บทที่ 239 อวดศักดิ์ดาอีกครั้ง

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ

“พวกแกจำไว้ให้ดี ลุงหวังไม่ใช่คนรับใช้ของตระกูลหลัว แต่เป็นพี่น้องหลัวเหยียนซงคนนี้ วันนี้แกไม่คุกเข่าขอโทษลุงหวัง ฉันก็จะหักขาของแก!”

หลัวเหยียนซงเอ่ยปากพูด คำพูดนี้ของเขาไม่ได้พูดให้หลัวเสียนเม่ยฟังเพียงคนเดียว แต่พูดให้ทุกคนที่อยู่ที่นี่ฟังด้วยทั้งหมด เขาแสดงท่าทีออกมาอย่างชัดเจน การปรากฏตัวของเขาทำให้ทุกคนต้องสั่นสะท้าน เขาเป็นหัวเรือใหญ่แห่งตระกูลหลัว ต่อให้ที่นี่จะมีคนที่อาวุโสยิ่งกว่าเขาก็ไม่กล้าพูดอะไร ในฐานะที่เป็นผู้นำตระกูล หากไม่มีบารมีก็ไม่สามารถเป็นผู้นำตระกูลได้ ต่อให้เป็นหลัวเสียนเม่ยที่ยโสโอหังและใช้อำนาจบาตรใหญ่จนเคยตัว ตอนนี้ก็ยังตกใจจนสั่นไปทั้งตัว ถูกพ่อตบหน้าไปครั้งหนึ่ง แต่ก็ยังกล้ำกลืนความโกรธไม่กล้าพูดออกมา

“พ่อคะ หนู…หนู…” หลัวเสียนเม่ยตกใจจนสั่นไปทั้งตัว นี่เป็นครั้งแรกที่เธอถูกพ่อตบ และเป็นครั้งแรกที่เห็นพ่อโกรธขนาดนี้ มีเหตุผลอะไรที่จะไม่หวาดกลัวกัน ตกใจจนหน้าซีดขาวไปหมดแล้ว

“ฉันจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย คุกเข่าลง ขอโทษลุงหวังซะ!” หลัวเหยียนซงมองหลัวเสียนเม่ยอย่างเย็นชาแล้วพูดขึ้น

หลัวเสียนเม่ย มองไปยังทุกคนที่อยู่รอบๆ ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่กล้าขอร้องแทนเธอ แม้แต่ในความฝันเธอก็คงคิดไม่ถึง เดิมทีทุกคนต่างเพ่งเล็งไปยังสองแม่ลูกหลัวเยี่ยนและเย่เทียนเฉิน ในตอนที่ลุงหวังกล้าก้าวออกมาพูดแทนพวกเขา ทุกคนก็ด่าลุงหวังกันทั้งนั้น ไหนเลยจะรู้ว่าตอนนี้จะถึงทีของเธอแล้ว ถึงทีที่ทุกคนจะมองเธอถูกทำโทษแล้ว มองดูเธอถูกพ่อตบหน้า

เมื่อคิดทบทวนดูสักนิด วันนี้หลัวเสียนเม่ยและจางอวิ๋นสองแม่ลูกโชคร้ายมากจริงๆ เริ่มจากจางอวิ๋นผู้เป็นลูกที่ต้องการสั่งสอนหลัวเยี่ยนและเย่เทียนเฉินที่หน้าประตูใหญ่ของบ้านสไตล์โบราณ ก็ถูกเย่เทียนเฉินตบจนหน้าบวมและต้องขับรถสปอร์ตหนีไป

เดิมทีจางอวิ๋นคิดว่าหากเรียกแม่ขี้โมโหมาในตอนนี้จะสามารถระบายความโกรธให้เขาได้ แต่กระทั่งแม่ของเขาที่เป็นคนโมโหร้ายก็ยังถูกตบ มองไม่ออกจริงๆ ว่าเย่เทียนเฉินจะเป็นคนบ้าบิ่นไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน มาถึงก็ถูกตบ ประโยคนี้เหมาะสมกับหลัวเสียนเม่ยและจางอวิ๋นดีจริงๆ ไม่ง่ายเลยกว่าจะรอให้ทุกคนพุ้งเป้าไปที่สองแม่ลูกคู่นั้นได้ แต่เมื่อถึงเวลาหลัวเยี่ยนกลับแสดงความโกรธออกมา ทั้งมั่นคงหนักแน่นและทรงอำนาจ ทำให้ทุกคนพูดอะไรไม่ออก

ตอนนี้คนที่ยื่นมือมาตบหลัวเสียนเม่ยไม่ใช่คนอื่น แต่เป็นหลัวเหยียนซงพ่อของเธอ เป็นผู้นำตระกูลหลัว ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้จะมีใครบ้างที่กล้าพูดออกมาแม้เพียงครึ่งประโยค? ต่างพากันไปยืนสงบเสงี่ยมอยู่ด้านข้าง ไม่กล้าพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว เพราะใครหลายคนต่างก็มีส่วนร่วมในการด่าลุงหวังทั้งนั้น

เสียงพลั่กดังขึ้น หลัวเสียนเม่ยคุกเข่าลงเบื้องหน้าลุงหวัง ทำเอาลุงหวังตกใจจนชะงักไป จากนั้นจึงรีบยื่นมือออกมาประคอง ปากก็พูดไม่หยุดว่า “ไม่ต้องแล้วครับคุณหนูรอง ไม่ต้องแล้ว เป็นผมที่ไม่ดีเอง เป็นผมที่ไม่ดีเอง…คุณชายใหญ่ อย่าให้คุณหนูรองขอโทษเลยครับ ไม่เป็นไรจริงๆ !”

“แกยังมัวอึ้งอะไรอยู่? ยังไม่รีบขอโทษลุงหวังอีก? มาถึงตอนนี้แล้ว ลุงหวังก็ยังพยายามพูดเพื่อแก ฉันรู้สึกอับอายแทนแกจริงๆ รู้สึกขายหน้าแทนแกจริงๆ เป็นความผิดของฉันเองที่ไม่ได้สั่งสอนแกให้ดี!” หลัวเหยียนซงมองไปยังหลัวเสียนเม่ยอย่างดุดันแล้วกล่าวด่าออกมา

“ลุงหวัง ขอโทษ…” ต่อให้ในใจหลัวเสียนเม่ยจะโกรธยิ่งกว่านี้ จะไม่เต็มใจมากกว่านี้เป็นร้อยเท่า ตอนนี้ก็ไม่กล้าแสดงออกมา ทำได้เพียงขอโทษลุงหวังอย่างว่านอนสอนง่ายเท่านั้น

“ไม่ต้องแล้วครับคุณหนูรอง คุณชายใหญ่ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ…รีบให้คุณหนูรองลุกขึ้นเถอะ…” ลุงหวังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีได้แต่พูดกับหลัวเหยียนซงอย่างกระวนกระวาย

“ลุงหวัง คุณทุ่มเทแรงกายแรงใจทำงานให้ตระกูลหลัวมาชั่วชีวิต สมควรได้รับแล้ว เด็กคนนี้เป็นฉันที่สั่งสอนไม่ดีเอง เป็นความผิดของฉันเอง คุณอย่าเก็บไปใส่ใจเลย!” หลัวเหยียนซงพูดกับลุงหวังด้วยรอยยิ้ม

“คุณชายใหญ่…”

ลุงหวังรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก เขาทำงานให้ตระกูลหลัวอย่างทุ่มเทมาชั่วชีวิต ทุกคนในที่นี้มีใครบ้างที่ไม่ได้รับการดูแลจากเขา? บางทีหลายคนอาจจะพูดว่าลุงหวังได้รับการว่าจ้างจากตระกูลหลัว รับเงินจากตระกูลหลัว ภายหลังก็ได้กลายเป็นพ่อบ้านใหญ่แห่งตระกูลหลัว ไม่รู้ว่าได้รับผลประโยชน์จากเรื่องนี้ไปมากมายขนาดไหน แต่หลัวเหยียนซงเข้าใจในจุดนี้เป็นอย่างดี ลุงหวังเห็นตระกูลหลัวเป็นครอบครัวของตน มีหลายครั้งที่ขอให้ตัดเงินเดือนตนเอง บอกว่าตนเองแก่แล้ว มีเงินมากมายขนาดนั้นไปก็ไม่มีประโยชน์ ความสัมพันธ์นี้หลัวเหยียนซงย่อมรู้จักรักษาเอาไว้ให้ดี

ทุกคนที่อยู่ที่นี่นอกจากหลัวเยี่ยนและหลัวเหยียนซงแล้ว ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่มองลุงหวังเป็นคนกันเอง หลายคนมองลุงหวังเป็นคนรับใช้ กระทั่งเห็นลุงหวังเป็นสุนัขตัวหนึ่งเหมือนกับที่หญิงชั่วอย่างหลัวเสียนเม่ยคิดเสียด้วยซ้ำ ไม่มีความเป็นมนุษย์และมนุษยธรรมเลยแม้แต่น้อย

“ไสหัวออกไป หากฉันรู้ว่าแกก่อเรื่องอะไรขึ้นมาอีก ก็ไสหัวกลับตระกูลจางไปซะ ตระกูลหลัวของฉันไม่มีลูกหลานแบบแก!” หลัวเหยียนซงด่าหลัวเสียนเม่ยอย่างรุนแรง

หลัวเสียนเม่ยลุกขึ้นยืน มองไปยังเย่เทียนเฉินและหลัวเยี่ยนด้วยความเคียดแค้นอย่างหาใดเปรียบ พาใบหน้าที่ถูกตบจนบวมของตนและลูกชายที่หน้าบวมเป็นหมูเช่นเดียวกันเดินคอตกออกไป เมื่อผ่านเหตุการณ์เช่นนี้มา ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรมั่วซั่วแม้แต่คนเดียว รวมไปถึงหลัวฉีที่ยโสจนไม่เห็นหัวใครก็ยังยืนอยู่ด้านข้าง ไม่กล้าแสดงความโมโหออกมาแม้แต่น้อย

หลัวเหยียนซงมองหลัวเยี่ยน จากนั้นจึงมองไปยังเย่เทียนเฉิน ไม่ได้พูดอะไรให้มากความ ทำเพียงเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้กลางห้องโถง พูดกับเปาเทียนหลงซึ่งเป็นหัวหน้าผู้คุ้มกันแห่งตระกูลหลัวว่า “ไม่ต้องการคนมากมายขนาดนี้หรอก แกกับคนอีก 2-3 คนอยู่ที่นี่ก็พอแล้ว”

“ครับนายท่าน!” เปาเทียนหลงโบกมือ ผู้คุ้มกันที่อยู่ด้านหลังพากันออกไป เหลือเพียงตัวเขาเองและผู้คุ้มกันอีกสองคนเท่านั้น

เย่เทียนเฉินมองไปยังเปาเทียนหลง รู้สึกได้ถึงบรรยากาศอันแข็งแกร่งบนร่างของคนคนนี้ ในขณะเดียวกันเขาก็สามารถรับรู้ได้ถึงสายตาของเปาเทียนหลงที่มองสำรวจมาทางตนเองเป็นระยะ ดูเหมือนว่าคนคนนี้ต้องการที่จะต่อสู้ลองเชิงกับตน

“คุณชายใหญ่ กล่องหยกหงส์มังกรนี้เป็นแม่เฒ่า…” ลุงหวังมองหลัวเหยียนซงที่นั่งลงบนตำแหน่งที่อยู่กลางห้องแล้วเอ่ยปากพูดขึ้นด้วยความเคารพ

“ฉันรู้แล้ว ทิ้งกล่องหยกหงส์มังกรไว้ซะ แล้วเอาหยกเปื้อนเลือดไป ไปจากตระกูลหลัว ไม่อนุญาตให้มาเหยียบอีกแม้แต่ครึ่งก้าว!” หลัวเหยียนซงพูดออกมาอย่างเรียบเฉยโดยที่ไม่มองหลัวเยี่ยนผู้เป็นลูกสาวเลยแม้แต่น้อย

เมื่อได้ยินคำพูดของหลัวเหยียนซง คนตระกูลหลัวที่อยู่ที่นี่ ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครกล้าพูดอะไรแต่ก็รู้สึกโล่งใจ จุดประสงค์ของพวกเขาก็คือกล่องหยกหงส์มังกร ส่วนหยกเปื้อนเลือดนั้นก็เป็นแค่ตำนานเล่าขาน ไม่มีใครรู้ว่าจริงหรือเท็จ ต่อให้เป็นเรื่องจริงก็เกรงว่าหยกมีตำหนิจะมีค่าไม่เท่าไหร่ เป็นแค่ของไร้ประโยชน์ก็เท่านั้น

ทิ้งกล่องหยกหงส์มังกรไว้ แล้วนำหยกมีตำหนิเปื้อนเลือดไปก็จะปล่อยให้สองแม่ลูกหลัวเยี่ยนไปได้ นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนยอมรับได้

หลัวเยี่ยนยืนอยู่กลางห้องโถง มองไปยังหลัวเหยียนซงผู้เป็นพ่อ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดใจขึ้นมา ไม่เจอกันยี่สิบปีแล้ว พ่อก็แก่ลงมากจริงๆ จอนผมทั้งสองข้างก็เริ่มขาวแล้ว ต่อให้สายตายังคมกริบเหมือนเดิม แต่ก็ทำให้เธอรับรู้ได้ถึงความแก่ชราของเขา คำพูดก็ไม่มีชีวิตชีวาและทรงพลังเหมือนเดิม

หลัวเยี่ยนทอดถอนใจครั้งหนึ่ง เดินไปเบื้องหน้าลุงหวัง เปิดกล่องหยกหงส์มังกรออกแล้วหยิบหยกมีตำหนิด้านในออกมาถือไว้ในมือ จากนั้นจึงมองไปยังหลัวเหยียนซงผู้เป็นพ่อ ไม่พูดอะไร คำเพียงโค้งคำนับอย่างลึกล้ำครั้งหนึ่ง แล้วหมุนตัวเตรียมจะพาเย่เทียนเฉินจากไป

หลัวเหยียนซงไม่มีท่าทีอะไรกับทุกสิ่งทุกอย่างนี้เลย หลัวเยี่ยนก็ไม่ได้เรียกเขาว่าพ่อ เขาก็ไม่ได้เรียกหลัวเยี่ยนว่าลูก ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันแม้แต่คำเดียว ยี่สิบปีแล้วกว่าพ่อลูกได้พบกันอีกครั้งแต่กลับสิ้นสุดลงแบบนี้

ลุงหวังทอดถอนใจ เรื่องเมื่อปีนั้นเขาเองก็รู้มาเหมือนกัน และเกิดขึ้นในห้องโถงแห่งนี้ด้วย แม่เฒ่าตระกูลหลัวก็ไร้เรี่ยวแรงที่จะต่อต้าน ทำได้เพียงมองหลัวเหยียนซงและหลัวเยี่ยนทะเลาะกันจนต้องตัดความสัมพันธ์พ่อลูกไปต่อหน้าต่อตา ตั้งแต่ที่หลัวเยี่ยนไปจากตระกูลหลัว พริบตาเดียวก็ผ่านไปยี่สิบปีแล้ว และไม่ได้กลับมาอีกเลย

เย่เทียนเฉินเองก็ไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงเดินตามหลังหลัวเยี่ยนไปเท่านั้น จะอย่างไรเขาก็ไม่มีความรู้สึกดีๆ กับคนตระกูลหลัวอยู่แล้ว และเพิ่งจะได้พบหน้าผู้เป็นตาคนนี้เป็นครั้งแรก ต่อให้จะรู้สึกประทับใจไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา จะอย่างไรแม่ก็เคยถูกขับไล่ออกจากตระกูลหลัวมาแล้ว ตัดความสัมพันธ์ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับตระกูลหลัวไปหมดแล้ว ตั้งแต่ที่แม่กลับมายังตระกูลหลัวในครั้งนี้ งพวกเขาก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่เห็นแม่เป็นครอบครัวเลยแม้แต่น้อย

“หยุดก่อน ไอ้หนูตระกูลเย่ แกคิดว่าทำร้ายคนแล้วจะจากไปแบบนี้ได้หรือ? แกเห็นตระกูลหลัวเป็นอะไรกัน…” ชายวัยกลางคนที่ถูกเย่เทียนเฉินเตะจนกระเด็นออกไปกุมท้องของตน มองไปยังเย่เทียนเฉินด้วยเหงื่อเต็มใบหน้าแล้วกัดฟันพูดขึ้น

“ใช่แล้ว ตระกูลหลัวของพวกเราเป็นตระกูลใหญ่ จะปล่อยให้คนนอกจากไปอย่างโอหังได้ยังไง? จะต้องจ่ายค่าเสียหายออกมาถึงจะถูก”

“ถ้าไม่สั่งสอนไอ้หนูนี่ วันหน้าตระกูลหลัวของพวกเราจะเอาหน้าที่ไหนไปเผชิญหน้ากับตระกูลใหญ่และกลุ่มอำนาจใหญ่อื่นๆ?”

“หัวหน้าตระกูล เรื่องนี้ไม่จัดการไม่ได้ นี่เกี่ยวข้องกลับสถานการณ์ของตระกูลหลัว!”

หลายคนพูดสมทบตามน้ำขึ้นมา ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความโกรธที่มีต่อเย่เทียนเฉิน โดยเฉพาะคุณลุงทั้งหลายที่ตกใจเพราะเย่เทียนเฉินลงมือทำร้ายคนเมื่อสักครู่นี้ ต่างรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก ตอนนี้หลัวเหยียนซงที่เป็นผู้นำตระกูลอยู่ที่นี่แล้ว และยังมีเปาเทียนหลงที่เป็นหัวหน้าผู้คุ้มกันผู้มีฝีมือไม่ธรรมดาอยู่ด้วย พวกเขาต้องการกู้หน้ากลับมา

“เหยียนซง พวกเขาพูดถูกแล้ว แต่ไหนแต่ไรก็ไม่มีใครกล้ามาก่อเรื่องที่ตระกูลหลัวของพวกเราแบบนี้ ไม่ว่าใครก็ทำไม่ได้ เย่เทียนเฉินทําร้ายคนในตระกูลหลัวของพวกเรา ถ้าปล่อยออกไปแบบนี้เกรงว่าตระกูลหลัวของพวกเราจะถูกคนหัวเราะเยาะเอาได้!” ตอนนี้เอง ชายชราคนหนึ่งที่ท่าทางอาวุโสมากเอ่ยปากพูดกับหลัวเหยียนซง

หลัวเหยียนซงหลัวเยี่ยนแวบหนึ่ง แล้วมองไปยังเย่เทียนเฉิน ในตอนที่กำลังจะเอ่ยปากพูดออกมานั้น หลัวเยี่ยนจะพูดขึ้นมาก่อน “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับลูกชายของฉัน เขาทำทุกอย่างก็เพราะฉัน พวกคุณต้องการจะทำยังไง ถ้าต้องการใช้กฎบ้านตระกูลหลัว ฉันก็จะรับผิดชอบเอง!”

“หึ คนที่ทำร้ายคนก็คือเย่เทียนเฉิน คนสาระเลวแบบนี้ไม่ลงโทษไม่ได้”

“พวกแก่ล้วนเป็นคนนอก จะคู่ควรให้ใช้กฎตระกูลหลัวของพวกเราได้ยังไง?”

“หักขาทั้งสองข้างของมันแล้วโยนมันออกไปซะ!”

“ถ้าไม่จ่ายค่าชดเชยออกมา วันนี้ก็อย่าได้คิดจะออกไปจากตระกูลหลัว!”

เดิมทีคนเหล่านี้ก็ไม่พอใจเย่เทียนเฉินและหลัวเยี่ยนอยู่แล้ว ตอนนี้มีคนยุยงขึ้นมา แน่นอนว่าต้องผสมโรงเข้าไปทันที อยากจะให้เย่เทียนเฉินและหลัวเยี่ยนตายอยู่ที่นี่

“เห่าอะไรกันนักหนา? มีความสามารถก็ออกมาดวลกันตัวต่อตัวสิ!”

ในตอนที่ทุกคนแย่งกันพูดจาโหดร้าย และหลัวเยี่ยนก็กำลังกังวลว่าพ่อของเธอจะให้ผู้คุ้มกันมาลากลูกไป เย่เทียนเฉินก็ประกาศศักดิ์ดาออกมาอีกครั้ง ทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นี่ตกใจกันถ้วนหน้า

…………………..