข้างลึกซึ้ง

เขารู้ว่าเด็กหนุ่มนี่มีพรสวรรค์ เขียนความฝันในหอแดง ทั้งยังให้บุตรีของตนเองรับผิดชอบด้านการค้าขาย ได้ยินมาว่าทำเงินไม่น้อย ใช้เงิน 30,000 ตำลึงซื้อเรือนหลังใหญ่ที่อยู่ตรงทะเลสาบซวนอู่

หลังจากนั้นในคืนเทศกาลไหว้พระจันทร์ ทำนองเพลงสายน้ำของเด็กหนุ่มผู้นี้ก็ได้ถูกสลักไว้เป็นลำดับแรกบนหินเชียนเปยสือ และเรื่องนี้ก็เป็นบุตรีของตนเองด้วยที่ส่งบทกวีนี้ขึ้นไป

ความจริงตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขาก็เข้าใจแล้วว่าระหว่างบุตรีของตนและฟู่เสี่ยวกวนได้มีความสัมพันธ์ระดับหนึ่งแล้ว

เขาอยากจะตัดความสัมพันธ์นี้ เพราะไม่ว่าจะมองจากทางไหน เยี่ยนซีเหวินก็เป็นบุตรเขยที่ดีที่สุด ดังนั้นต่งชูหลานจึงถูกสั่งห้าม แต่หลังจากนั้นเพราะองค์หญิงเก้าได้เชิญต่งชูหลานให้ไปหลินเจียงด้วยกัน การสั่งห้ามนั้นก็กลายเป็นเรื่องขบขัน ทั้งยังทำให้ต่งชูหลานกลายเป็นนกที่บินออกจากกรง การได้บินไปหลินเจียงอีกครา โผบินหนนี้… ก็พบว่าได้บินหายไปแล้ว

หลังจากนั้นก็ได้มีจดหมายสองฉบับส่งตรงจากซีซานหลินเจียงมายังเมืองหลวง จดหมายขององค์หญิงเก้าส่งไปยังวังหลวง ส่วนจดหมายของต่งชูหลานส่งถึงมือของเขา หลังจากที่ได้อ่านเข้าก็ทราบว่าจะต้องเกิดเรื่องใหญ่ เป็นที่แน่นอนว่าฝ่าบาททรงพิโรธ เบื้องหน้าได้ส่งหน่วยตรวจสอบไปสี่เส้นทาง แต่ความจริงแล้วในเบื้องหลังนั้นก็ยังมีอีกหลายเส้นทาง

การสอบสวนติดตามเสบียงอาหารบรรเทาสาธารณภัยทั้งสิบสามเขตจึงได้เริ่มต้นขึ้น ระยะเวลาสั้น ๆ เพียง 3 เดือน ก็ได้มีเต้าถายถูกไล่ออกไป 3 ท่าน และขุนนางระดับโจวและระดับเซี่ยนอีกหลายร้อยท่าน

นี่คือประวัติศาสตร์การฉ้อโกงที่ใหญ่ที่สุดของราชวงศ์หยู และในวันนี้ก็ยังคงมิจบสิ้น เพราะจนถึงวันนี้ก็ยังคงอยู่ในระหว่างติดตาม และสาเหตุกลับเป็นเพราะฟู่เสี่ยวกวนผู้ที่มิค่อยมีใครรู้จักที่อยู่ในซีซานหลินเจียงที่ห่างไกล!

หลังจากนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็ได้มายังเมืองหลวง เจ้าเด็กหนุ่มนี่ใจกล้ายิ่ง แต่นั่นก็ทำให้ต่งคังผิงชื่นชมเป็นอย่างมาก

เขาได้เขียนนโยบายบรรเทาสาธารณภัยฉบับนั้นขึ้นมาอย่างคาดไม่ถึง หลังจากนั้นก็ได้เข้ามายังท้องพระโรง ครั้งแรกที่ได้เข้าพระราชวังจินเตี้ยนก็ด่าทอชือเฉาหยวนจนกระอักเลือดล้มพับไป แต่เดิมเขาคิดว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ใจกล้าและมิเข้าใจพิธีการ แต่ในวันนี้เมื่อมาคิดดูแล้ว เกรงว่าเด็กหนุ่มผู้นี้คงตั้งใจ

หลังจากนั้นต่งคังผิงก็คอยสังเกตฟู่เสี่ยวกวน ทั้งยังได้รู้ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้แท้จริงแล้วมีพรสวรรค์ด้านการปกครอง แต่เขาเลือกจะกลับไปยังหลินเจียง

ส่วนเรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนถูกลอบสังหาร ต่งคังผิงมิเห็นว่าเป็นเรื่องที่เลวร้าย ตั้งแต่นั้นมา ฝ่าบาทก็ให้ความสำคัญกับเขายิ่งขึ้น ดังนั้นจึงเป็นประโยชน์ต่อการเติบโตในท้องพระโรงของเขาในภายภาคหน้า

และเนื่องจากการลงทัณฑ์ของฝ่าบาท หลังจากนั้นก็มิมีใครกล้าไปยุ่งกับฟู่เสี่ยวกวนอีก มิใช่เพราะพวกเขากลัว แต่เพราะพวกเขารับรู้ได้ถึงอันตราย

ตอนนี้เขาก็ได้มาที่เมืองหลวงอีกครา ได้ยินว่าฝ่าบาทมีพระประสงค์ให้เขานำบัณฑิตของราชวงศ์หยูเข้าร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมของราชวงศ์อู๋ในเทศกาลช่วงฤดูหนาว นี่คือเรื่องที่ดีงาม หากมิผิดไปจากที่คาดการณ์ หลังจากที่จบเรื่องนี้ ฟู่เสี่ยวกวนจะได้เลื่อนตำแหน่ง

ฝ่าบาทมิมีทางให้เจ้าเด็กคนนี้อยู่ว่าง เพราะในตอนนี้ราชวงศ์หยูมีคนมากเกินไป

จากการมองในยามนี้ หนทางการเป็นขุนนางของฟู่เสี่ยวกวนก็มิมีอุปสรรคอันใดมากแล้ว

ต่งคังผิงและภรรยาของเขาต่งหยวนชื่อได้พูดคุยกันอย่างจริงจังในเมื่อคืนวาน ต่งหยวนชื่อจึงได้รู้ว่าแต่เดิมเด็กหนุ่มฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้ก็มีภูมิหลังเช่นนี้ด้วย

“จะกล่าวว่า… เขาเหมาะสมกับบุตรีของเราหรือ ? ”

“ข้าคิดว่าไม่เลว”

“ที่บุตรของข้าซิวจิ่นได้ดำรงตำแหน่งเต้าถายที่มีเกียรติก็เป็นเพราะเด็กหนุ่มนั่น ? ”

“มิเช่นนั้นเจ้าคิดว่าเสนาบดีเยี่ยงข้าในสายตาพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยมีน้ำหนักเท่าใดกัน ? ”

“เรื่องการค้าบุตรของข้า ซิวเต๋อ… ก็เป็นเขาที่จัดการหรือ ? ”

“นี่คือสิ่งที่ชูหลานกล่าวมา คิดไปแล้วก็คงเป็นเช่นนั้น”

ต่งหยวนชื่อเงียบอยู่เนิ่นนาน แล้วเอ่ยถามขึ้นมา “เหตุใดกัน”

ความหมายนี้มิได้เอ่ยถามว่าเหตุใดฟู่เสี่ยวกวนจึงทำเช่นนั้น แต่เป็นการถามว่าเหตุใดฟู่เสี่ยวกวนจึงสามารถทำเช่นนั้นได้ ต่งคังผิงเพียงยิ้มบาง ๆ เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่แปลกประหลาดนั้นแล้ว โดยผ่านเรื่องฉ้อโกงในครานี้ การโยกย้ายขุนนางในราชสำนักทั้งบนล่างบ่อยครั้ง และการเริ่มใช้ขุนนางหน้าใหม่

หากให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อีกสักหน่อยก็จะมองออกได้ไม่ยากว่าอำนาจของตระกูลทรงอำนาจทั้งหกกำลังถูกลิดรอน และกล่าวได้ว่า… ฝ่าบาทต้องการลงมือ เยี่ยงนั้นเด็กหนุ่มฟู่เสี่ยวกวนจะเป็นตัวแทนในช่วงเวลาของคลื่นลูกใหญ่นี้ และสร้างสวรรค์ของตนเองขึ้นมาหรือไม่ ?

……

…..

ต่งคังผิงและต่งหยวนชื่อเดินมายังห้องโถงด้านหน้า ซึ่งเต็มไปด้วยกล่องที่เพิ่งขนย้ายเข้ามา

ในยามนี้ฟู่เสี่ยวกวนกำลังพูดคุยเรื่อยเปื่อยกับต่งซิวเต๋ออยู่ที่ลานหน้าบ้าน บ่าวรับใช้วัยชราจึงได้กล่าวเสียงแผ่วเบาขึ้นมาว่านายท่านกับฮูหยินได้มารอที่ห้องโถงแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนจึงรีบเดินไปยังห้องโถง ลอบคิดในใจว่าอย่าให้คนผู้นี้มาทำให้เรื่องดี ๆ ของข้าล่าช้าออกไป

ต่งซิวเต๋อกล่าวถึงหลิ่วเยียนเอ๋อร์แห่งหงซิ่วจาว กล่าวว่าแม่นางเยียนเอ๋อร์ได้ร้องเพลงใหม่ นามว่า กวีดอกไม้ฝังศพ ก็เป็นอาจารย์หูที่เรียบเรียงทำนอง เย็นชาแต่ก็งดงาม… จุ๊ ๆ สร้างมาเพื่อเรียกน้ำตาจริง ๆ เลย

“น้องเขย เมื่อไหร่จะพาข้าไปฟังเยี่ยงนั้นหรือ”

“ได้”

“น้องเขย บทกวีนั้น… เจ้าเขียนขึ้นมาได้เยี่ยงไร”

“เขียนไปเรื่อยก็ได้มาแล้ว”

“มิใช่ พวกข้าวิเคราะห์กันว่า… เจ้าได้แสดงความเจ็บปวดผ่านทางตัวละครนั้นหรือไม่?”

“หลบไป”

ให้ตายเถอะ เห็นประตูห้องโถงอยู่เบื้องหน้าสายตาแล้ว แต่คนผู้นี้ก็ยังถามคำถามเด็กน้อยอยู่อีก

เมื่อเข้าไปในห้องโถง ฟู่เสี่ยวกวนก็คำนับต่งคังผิงและต่งหยวนชื่ออย่างเคารพ “คำนับท่านลุงท่านป้า ข้า ฟู่เสี่ยวกวน มาเยี่ยมเยียนและคารวะท่านลุงท่านป้าขอรับ”

“อือ เข้ามานั่งเถิด”

“ขอบคุณท่านลุงท่านป้า”

ฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้าไป และนั่งลงตรงข้ามกันกับต่งคังผิงและต่งหยวนชื่อ ต่งชูหลานนั่งลงต้มชาทางด้านขวาอย่างไม่สบายใจ ต่งซิวเต๋อครุ่นคิดและนั่งลงเคียงข้างฟู่เสี่ยวกวน

สีหน้าของต่งหยวนชื่อมิได้เบิกบานเพียงเพราะคำพูดเมื่อคืนวานของต่งคังผิง นางครุ่นคิดไปมา อย่างไรแล้วฟู่เสี่ยวกวนก็เป็นเพียงบุตรชายของตระกูลเศรษฐีที่ดิน ไหนเลยจะเอามาเปรียบเทียบกับเยี่ยนซีเหวินที่อยู่ในตระกูลใหญ่มาสามชั่วอายุคนในเมืองหลวง?

ครานี้เป็นครั้งแรกที่นางได้พบฟู่เสี่ยวกวน เด็กหนุ่มผู้นี้รูปลักษณ์ไม่เลว และเมื่อมองกล่องที่กองอยู่รอบ ๆ ห้อง ของขวัญที่มอบให้มานั้นก็เกรงว่าจะมิเบา มีมารยาทรอบด้าน แต่ในขณะนี้นางก็มิอาจก้าวข้ามอคติที่อยู่ในใจไปได้

ต่งคังผิงเอ่ยกล่าว น้ำเสียงกลับราบเรียบ

“อาการบาดเจ็บของเจ้ารักษาได้หรือไม่ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนตอบกลับ “ขอบคุณท่านลุงที่เป็นห่วง ในตอนนี้ได้หายเป็นปกติ และมิเหลือร่องรอยอาการเรื้อรังอันใดแล้ว”

“อือ…” ต่งคังผิงพยักหน้า “เจ้าน่ะ เรื่องที่เจ้าได้ทำที่ซีซาน ชูหลานได้เล่าให้ข้าฟังหมดแล้ว ถึงแม้สุราและน้ำหอมของเจ้าจะค้าขายดี ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ แต่อย่างไรแล้วการค้าขายก็มิให้หนทางที่ดีงาม ข้ากลัดกลุ้มมาโดยตลอด ในอดีตที่พระราชวังจินเตี้ยน ข้าหวังว่าเจ้าจะเข้ากรมคลัง และในเวลานั้นฝ่าบาทก็มิได้คัดค้านอันใด เหตุใดเจ้าถึงกอดฉาวซ่านต้าฟูเอาไว้ไม่ปล่อยกัน”

ฟู่เสี่ยวกวนเงียบไปสองอึดใจ และกล่าวยิ้ม ๆ “เป็นเยี่ยงนี้ขอรับ เดิมทีที่ข้ามายังเมืองหลวง ไร้รากฐานโดยสิ้นเชิง มีแต่เพียงนโยบายที่ฝ่าบาททรงชื่นชมเพียงฉบับเดียว… พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ข้าก็จะกล่าวความจริง ข้าเองก็มิทราบว่าตัวตนของข้าในพระทัยของฝ่าบาทนั้นมีน้ำหนักเท่าใด นั่นก็ถือว่าได้เปรียบแล้ว หากได้คืบจะเอาศอก ในสายพระเนตรของฝ่าบาท หรือในสายตาของเสนาบดีมากมายในพระราชวังจินเตี้ยน พวกเขาจะคิดว่าข้าโลภเกินไปหรือไม่ ? ”

“หากจะกล่าวคุณูปการของนโยบายฉบับนั้นก็คงมีอยู่ แต่หากกล่าวถึงคุณูปการที่ยิ่งใหญ่ก็คงจะมิสามารถพูดถึงได้ ดังนั้นที่พระราชวังจินเตี้ยนข้าจึงทำได้เพียงน้อมรับการสนับสนุนของท่านลุงเอาไว้ แต่ก็มิกล้าจะทำตามได้ ! ”

ต่งคังผิงคิ้วขมวดเล็กน้อย ลูบเคราสั้น ๆ และพยักหน้า

เรื่องนี้เขามิได้คิดมาก่อน ความคิดของเด็กหนุ่มนี้สมเหตุสมผล เดิมทีเขานั้นได้ทำให้ขุนนางในราชสำนักหลายท่านขุ่นเคือง หากจะโลภหวังสิทธิประโยชน์ เกรงว่าจะเกิดหายนะในไม่ช้า สู้ถอยออกมาหนึ่งก้าวจะดีกว่า

ทันใดนั้นต่งชูหลานก็เงยหน้าขึ้นมามองฟู่เสี่ยวกวน เมื่อครู่ผู้ชายคนนี้กล่าวว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน… ท่านพ่อมิทันได้ฟังเยี่ยงนั้นหรือ ?

“เยี่ยงนั้นเจ้ามาเมืองหลวงครานี้ มาเพื่อทำอันใดกัน ? ”

“ตอบท่านลุง ในช่วงที่ข้ากลับไปหลินเจียงหนึ่งเดือนกว่า ข้าก็ครุ่นคิดถึงปัญหานี้มาโดยตลอด ชีวิตของมนุษย์ควรก้าวหาประโยชน์และหลีกเลี่ยงอันตรายไปวัน ๆ ไปชั่วชีวิต หรือว่าควรจะเผชิญหน้ากับความลำบากและสร้างกิจการขึ้นมากัน มิขอปิดบังท่านลุงท่านป้า ในอดีตข้าหวังเพียงจะเป็นเศรษฐีที่ดินที่มีอิสระไปวัน ๆ ไปจนชั่วชีวิต แต่เมื่อได้พบกับชูหลาน ข้ารู้สึกว่าต้องเปลี่ยนแปลง เพื่อชูหลาน เพื่อตระกูลฟู่ และเพื่อตระกูลต่ง ข้าควรจะเปลี่ยนมัน ดังนั้นเมื่อคราได้ตระหนักถึงปัญหานี้ จึงได้กลับมาที่เมืองหลวง”

มือที่จับกาของต่งชูหลานสั่นเล็กน้อย หนังตาของต่งหยวนชื่อกระตุกแผ่วเบา ต่งคังผิงยังคงสงบนิ่งดังเดิม

“จะกล่าวว่า… การมาครั้งนี้ เจ้าจะช่วงชิงรึ ? ”

ความจริงที่ฟู่เสี่ยวกวนอยากจะพูดก็คือ การมาครั้งนี้ ข้าคิดเพียงจะเอาตัวรอดในเมืองหลวงไปวัน ๆ และมิให้ส่งผลกระทบต่อคุณชายเศรษฐีที่ดินที่มีอิสระของตน

เขามิกล้ากล่าวเยี่ยงนั้น ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าอย่างจริงจัง “งานชุมนุมวรรณกรรมของราชวงศ์อู๋ในเทศกาลฤดูหนาวปีหน้า การเลือกให้ข้าไป ข้าคิดว่าเป็นโอกาสอย่างหนึ่ง”

เรื่องนี้เสนาบดีในราชสำนักต่างรู้ดี ความจริงแล้วนี่คือโอกาส หากฟู่เสี่ยวกวนได้สร้างชื่อเสียงให้ราชวงศ์หยูที่ราชวงศ์อู๋ นี่มีความหมายเหมือนกับนักรบที่ชนะสงครามกลับมา ถึงแม้จะไม่ได้สร้างผลงานบุกเบิกอาณาเขต แต่ฝ่าบาทก็ย่อมตกรางวัล

“อือ นี่ถือเป็นโอกาส คงไม่ใช่เรื่องยากอันใดสำหรับเจ้าที่มีพรสวรรค์ทางวรรณกรรม เรื่องลอบสังหารของเจ้า ตอนนี้เริ่มมีเค้าโครงหรือยัง ? ”

“เรื่องนี้ยังมิมีจริง ๆ ขอรับ ในเมืองหลวงข้าเปรียบดังแหนไร้ราก ต่อให้มีใจอยากจะตรวจสอบแต่ก็ไร้พละกำลัง”

คำพูดนี้กล่าวอย่างจริงใจ ต่งหยวนชื่อมองฟู่เสี่ยวกวน รู้สึกสบายตาขึ้นมาเล็กน้อยยามมองชายหนุ่มนี่

“ในความคิดของข้า ก็ปล่อยให้เรื่องนี้เป็นไปเยี่ยงนี้”

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า “ข้า… ในขณะนี้ทำได้เพียงเท่านี้”

ในที่นี้มีเพียงต่งชูหลานที่รู้ว่าฟู่เสี่ยวกวนได้ควบคุมหน่วยข่าวกรองขนาดใหญ่ไว้แล้ว และนางรู้นิสัยของฟู่เสี่ยวกวนดี เขาจะยอมแพ้กับเรื่องนี้ได้อย่างไร !

แต่ต่งชูหลานมิสามารถพูดได้ เพราะซั่งกุ้ยเฟยได้ตรัสให้นางทราบแล้ว นั่นหมายความว่านางต้องเก็บไว้เป็นความลับ

ต่งหยวนชื่อยกถ้วยชาขึ้นมาจิบเล็กน้อย และเริ่มเอ่ย “ข้าจะกล่าวกับเจ้าอย่างไม่ปิดบัง ข้ามีความคิดเห็นเกี่ยวกับเจ้าอยู่ แต่ในตอนนี้บุตรีของข้ายอมรับว่าต้องเป็นเจ้า ข้าเองก็ทำเพียงประนีประนอม แต่มิได้หมายความว่าข้ายินยอมให้ชูหลานแต่งกับเจ้า เนื่องจากเจ้ารู้อยู่แล้วว่าตนเองเป็นแหนไร้ราก เยี่ยงนั้นข้าจะเฝ้ารอว่าวันใดที่เจ้าจะวางรากฐานที่เมืองหลวงนี้ได้ เมื่อถึงเวลานั้น… เรื่องของเจ้าและชูหลานจึงจะมีโอกาส”

“ท่านแม่…”

“ท่านป้า…” ฟู่เสี่ยวกวนกุมมือต่งชูหลานเพื่อรั้งเอาไว้ และกล่าวยิ้ม ๆ “เมื่อท่านป้าได้เอ่ยมาเช่นนี้ ข้าก็วางใจ”

ต่งหยวนชื่อประหลาดใจเล็กน้อย นี่มิใช่เรื่องที่ง่ายดาย ความตั้งใจเดิมของนางแม้จะมิใช่เพื่อให้ฟู่เสี่ยวกวนตื่นกลัวจนถอย แต่ก็เพื่อเพิ่มแรงกดดันให้เขา กลับนึกมิถึงเลยว่าเขาจะมีท่าทางที่ดีใจอย่างยิ่งเยี่ยงนี้

“ต่อจากนี้ พวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ท่านป้าขอรับ เรือนของข้าถึงจะหลังใหญ่ แต่ก็อ้างว้าง นี่ก็เป็นวันปีใหม่แล้ว ทุกคนต่างมีความสุข ท่านเห็นหรือไม่ขอรับว่าข้านั้นตัวคนเดียว… ข้าขออยู่ที่นี่เพื่อฉลองวันปีใหม่ได้หรือไม่ ? ”