ตอนที่ 170 ฟั่นเฟือน

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 170 ฟั่นเฟือน

“จากนี้ไป พวกเราก็จะเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ท่านป้า แม้ว่าจวนของข้าจะใหญ่ แต่ก็อ้างว้างหนาวเหน็บเหลือเกิน ปีใหม่ที่จะถึงนี้ ทุกครอบครัวล้วนอยู่พร้อมหน้ามีความสุข ท่านก็เห็นว่าข้านั้นอยู่ลำพังเพียงผู้เดียว…ข้ามิควรอยู่เยี่ยงนี้ในวันปีใหม่ใช่หรือไม่ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนมองต่งหยวนชื่อด้วยสีหน้าคาดหวัง ต่งซิวเต๋อที่อยู่ข้างกายก็หัวเราะขึ้นมา “ใช่ ! ”

ต่งหยวนชื่อถลึงตาใส่ต่งซิวเต๋อ ต่งชูหลานก็เขินอายจนหน้าแดง ก่อนจะก้มหน้าลง ต่งคังผิงลูบเคราด้วยจิตใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ผ่านไปสักพัก ต่งหยวนชื่อก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เจ้าเด็กผู้นี้ช่างหน้าหนาเสียจริง !

จากนั้นนางก็เหลือบมองไปทางเก้าอี้นั้น มือของฟู่เสี่ยวกวนกุมมือของต่งชูหลานไว้ ต่งชูหลานก็ไม่มีความตั้งใจที่จะดึงมือออก ทันใดนั้นก็นึกไปถึงเมื่อคืนวานที่ได้พูดคุยกับสามี แล้วยังมีคำพูดจากองค์หญิงใหญ่ที่ทรงตรัสเมื่อคราวก่อน สุดท้ายนางจึงยอมถอยออกมาก้าวหนึ่ง

ช่างเถอะ…หัวใจของบุตรสาว คงถูกเขาคว้าเอาไปหมดแล้ว

“เจ้าอยู่เมืองหลวงฉลองปีใหม่เพียงลำพังความจริงก็คงเหน็บหนาวใจมิน้อย หากจะมา ก็มาเถอะ”

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก สุดท้ายความกังวลในจิตใจก็หายไป เขารีบร้อนลุกขึ้นคารวะต่งหยวนชื่ออีกครั้ง กล่าวเสียงสูง “หลานขอบคุณท่านป้ามาก วันนี้หลานจะไม่กลับไปกินข้าวที่บ้าน”

ได้คืบจะเอาศอกนี่ ต่งหยวนชื่อหัวเราะเสียงดังแล้วมองฟู่เสี่ยวกวนอย่างชื่นชม ดูสิ นี่คือเขยของข้า ถ้าเปลี่ยนเป็นเยี่ยนซีเหวิน เขาจะกล้าไร้ยางอายเยี่ยงนี้หรือ ?

ตอนนี้ต่งหยวนชื่อเหมือนจะเปิดใจบ้างแล้ว นางยิ้มแล้วกล่าวว่า “ตามใจเจ้าเถอะ เที่ยงนี้ก็อยู่ทานอาหารด้วยกันที่นี่เลย”

ด่านนี้ดูเหมือนว่าจะผ่านแล้ว หลังจากนั้นบทสนทนาก็ราบรื่น และพูดคุยอย่างเป็นกันเองมากขึ้น

“ที่จริงตัวเจ้าเองก็มีญาติอยู่ที่เมืองหลวง อยากจะไปทำความรู้จักหรือไม่ ? ถ้าเจ้ายินดี ข้าจะไปเป็นตัวแทนพูดให้เจ้า”

ต่งคังผิงพูดถึงสวี่เช่ากวงของจวนสวี่ผู้เป็นตาของฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตอบกลับ “ความปรารถนาของบิดาข้าคืออยากให้ข้าทำความรู้จักกับญาติที่นี่ แต่มีประโยคหนึ่งกล่าวไว้ว่า ยากจนแม้อยู่ในเมืองหลวงก็ไร้คนถามหา ร่ำรวยแม้อยู่ในภูเขาลึกก็มีญาติ การเปรียบเทียบนี้แม้จะไม่เหมาะสม แต่ความหมายนั้นคล้ายคลึงกัน ปีนั้นก่อนมารดาจะจากไปในใจก็อยากกลับมาพบหน้าสักครั้ง ทว่าพวกเขากลับมิยอมเปิดประตู ความหมายคือมิให้อภัยมารดาและดูแคลนบิดา หากข้าไปพบพวกเขาในเวลานี้เกรงว่าจะไร้ความหมาย แต่ถ้าข้ากลายเป็นขุนนางใหญ่ ได้รับการแต่งตั้งมียศฐาบรรดาศักดิ์ เมื่อนั้นประตูของพวกเขาก็จะเปิดออกเอง”

ประโยคนี้คล้ายกับแฝงความพยาบาทเล็กน้อย ต่งคังผิงมิได้คัดค้าน นี่เป็นเรื่องของฟู่เสี่ยวกวน เขาไม่สะดวกที่จะเข้าไปยุ่ง ความจริงแล้วตอนที่ฟู่เสี่ยวกวนเข้าไปยังพระราชวังจินเตี้ยน สวี่หวยซู่และสวีหวินกุยเคยพูดคุยเรื่องนี้กับเขาในยามที่พบหน้ากัน เรื่องในปีนั้นค่อนข้างอ่อนไหวมาก ตอนที่สวี่หยุนชิงยังอยู่ที่เมืองหลวง ต่งคังผิงก็เป็นหนึ่งในคนที่ตามจีบสวี่หยุนชิง ดังนั้นจึงรู้จักกับสองคนนี้มานานแล้ว

สวี่เช่ากวงเกษียณตัวเองออกจากกั๋วจื่อเจี้ยนหลังจากสวี่หยุนชิงกับฟู่ต้ากวนหนีตามกันไปได้ไม่นาน ต่อมาชายชราผู้นั้นก็ออกจากจวนน้อยครั้งมาก ได้ยินสองพี่น้องสวีหวินกุยกล่าวว่า ตั้งแต่นั้นมา สวี่เช่ากวงก็อุทิศตนให้กับพุทธศาสนา ในบ้านมีรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมที่อัญเชิญมาจากวัดฉีเสียรูปหนึ่ง

ดูเหมือนว่าตอนนี้สวี่เช่ากวงกำลังชดใช้ความผิด บางทีอาจจะรู้สึกผิดกับสวี่หยุนชิง หรือบางทีก็อาจจะทำเพื่อความสบายใจ

เรื่องเหล่านี้ต่งคังผิงเล่าให้ฟู่เสี่ยวกวนฟัง ฟู่เสี่ยวกวนก็ตั้งใจฟัง สุดท้ายก็กล่าวอย่างจริงจังว่า “ความจริงตอนที่บิดามารดาหนีตามกันไปนั้นข้าก็คิดว่าพวกท่านทำไม่ถูก ตามหลักธรรมชาติของบิดาแล้ว ข้าจะไม่ตำหนิเขา เพื่อไล่ตามสิ่งที่เรียกว่าความรัก บุตรสาวของตนถึงกลับหนีตามกันไป…เปลี่ยนเป็นข้า ข้าก็คงไม่สบายใจ แต่ถ้าหากมารดาของข้ามิคิดดึงดันจะแต่งงานกับบิดามากนัก และการที่เขาจะพยายามขัดขวาง ข้าก็เข้าใจเหตุผลนี้ได้ แต่ข้าแค่ไม่เข้าใจเหตุผลว่าในเมื่อมารดาของข้าป่วยหนัก เพียงแค่อยากจะเห็นหน้าครอบครัวเป็นครั้งสุดท้ายในรอบสิบปี ความปรารถนาที่เรียบง่ายเช่นนี้กลับเป็นความจริงมิได้หรือ สุดท้ายท่านก็ต้องจากไปพร้อมกับความเสียใจ….ข้ารู้สึกว่านี่ดูไร้มนุษยธรรมเกินไป”

ต่งคังผิงไม่สามารถหาอะไรมาหักล้างในเรื่องนี้ได้ เขาถอนหายใจยาว “เอาเถอะ เรื่องนี้ไว้เป็นเรื่องในอนาคต ค่อยมาดูกันอีกทีสิว่าเจ้าจะมีโอกาสแก้ไขอะไรได้หรือไม่”

ต่งคังผิงมองไปทางบรรดากล่องมากมายที่กองอยู่อีกด้าน แล้วกล่าวว่า “แม้ว่าครอบครัวของเจ้าจะเป็นเศรษฐีที่ดิน แต่ในเมื่อมาอยู่ที่เมืองหลวงและซื้อบ้านเรือนที่นี่ ค่าใช้จ่ายต่อจากนี้คงมีมากเป็นเท่าตัว ข้าวของเหล่านี้…ข้ากับป้าของเจ้าขอรับแค่ใจก็พอ อยู่ทานอาหารเที่ยงแล้วค่อยนำกลับไปเถอะ”

ฟู่เสี่ยวกวนรีบร้อนโบกมือและรับกาชาจากต่งชูหลานมารินชาให้ต่งคังผิงกับต่งหยวนชื่อจนเต็ม จากนั้นก็กล่าวยิ้ม ๆ ว่า “กล่าวอย่างไม่ปิดบังท่านลุงท่านป้า บ้านหลานชายนั้นมั่งคั่ง ของขวัญเหล่านี้ล้วนมาจากความตั้งใจจริงของหลานชาย ท่านลุงสามารถคิดว่า…ข้ามาที่นี่เพื่อจ่ายค่าอาหารก็ได้”

“จ่ายค่าอาหาร…ก็ได้ งั้นข้าจะรับไว้” ต่งคังผิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวขึ้นมาว่า “การตรวจสอบครั้งนี้พบเจอเหตุการณ์ทุจริต 13 เรื่อง เมื่อวานนี้มีการถอดถอนตำแหน่งเต้าถาย 4 คน จือโจว 3 คน นายอำเภอ 117 คน ในเมืองหลวง โย่วซื่อหลางกรมคลังมีส่วนเกี่ยวข้อง นอกนั้นก็เป็นหลางจงผู้หนึ่งจากกรมขุนนางซึ่งถูกกุมตัวรอไต่สวนปีหน้า”

ต่งคังผิงส่ายหน้า แล้วกล่าวต่อไปว่า “เหตุการณ์ครั้งนี้ได้สั่นสะเทือนไปทั่วราชสำนัก นี่นับว่าเป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สองร้อยกว่าปีของราชวงศ์หยู ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะยังไม่จบ ฝ่าบาทไม่เพียงแต่เรียกคืนความเคารพในฐานะองค์ฮ่องเต้ กระทั่งขุนนางในเมืองหลวงที่ถูกจับกุมส่วนใหญ่ก็มิมีคำสั่งให้ศาลต้าหลี่สอบสวน คาดว่าครั้งนี้ฝ่าบาทคงจะลงมืออย่างเหี้ยมโหดเพื่อแก้ปัญหาอย่างละเอียด ด้วยเหตุนี้จึงมีตำแหน่งว่างหลายที่ จิ้นซื่อจำนวนมากจึงถูกเรียกเข้ารับราชการเพื่อเติมเต็มตำแหน่งที่ขาดหายไป เหตุการณ์ในครั้งนี้ดูคล้ายจะสงบ แต่ความจริงแล้วกลับมีคลื่นใต้น้ำ”

ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิด คลื่นใต้น้ำที่ต่งคังผิงกล่าวถึงเกรงว่าน่าจะเป็นการตอบโต้ของหกตระกูลใหญ่ แม้ว่าเขาจะไม่รู้สถาณการณ์เบื้องลึกของเหล่าขุนนางที่โดนจับ แต่คาดว่าก็คงมีความเกี่ยวข้องกับหกตระกูลที่ทรงอำนาจ

หกตระกูลใหญ่อยู่มานานแล้ว ภูมิหลังของพวกเขาลึกซึ้งมากและไม่เคยโดนสืบสาวมาถึงตัว อาจจะกล่าวได้ว่าจนกระทั่งวันนี้ก็ยังไม่ส่งผลกระทบต่อรากฐานของพวกเขา แต่ถ้าการสืบสวนยังคงดำเนินต่อไป สุดท้ายสักวันพวกเขาจะถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย พวกเขาย่อมไม่ยอมให้เป็นเยี่ยงนั้น ฉะนั้นพวกเขาจำเป็นที่จะต้องลงมือ

“เรื่องนี้…หากฝ่าบาทตั้งใจจะตรวจสอบต่อจริง ๆ ควรใส่ใจกับการป้องกันชายแดนด้วย”

ต่งคังผิงขมวดคิ้ว พลางถามว่า “หมายถึงอะไร ? ”

“ท่านลุงลองนึกถึง การดึงหัวไชเท้าออกจากโคลน ภัยพิบัตินี้สุดท้ายก็จะไหม้ไปถึงตัวหกตระกูลใหญ่ แล้วพวกเขาจะยอมให้จับโดยละม่อมหรือไม่ ? ข้าคิดว่าไม่ ถ้าเช่นนั้นจะหยุดเรื่องนี้ได้เยี่ยงไร ? ก็ต้องหาบางสิ่งมาดึงความสนใจจากฝ่าบาท เรื่องนี้จักต้องเป็นเรื่องที่รอมิได้”

ต่งคังผิงขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม เรื่องที่สามารถดึงความสนใจจากฝ่าบาทได้ ย่อมต้องเป็นเรื่องใหญ่เทียมฟ้า อย่างเช่น หากมีศัตรูจากภายนอกรุกรานเข้ามา การป้องกันแถมชายแดนอลม่าน เพียงเท่านี้ความสนใจของฝ่าบาทก็จะถ่ายเทไปที่สงครามนั้น——นี่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เป็นไปมิได้

สุนัขยามจวนตัวก็ยังรู้จักกระโดดกำแพง แล้วตระกูลทรงอำนาจทั้งหกจะมิยอมดิ้นรนหรือ ?

ฟู่เสี่ยวกวนยังถามอีกประโยคว่า “ท่านลุง ทรัพยากรที่อยู่ในกรมคลัง เพียงพอที่จะสนับสนุนสงครามรึไม่ ? ความหมายของข้าก็คือ ถ้าหากแคว้นอี๋หรือชาวฮวงบุกรุกเข้ามา กรมคลังมีทรัพยากรมากพอที่จะส่งไปยังชายแดนหรือไม่ ? ”

“ภัยคุกคามที่ใหญ่สุดของพวกเราก็คือชาวฮวงที่อยู่ทางเหนือ นับตั้งแต่ชาวฮวงให้ทหาร 100,000 นายรักษาการที่ด่านเยี่ยนซาน ทรัพยากรของกรมคลังส่วนใหญ่ก็ถูกส่งไปยังเมืองซินเฉิง…” ต่งคังผิงพลันใจสะท้าน ความคิดที่ไม่ดีผุดขึ้นมาโดยฉับพลัน ครั้งนี้ทรัพยากรเป็นจำนวนมากได้ถูกส่งไปบรรเทาทุกข์ตามพื้นที่ประสบภัย ถ้าหากเกิดสงครามขึ้นที่ทางตะวันออกจริง ๆ เรื่องทรัพยากรก็จะกลายเป็นเรื่องเร่งด่วน แม้ว่าจะมีการเวนคืนที่ดินเพื่อเพาะปลูกแต่ก็ยากที่จะจัดหาอาหารได้อยู่ดี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอาวุธชุดเกราะเลย

“พวกเขา…กล้าฟั่นเฟือนถึงเพียงนี้เชียวหรือ ? ” ต่งคังผิงถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“หลานเพียงแค่คาดเดา เมื่อหัวจวนจะหลุดออกจากบ่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบ้ามากแค่ไหน ก็ทำได้ทั้งนั้น”

ต่งคังผิงผวาลุกขึ้นยืน “ข้าจักเข้าวัง”

ฟู่เสี่ยวกวนชะงัก “ไม่ต้องหรอกท่านลุง ข้าแค่พูดไปเรื่อย”

“ไม่ เรื่องนี้มีความเป็นไปได้อย่างมาก เพราะว่าโย่วซื่อหลางแอบส่งอาวุธชุดเกราะเป็นจำนวนมากไปที่เมืองซินเฉิง ตอนนี้สิ่งที่ข้ากังวลใจคือ เขาถ่ายโอนอาหารจากซานหนานตงและหลินหนานตงหรือเปล่า”

ต่งคังผิงรีบร้อนออกจากจวนต่งโดยไม่เปลี่ยนเสื้อผ้า บรรยากาศในตอนนี้พลันหนักอึ้ง ฟู่เสี่ยวกวนแบมือด้วยท่าไร้เดียงสา “ข้าแค่พูดไปเรื่อยเท่านั้น”

ต่งหยวนชื่อมิได้ตำหนิเขา นางลุกขึ้นยืน “ข้าเป็นเพียงฮูหยินคนหนึ่งมิเข้าใจเรื่องใหญ่เหล่านั้น แต่การที่เจ้าได้กล่าวเตือนเรื่องนี้ก็นับว่าเป็นเรื่องดี หากไม่มีอันใดเกิดขึ้นก็ถือว่าทุกอย่างเพียงแค่คิดไปเอง แต่ถ้าหากเกิดขึ้นแล้ว…อย่างน้อยการที่เจ้าคาดการณ์ล่วงหน้าก็จะสามารถช่วยแก้ไขปัญหาได้มิน้อย พวกเจ้าตามสบายเถอะ ข้าจะไปจัดเตรียมอาหารเที่ยงที่โรงครัว”

ต่งชูหลานกลอกตาใส่ฟู่เสี่ยวกวน แอบคิดในใจว่ามิง่ายเลยที่บิดาจะได้มีโอกาสพักผ่อน แต่คำพูดของเขากลับสร้างความตกใจให้กับบิดาจนต้องวิ่งกลับไปที่วังหลวง——ควรจะเอ่ยชมเจ้าหรือว่าด่าเจ้าดี ?

ต่งซิวเต๋อมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยสีหน้าเลื่อมใส จุ๊ ๆ น้องเขยคนนี้เพียงแค่พูดไปเรื่อย แต่กลับทำให้บิดาตื่นตระหนกจนต้องกลับไปที่วังหลวง หากเป็นเยี่ยนซีเหวินจะสามารถทำเช่นนี้ได้หรือไม่ ?

“น้องเขย เรื่องนี้ที่เจ้ากล่าว…มีความเป็นไปได้จริงหรือไม่ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนลูบจมูก “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นข้า หากถูกทางราชสำนักตรวจสอบ จวนจะสาวมาถึงตัวได้แล้ว ข้าคงมิอยู่เฉยแล้วยืดหัวรอดาบฟันลงมาหรอก”

เยี่ยงนั้นก็มีความเป็นไปได้มากสินะ ต่งชูหลานขมวดคิ้วสวย ในใจรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา แต่ก็ยังคาดว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ทั้งสามคนนั่งพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน เรื่องที่พูดคุยส่วนใหญ่ล้วนเป็นเรื่องของถิงเหม่ย กล่าวว่าเสื้อตัวเล็กเหล่านั้นขายดีมาก แล้วยังน้ำหอมนั่นอีก ของเหล่านี้ขาดตลาดแล้ว

ตอนนี้เขากำลังมองหาร้านค้าอื่น คิดว่าถ้าหากทั่วทั้งเมืองหลวงมีร้านถิงเหม่ยผุดขึ้น ยอดขายจะต้องดีมากแน่ ๆ ตอนนี้ถนนฝั่งทิศใต้ของเมืองใกล้ๆกับศาลหลักเมืองคือทำเลที่ดีมาก กำลังอยู่ในช่วงสอบถามกับเถ้าแก่ของร้านนั้น

สำหรับเรื่องนี้ฟู่เสี่ยวกวนแสดงท่าทีสนับสนุน ต่งชูหลานก็คิดว่าหากซื้อร้านมาได้จะดีที่สุด ตอนนี้มีเงินอยู่ในมือของนางถึง 40,000 ตำลึง แน่นอนว่ารายได้หลักมาจากหนังสือความฝันในหอแดง

จากนั้นบ่าวหญิงชราก็เชิญพวกเขาไปทานอาหาร บรรยากาศตอนทานอาหารเที่ยงค่อนข้างตึงเครียด เนื่องจากต่งคังผิงมิได้กลับมา

ตามกำหนดการช่วงบ่ายฟู่เสี่ยวกวนจะไปหาฉินปิ่งจงที่จวน ประการแรกเพื่อพบหน้าและสอบถามความเป็นอยู่ ประการที่สองเพื่อมอบจดหมายของฉินเฉิงเย่ให้ฉินปิ่งจง

หลังทานอาหารเสร็จฟู่เสี่ยวกวนก็กล่าวลาต่งหยวนชื่อกับต่งชูหลาน ตอนนั้นเองขันทีเจี่ยก็เดินเข้ามาหาเขาอย่างเร่งรีบ

“คุณชายฟู่ ฝ่าบาทเรียกเข้าเฝ้า ! ”