บทที่ 240 สู้! อดีตขุนพลระดับทัพฟ้า

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ

เย่เทียนเฉินพูดออกมาอย่างโอหังเป็นอย่างมาก เป็นคำพูดที่โดดเด่น และกล่าวได้ว่าไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ยิ่งนัก แต่กลับทำให้ทุกคนพูดอะไรไม่ออก พากันมองมายังเย่เทียนเฉินด้วยความโกรธจนแทบกระอักเลือด

เดิมทีคนเหล่านี้ส่งเสียงเอะอะโวยวาย คิดจะถือโอกาสนี้กู้หน้าให้ตน ลงโทษเย่เทียนเฉินสักครั้ง ไหนเลยจะรู้ว่าเย่เทียนเฉินจะเห็นคำพูดของพวกเขาเป็นเพียงการผายลม และพูดสวนออกมาประโยคเดียวเท่านั้น ‘เห่าอะไรกันนักหนา? มีความสามารถก็ออกมาดวลกันตัวต่อตัวสิ!’

ประโยคนี้มากเพียงพอที่จะทำให้คนเหล่านี้โกรธจนกระอักเลือด พวกเขาเป็นคนของตระกูลใหญ่ การทะเลาะวิวาทสำหรับพวกเขาแล้วมีเพียงร่วมมือกันตบตีเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นภายในตระกูลใหญ่จะเวียนมาถึงคราวที่พวกเขาจะต้องลงมือด้วยตัวเองได้อย่างไร แค่โทรศัพท์ครั้งเดียวหรือบางทีอาจจะพูดแค่ประโยคเดียว ก็จะมีคนที่มีฝีมือไม่ธรรมดาไปจัดการให้แล้ว ตอนนี้เย่เทียนเฉินถึงกับโวยวายให้พวกเขามาดวลตัวต่อตัว ทำให้คนเหล่านี้อับจนคำพูดเป็นอย่างมาก และรู้สึกเสียหน้ายิ่งนัก ไม่มีใครกล้าดวลตัวต่อตัวกับเย่เทียนเฉินจริงๆ ประการแรกก็คือไม่ใช่คู่มือของเขา ประการที่สองเพราะไม่เหมาะสมกับฐานะของพวกเขา

“ทำไม? คนตระกูลหลัวขี้ขลาดขนาดนี้เลยหรือ? ความสามารถสักนิดก็ไม่มี ทำได้แต่อาศัยอันธพาล?” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้มไม่พอใจ

“เทียนเฉิน…”

หลัวเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะเคร่งเครียดขึ้นมา เธอไม่รู้ว่าเพราะอะไรลูกถึงได้จงใจก่อเรื่อง จงใจยั่วยุคุณลุงตระกูลหลัวทั้งหลายแบบนี้ ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับผู้นำตระกูลอย่างหลัวเหยียนซง เย่เทียนเฉินก็ไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย ยังคงเป็นเหมือนเมื่อสักครู่นี้ เธอพบว่าตอนนี้เธอกังวลขึ้นมาแล้วจริงๆ กังวลว่าหลัวเหยียนซงจะออกคำสั่งจับตัวเย่เทียนเฉินไป

นี่เป็นเหตุการณ์ที่หลัวเยี่ยนไม่ต้องการเห็นมากที่สุด เหตุผลประการแรกเป็นเพราะตระกูลหลัวเป็นตระกูลใหญ่ มีผู้คุ้มกันพร้อมด้วยอาวุธปืน หากออกคำสั่งให้จับคนจริงๆ จนถึงขั้นยิงปืนฆ่าคนขึ้นมาล่ะก็ คงไม่ใช่อะไรที่จะรับผิดชอบไหว และคงไม่มีใครกล้าสอบสวนอะไรอย่างแน่นอน เหตุผลประการที่สองก็คือ หลัวเยี่ยนรู้ว่าพ่อแก่แล้ว เธอต้องการจะไปจากที่นี่เร็วๆ เท่านั้น เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกันมากกว่านี้ แต่เป็นคุณลุงเหล่านี้ที่ไม่ยอมจบสิ้นเสียที

“แม่ครับ พวกเขาไม่ยอมปล่อยพวกเราไป พวกเราก็ทำได้เพียงเดินออกไปด้วยความสามารถของตัวเอง ปล่อยผมเถอะครับ!” เย่เทียนเฉินมองไปยังหลัวเยี่ยน เพราะรู้ความคิดของเธอดีจึงได้พูดออกมาอย่างจริงจัง

“อืม ลูกระวังตัวด้วย!” หลัวเยี่ยนชะงักไปเล็กน้อย รู้ว่าวิธีที่ลูกชายพูดออกมานั้นเป็นวิธีเดียว ดังนั้นในที่สุดจึงพยักหน้ายอมรับ หลบไปยืนด้านข้างให้เย่เทียนเฉินผู้เป็นลูกไปจัดการ

“ฉันจะถามเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าต้องการจะรั้งฉันไว้ ก็รีบลงมือซะ ไม่งั้นฉันก็จะไปแล้ว มาตระกูลหลัวของพวกแกครึ่งวัน น้ำชาก็ไม่ได้ดื่มสักคำ จะไม่รู้จักรับรองแขกเกินไปหรือเปล่า?” เย่เทียนเฉินหาวแล้วพูดขึ้น

ตอนนี้เองหลัวเหยียนซงก็ลุกขึ้นยืนจากที่นั่ง มองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างเย็นชา ในใจก็รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง ไม่ว่าจะพูดอย่างไรเย่เทียนเฉินก็นับว่าเป็นหลานของเขา ต่อให้ตัดความสัมพันธ์พ่อลูกกับหลัวเยี่ยนไปแล้ว แต่สายเลือดยังไงก็ตัดไม่ขาด ดังนั้นเรื่องเกี่ยวกับเย่เทียนเฉินที่เป็นหลานคนนี้หลัวเหยียนซงต่างก็รู้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะข่าวของเย่เทียนเฉินที่ดังไปทั่วทั้งเมืองหลวงในระยะนี้ เรียกได้ว่าขอเพียงเป็นคนมีตำแหน่งเล็กน้อย เป็นคนที่มีคนรู้จักเล็กน้อยต่างก็รู้

เย่เทียนเฉินทำลายตระกูลฉินและตระกูลลั่วในเวลาเพียงคืนเดียว ทำให้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทั้งเมืองหลวงว่าเป็นคนทำตามหลักการโดยไม่สนใจตัวคน ดูเหมือนว่าทุกคนต่างก็รู้ดีว่าตระกูลเย่ซึ่งตกต่ำจนกลายเป็นตระกูลชั้นสามมีเย่เทียนเฉินโผล่ออกมาคนหนึ่ง ไม่ว่าคุณจะเป็นลูกหลานข้าราชการ ลูกหลานเศรษฐีตระกูลใหญ่ หรือลูกหลานของนายทหาร ขอเพียงกล้าใช้อำนาจบาตรใหญ่ ขอเพียงไปหาเรื่องเย่เทียนเฉิน เช่นนั้นเขาก็จะมอบกำปั้นให้คุณเพียงอย่างเดียว นี่เป็นคนที่ไม่หวาดกลัวในอำนาจอิทธิพลโดยสิ้นเชิง ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่ทำลายตระกูลฉินแล้วตระกูลลั่วแล้ว ถึงกับมีคนระดับสูงของประเทศกดเรื่องนี้เอาไว้ ทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะแปลกใจจริงๆ

“พบตาอย่างฉันทั้งทีแต่ไม่มีมารยาทเลยสักนิด ตระกูลเย่ของแกสั่งสอนแกยังไง?” หลัวเหยียนซงมองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วเอ่ยถาม

“คุณเป็นตาของผมหรือไง? ไล่แม่ของผมออกจากตระกูลหลัว เห็นคนมากมายล้อมโจมตีพวกเราแม่ลูก กระทั่งต้องการที่จะสั่งให้ผู้คุ้มกันมาฆ่าพวกเรา คุณที่เป็นตากลับไม่มีความคิดที่จะต่อต้านเลย คุณตาแบบนี้ผมเย่เทียนเฉินไม่รู้จัก!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้มเรียบเฉย

เดิมทีเย่เทียนเฉินก็ไม่มีความผูกพันอะไรกับคนตระกูลหลัวเหล่านี้อยู่แล้ว และยิ่งไม่มีความรู้สึกดีๆ อะไรให้ กระทั่งหลัวเหยียนซงซึ่งเป็นคุณตาคนนี้ แม้ว่าจะมีบารมีอยู่บ้าง และมีความเปิดเผยตรงไปตรงมาเล็กน้อย แต่เย่เทียนเฉินในตอนนี้รู้ดีว่า ขอเพียงเขายอมอ่อนข้อให้ เกรงว่าคนตระกูลหลัวก็จะต้องการจับพวกเขาแม่ลูกอีกครั้ง เมื่อถึงตอนนั้นต่อให้หลัวเหยียนซงคิดจะหยุดก็เกรงว่าจะไม่มีความเด็ดเดี่ยวมากพอ จะอย่างไรความมั่นคงและความสามัคคีของตระกูลหลัวทั้งตระกูลก็สำคัญกว่าเขาและแม่โดยสิ้นเชิง ในจุดนี้เย่เทียนเฉินเข้าใจเป็นอย่างดี ดังนั้นเขาจึงไม่ยอมอ่อนข้อแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะด้วยการกระทำหรือด้วยคำพูด ต่างเฉียบคมทั้งคู่

“ดี มีลักษณะเหมือนฉันเมื่อปีนั้นอยู่หลายส่วน ฉันได้ยินว่าฝีมือของแกแข็งแกร่งมาก ถ้าหากวันนี้สามารถเอาชนะเปาเทียนหลงได้ ฉันก็จะปล่อยแกไป ส่วนเรื่องที่แกทำร้ายคนของตระกูลหลัว ก็จะถือว่าเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้วไม่พูดถึงอีก!”

หลัวเหยียนซงไม่ได้โกรธ แต่กลับรู้สึกชื่นชมหลานคนนี้ด้วยซ้ำ ในตระกูลหลัวขาดคนที่มีความเด็ดเดี่ยวเหมือนเย่เทียนเฉิน แต่ละคนต่างก็อาศัยอำนาจของตระกูลทำตัวโอ้อวด หากว่าเบื้องหลังไม่มีตระกูลหลัวคอยค้ำจุน ลูกหลานหลายคนของตระกูลหลัวก็จะกลายเป็นเศษสวะ แต่เบื้องหลังของเย่เทียนเฉินไม่มีที่พึ่งพิงอะไร มีแค่ตระกูลเย่ที่ตกต่ำจนกลายเป็นตระกูลชั้นสามไปแล้วเท่านั้น แต่เขากลับมีความเด็ดเดี่ยวแบบนี้ได้ ช่างไม่ง่ายเลยจริงๆ

“หัวหน้าตระกูล นี่เกรงว่า…”

“เอาล่ะ ฉันตัดสินใจแบบนี้แล้ว เปาเทียนหลง จะสามารถรักษาหน้าตาของตระกูลหลัวของฉันเอาไว้ได้หรือไม่ก็ต้องดูแกแล้ว ไม่จำเป็นต้องไว้ไมตรี จะฆ่าก็ไม่เป็นไร!” หลัวเหยียนซงพูดขัดคำพูดของคนที่คิดจะพูด มองไปยังเปาเทียนหลงแล้วพูดขึ้น

“ครับนายท่าน!”

เปาเทียนหลงกำหมัดขวา มองไปยังเย่เทียนเฉินด้วยท่าทางเคร่งขรึมจริงจังอย่างหาใดเปรียบ ยังมีผู้คุมการอีกสองคนที่ยืนอยู่ข้างกายเขา คนเหล่านี้ต่างก็เป็นทหารปลดประจำการ มีฝีมือไม่เลว ไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถเข้ามาเป็นผู้คุ้มกันในตระกูลหลัวได้ ตอนนี้ทุกคนต่างต้องการดูว่าเปาเทียนหลงจะจัดการเย่เทียนเฉินอย่างไร

“หัวหน้า ให้ผมไปเถอะครับ จะไปสั่งสอนไอ้หนูนี่สักหน่อย”

“ไอ้หนูนี่พูดจาโอหัง ผมจะต้องทำให้มันเห็นดีแน่นอน!”

“สั่งสอนฉัน แกคู่ควรเหรอ? โอหัง? บิดาก็โอหังแบบนี้มาตลอด แกเพิ่งจะรู้หรือไง จะทำให้เห็นดีงั้นเหรอ พี่ชายดูดีกว่าแกอยู่แล้ว อิจฉาล่ะสิ ที่พูดออกมาไม่มีอะไรถูกเลย!” เย่เทียนเฉินพูดจาหยอกล้อกับผู้คุ้มกันสองคนที่อยู่ข้างกายเปาเทียนหลง

ผู้คุ้มกันสองคนนั้นโกรธจนทนไม่ไหว คิดอยากจะพุ่งเข้าไปสั่งสอนเย่เทียนเฉิน แต่กลับทุกเปาเทียนหลงขวางเอาไว้ เปาเทียนหลงมองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างเย็นชา พูดกับผู้คุ้มกันที่อยู่ด้านหลังทั้งสองคนว่า “พวกแกไม่ใช่คู่มือของเขา ให้ฉันไปเอง!”

ผู้คุ้มกันสองคนนี้คิดไม่ถึงว่าหัวหน้าเปาเทียนหลงจะพูดแบบนี้ออกมา พวกเขาไม่ได้ติดตามอยู่ข้างกายของเปาเทียนหลงผู้เป็นหัวหน้าผู้คุ้มกันเพียงแค่วันสองวัน ย่อมรู้ว่าเมื่อก่อนเปาเทียนหลงที่เป็นทหารมีความสามารถแข็งแกร่งขนาดไหน ยิ่งไปกว่านั้นเปาเทียนหลงยังมีฐานะที่คนไม่รู้อยู่อีกฐานะหนึ่ง หากพูดออกไปก็เกรงว่าจะทำให้ใครหลายคนตกใจ นั่นก็คือเปาเทียนหลงเคยเป็นขุนพลระดับทัพฟ้ามาก่อน เขาฆ่าคนผิดตัวในตอนทำภารกิจหนึ่ง จึงถูกบีบบังคับให้ปลดประจำการจากทัพฟ้า เคยมีคนเห็นเปาเทียนหลงรีดเร้นลมปราณออกมา อากาศถึงกับสั่นสะเทือนไป 10 เมตร สามารถต่อยทะลุแผ่นเหล็กได้ ทำให้รู้สึกน่าเหลือเชื่อเป็นอย่างมาก

เปาเทียนหลงเดินมาเบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน จากนั้นจึงหยุดลงในตำแหน่งที่อยู่ห่างจากเย่เทียนเฉินสองเมตร เขาสูงพอๆ กับเย่เทียนเฉิน และมีรูปร่างค่อนข้างผอม แต่ไม่ใช่แบบที่ใครหลายคนคิดว่า ยิ่งร่างกายกำยำก็ยิ่งมีความสามารถแข็งแกร่ง

“พวกเราเปลี่ยนสถานที่ดีไหม?” เปาเทียนหลงถามเย่เทียนเฉินด้วยรอยยิ้ม

“ฉันยังไงก็ได้ ยังไงถ้าทำของพังก็ไม่ใช่บ้านฉันอยู่แล้ว!” เย่เทียนเฉินเองก็พูดตอบด้วยรอยยิ้ม

“ดี พวกเราไปสู้กันที่ว่างด้านนอกเถอะ ถ้าแกชนะก็ไปได้ ถ้าหากแพ้ก็ตาย!” เปาเทียนหลงพูดอย่างเคร่งขรึม

“ได้ ถ้าหากแก้แพ้ฉันจะดูความสามารถของแก แล้วพิจารณารับแกเป็นลูกน้องของฉัน แน่นอนว่านี่ต้องดูความสามารถที่แกแสดงออกมาด้วย!” เย่เทียนเฉินพูดพลางยักไหล่

ทุกคนคิดไม่ถึงว่า เมื่อเผชิญหน้ากับยอดฝีมือแบบเปาเทียนหลง เย่เทียนเฉินจะยังสุขุมอยู่ได้ ไม่รู้จักที่ตายเลยจริงๆ

“แม่งเอ้ย ไอ้หนูนี่ยิ่งพูดก็ยิ่งโม้ ถึงกับกล้าประมือกับหัวหน้า ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเลยจริงๆ!”

“วางใจเถอะ ไม่เกินสองกระบวนท่าไอ้หนูนี่ก็ถูกอัดจนหน้าทิ่มดินแล้ว นี่เป็นจุดจบที่กล้าไม่เห็นท่านหัวหน้าอยู่ในสายตา”

ไม่เพียงแต่ผู้คุ้มกันสองคนที่อยู่ด้านหลังของเปาเทียนหลงเท่านั้น กระทั่งทุกคนในตระกูลหลัวล้วนคิดเช่นนี้ พวกเขาไม่คิดว่าเย่เทียนเฉินจะเป็นคู่มือของหัวหน้าผู้คุ้มกันอย่างเปาเทียนหลง โดยเฉพาะคนที่รู้ว่าเปาเทียนหลงเคยเป็นขุนพลระดับทัพฟ้ามาก่อน คนที่เป็นขุนพลระดับทัพฟ้าได้ดูเหมือนว่าจะมีคู่ต่อสู้น้อยมาก ไม่ต้องพูดถึงคนที่เก่งที่สุดไม่กี่คนในกองทัพเลย เกรงว่าจะต่างกันไม่มากเท่าไหร่

ตอนนี้หลายคนภาวนาอยู่ในใจ หวังว่าเปาเทียนหลงจะอัดเย่เทียนเฉินจนหน้าทิ่มดิน ทางที่ดีที่สุดอัดให้หัวร้างข้างแตก อัดให้เย่เทียนเฉินตายไปเลยยิ่งดี เช่นนั้นทุกเรื่องก็จะสิ้นสุดลง และยังช่วยระบายความโกรธแค้นให้พวกเขาได้อย่างสะใจอีกด้วย

เย่เทียนเฉินและเปาเทียนหลงเดินมาถึงสนามหญ้าด้านนอกบ้านสไตล์โบราณแห่งตระกูลหลัว ทั้งสองยืนอยู่ในตำแหน่งที่ห่างกับอีกฝ่าย 10 เมตร คนตระกูลหลัวรอบๆ ต่างจับตาดูการต่อสู้ หลัวเยี่ยนเองก็มองลูกชายด้วยความเคร่งเครียด เนื่องจากเมื่อครู่นี้เธอได้รู้จากลุงหวังว่าเปาเทียนหลงร้ายกาจมาก ทั้งชีวิตพ่ายแพ้ไม่กี่ครั้ง เป็นยอดฝีมือที่มีความสามารถคนหนึ่ง

“เล่นยังไงดี? แกรู้ไหมว่าเวลาของฉันมีค่ามาก!” เย่เทียนเฉินมองไปยังเปาเทียนหลงแล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

“สิบกระบวนท่า ถ้าหากว่าฉันเอาชนะแกไม่ได้ภายในสิบกระบวนท่าก็ถือว่าแกชนะเป็นไง?” เปาเทียนหลงพูดออกมาอย่างเชื่อมั่นในตนเอง

“ยี่สิบกระบวนท่าก็แล้วกัน แค่สิบกระบวนท่าแกเอาชนะฉันไม่ได้แน่นอน ให้โอกาสแกได้โจมตีกลับบ้างแล้วกัน!” เย่เทียนเฉินยืดกล้ามเนื้อของตนพลางพูดขึ้น

“ได้!”

ฉัวะ!

ฉัวะ!

การประลองระหว่างยอดฝีมือไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มากความ คนที่เอาแต่พูดไร้สาระไม่ใช่ยอดฝีมือที่แท้จริง หลังจากที่พูดจบเย่เทียนเฉินและเปาเทียนหลงก็พุ่งเข้าหาอีกฝ่ายรวดเร็วดังสายฟ้าในเวลาแทบจะพร้อมกัน พวกเขาสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย ดังนั้นจึงคิดจะรีบสู้รีบจบ

…………………..