ตอนที่ 289 เห็นต่าง

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

“ข้าคิดว่าพวกเราไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ต่อ” จงอิ้งซีมองพี่ชายทั้งสองคนอย่างเรียบนิ่ง “เรื่องนี้ไม่ง่ายเหมือนที่พวกเราคาดไว้ถึงขนาดนั้น เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่อาจถูกพวกเราหลอกใช้ได้ ดึงดันอยู่ต่อไปก็คงมีเพียงผลลัพธ์เดียว อับอายขายหน้าตัวเอง ทั้งคนของตระกูลซั่งกวนก็ล่วงเกินไปแล้ว มิสู้ไปให้เร็วหน่อยจะดีกว่า!”

“ข้าคิดว่าพวกเราอยู่ต่อไปก็ไม่มีความหมายเช่นกัน!” จงฉิงเฟิงเห็นด้วยกับน้องสาว แม้ต่อหน้าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ นางจะแสร้งไร้เดียงสา ดูไม่ฉลาดเฉลียวอะไร ทั้งบางครั้งก็เผยนิสัยคุณหนูออกมาอยู่บ้าง แต่เมื่อสุขุมขึ้นมา ความคิดเห็นของนางกลับนับว่าถูกต้อง ควรจะรับฟังความเห็นนางจึงจะถูก

“พวกเราไม่อาจยอมแพ้เช่นนี้ได้!” หยางรุ่ยเฟิงคัดค้านความเห็นของสองพี่น้องไปตรงๆ ขมวดคิ้วกล่าว “หากเป็นเช่นนั้น ความพยายามหลายปีมานี้ของพวกเราย่อมเสียเปล่า พวกเราไม่อาจล้มเหลวได้!”

“ยามนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาค่อยๆ ปรึกษากัน แต่เป็นยามที่ต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาด!” จงอิ้งซีขมวดคิ้วมองหยางรุ่ยเฟิง “แม้จะพบหน้ากันเพียงสองครั้ง ลับฝีปากมาสองครั้ง แต่ท่านควรจะมองออกได้แล้ว เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ใช่คนที่จะหลอกใช้ง่ายๆ หากพวกเราจากไปตอนนี้ แม้ในใจยากจะรับได้อยู่บ้าง คิดว่าความพยายามสองปีมานี้เสียเปล่า แต่ไม่แน่ว่าจะล้มเหลวไปเสียหมด พวกเราสามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์อย่างค่อยเป็นค่อยไป ให้นางค่อยๆ ยอมรับตระกูลจง สานสัมพันธ์กับตระกูลจง แต่หากจะใช้วิธีไล่ต้อนนางให้จำต้องยอมรับความสัมพันธ์กับตระกูลจงในเวลาที่ไม่เป็นผลดีกับพวกเราเช่นนี้ ได้ไม่คุ้มเสียไม่ว่า ยังอาจจะทำลายเรื่องราวทั้งหมดพังไม่เป็นท่า”

“ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์อย่างค่อยเป็นค่อยไป? พวกเรายามนี้ยังมีเวลาอีกอย่างนั้นหรือ?” หยางรุ่ยเฟิงมองจงอิ้งซีอย่างเยียบเย็น ผู้ที่ว่ากันว่าเป็นคุณหนูที่หลักแหลมที่สุดและมีอนาคตที่สุดของตระกูลจงรุ่นนี้ หลานรักที่มหาเสนาบดีจงเห็นเป็นสิ่งล้ำค่า อยากจะใช้งานแต่งเชื่อมสัมพันธ์ของนางมาทำให้ตระกูลจงก้าวหน้าไปอีกขั้น คุณหนูตระกูลจงที่กระทั่งองค์ชายก็ไม่อยากจะแต่งให้ เหตุใดนางไม่คิดแทนเขาบ้าง หากมีเวลา เขาจะรีบตามมาที่ลี่โจวอย่างอดใจคอยไม่ได้เช่นนี้หรือ? ไม่อยู่ในสถานการณ์เดียวกับตนจะเข้าใจได้อย่างไร

“เวลามีไม่มากก็จริง แต่ก็ยังดีกว่าต้องล่วงเกินตระกูลใหญ่อย่างหยาบคาย!” จงอิ้งซีขมวดคิ้ว แต่ไหนแต่ไรนางก็ไม่เห็นอ๋องรุ่ยในสายตา คิดว่าคนผู้นี้ยากที่จะทำการใหญ่ได้ แม้ว่าตระกูลจงจะลงเรือลำเดียวกับเขาก็ตาม เขาเป็นคนประเภทที่มีเป้าหมายสูงส่งแต่ความสามารถกลับน้อยนิด มักจะเห็นผลประโยชน์เล็กน้อยที่อยู่ตรงหน้าก็อดใจที่จะกัดเสียครึ่งคำไม่ได้ ไม่มีความคิดและแผนการที่จะทำเรื่องอย่างค่อยเป็นค่อยไปแม้แต่น้อย

“ล่วงเกินตระกูลซั่งกวน?” หยางรุ่ยเฟิงกล่าวอย่างเยียบเย็น “เยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นเพียงภรรยาของซั่งกวนเจวี๋ย แม้นางจะให้กำเนิดลูกภรรยาเอกแก่ตระกูลซั่งกวนก็ไม่อาจเหมารวมนางเป็นตระกูลซั่งกวนได้ ผู้หญิงคนหนึ่งกับข้าที่เป็นองค์ชาย ใครสำคัญกว่ากัน ตระกูลซั่งกวนย่อมต้องแยกออกกระมัง! ตระกูลซั่งกวนคงจะกระจ่างใจดี หากสามารถเป็นกำลังให้ข้า ให้ข้านั่งในตำแหน่งฮ่องเต้ได้อย่างราบรื่น ย่อมสามารถนำพาผลประโยชน์มากมายมาให้กับตระกูลซั่งกวนของพวกเขา!”

ปัญหาก็คือ ก่อนหน้านั้น ตระกูลซั่งกวนต้องมอบกำลังที่เพียงพอให้เขา พวกเขาไม่แน่ว่าจะยอมทุ่มกำลังคนและทรัพยากรให้องค์ชายที่มีความสามารถห่างชั้นกับรัชทายาทอย่างเจ้าหรอก! จงอิ้งซีมองหยางรุ่ยเฟิงที่กำลังวาดฝันเป็นฮ่องเต้ ในใจนั้นไร้หนทาง เหตุใดนางจึงต้องมา จุดประสงค์ก็เพื่อสามารถตีสนิทกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ตีสนิทกับคนของตระกูลซั่งกวน จากนั้นก็อาศัยพวกเขาแต่งเป็นภรรยาเอกให้กับตระกูลใหญ่ แต่นางทำเช่นนี้ สิ่งที่มากไปกว่านั้นคือไม่มีความมั่นใจต่อเขา อยากจะพึ่งงานแต่งของตัวเอง หากในอนาคตตระกูลจงและอ๋องรุ่ยล้มเหลว หลังจากรัชทายาทครองบัลลังก์แล้วก็ไม่อาจจะชำระหนี้แค้นกับตระกูลจงอย่างเอาจริงเอาจังได้ พูดให้กระจ่างก็คือเหลือทางรอดสุดท้ายให้กับตัวเองและตระกูลจง กลับไม่ใช่เพื่อช่วยเหลือเขาอย่างแท้จริง ตัวเองยังไม่ได้ไม่รู้อะไรจนถึงขั้นนั้น

“ที่จริงรั้งอยู่ก่อนก็ดี!” จงฉิงเฟิงทราบถึงความคิดของน้องสาวที่ยากจะพูดอยู่บ้าง แต่ปัญหาในยามนี้คือเยี่ยนมี่เอ๋อร์มีท่าทีหนักแน่นเป็นอย่างมากและพวกเขาก็มีเวลาไม่มาก…ได้รับการสนับสนุนของตระกูลซั่งกวนไม่ได้เป็นเรื่องดีทุกอย่าง เพียงแค่เป็นการเริ่มต้นที่ดีเท่านั้น พวกเขายังต้องการเวลาที่แน่นอนวางแผนและดำเนินการ ดังนั้นความร้อนใจอยากลองสักตั้งของหยางรุ่ยเฟิงสามารถเข้าใจได้ เพียงแต่ไม่อาจดันทุรัง ฝืนเด็ดแตงที่ยังไม่สุกจากต้น[1]เป็นเพียงเรื่องหนึ่ง สิ่งที่สำคัญคือ ‘แตง’ ลูกนี้เป็นดาบสองคม อาจจะใช้จัดการกับคนอื่นได้ ทั้งอาจจะทำให้ตัวเองบาดเจ็บก่อนได้เช่นกัน ดังนั้นเขาทำได้เพียงประนีประนอม ไกล่เกลี่ยความขัดแย้งของทั้งสองคน กล่าวยิ้มๆ “สามารถพบหน้าผู้นำตระกูลซั่งกวนและซั่งกวนเจวี๋ย ทำความรู้จักซึ่งกันและกัน ภายหลังเมื่อพบกันแล้วก็จะไม่ติดขัดอันใด! แต่ว่า พวกเราไม่อาจใจร้อนเกินไป ไม่อาจใช้ท่าทีก่อนหน้านี้กับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ยิ่งไม่อาจแสดงความไม่เคารพต่อคนอื่นๆ ของตระกูลซั่งกวน มิเช่นนั้น คงไม่เหมาะสมจริงๆ แล้ว”

หยางรุ่ยเฟิงไม่พอใจเป็นอย่างมาก จงอิ้งซีคัดค้านการตัดสินใจของเขาตรงๆ และจงฉิงเฟิงก็หดๆ เกร็งๆ เช่นนั้นอีก หรือตกใจกับการต่อต้านอย่างรุนแรงของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไปหมดแล้ว?

“ที่พี่ชายพูดก็มีเหตุผล!” จงอิ้งซีไม่อยากจะรีบร้อนทำเรื่องให้สำเร็จเร็วๆ ขนาดนั้น แต่เรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว หากจะไปเลยเช่นนี้คงไม่เหมาะสมเท่าใด ทำได้เพียงเห็นด้วยกับจงฉิงเฟิงเท่านั้น

“เช่นนั้นพวกเรารั้งอยู่ต่อยังจะมีประโยชน์อันใด?” หยางรุ่ยเฟิงไม่อาจเข้าใจความเห็นของทั้งสองคนได้แม้แต่น้อย กล่าวอย่างเยียบเย็น “หรือเพื่อจะลองชิมอาหารของตระกูลซั่งกวนว่าเลิศรสหรือไม่ ไตร่ตรองว่าพ่อครัวของตระกูลซั่งกวนมีฝีมือยอดเยี่ยมหรือเปล่า?”

แม้จะทำเป็นกินข้าวบ้านคนอื่นก็ดีกว่าถูกคนเห็นเป็นแขกที่น่ารังเกียจ! จงอิ้งซีผิดหวังกับอ๋องรุ่ยอย่างถึงที่สุด ส่งสายตาเป็นนัยให้กับจงฉิงเฟิง “ข้าเหนื่อยแล้ว จะไปพักก่อน ส่วนจะทำอย่างไรกันแน่ พวกเจ้าปรึกษากันดีๆ เถิด! อย่างไร คำพูดของข้าก็มักไม่เข้าหูอยู่แล้ว ไม่พูดออกมาให้คนเกลียดจะดีกว่า!”

“นี่นางหมายความว่าอะไร” หยางรุ่ยเฟิงมองจงอิ้งซีที่จากไป กล่าวอย่างหงุดหงิด “นางไม่รู้หรือว่านางมาด้วยภารกิจอันใด? ไม่ว่าจะพูดอย่างไรเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็เป็นผู้หญิง ความแตกต่างของชายหญิงทำให้พวกเราไม่อาจเข้าใกล้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ได้ ดังนั้นจึงให้นางเข้ามา เหตุใดนางถึงไม่เป็นฝ่ายรุกบ้าง? หากรู้มาก่อนคงไม่พานางมา แต่ควรจะพาเฟิ่งเอ๋อร์มามากกว่า!”

จงฉิงเฟิงหลุบตาต่ำเล็กน้อย ปกปิดแววตาดูแคลนและไม่พอใจไว้ พาองค์หญิงหลวนเฟิ่งนิสัยเสียผู้นั้นมา? เรื่องที่นางมีฐานะเป็นองค์หญิงสามารถออกจากวังโดยพลการได้หรือไม่จะยังไม่พูดถึง แต่นิสัยวางอำนาจเช่นนั้นของนาง เห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ย่อมแสดงท่าทีเย่อหยิ่งอวดดี คงจะเชิดหน้าบอกเยี่ยนมี่เอ๋อร์ว่า เจ้าเป็นลูกสาวของน้องสาวที่น่าอับอายของท่านแม่ข้า เห็นแก่ที่เจ้าแต่งกับตระกูลไม่เลว ข้าจะนับเจ้าเป็นญาติด้วยแล้วกัน เจ้าต้องฟังคำพูดของพวกเราแต่โดยดี…หากเป็นเช่นนั้น คาดว่าพวกตัวเองคงจะถูกตระกูลซั่งกวนไล่ออกไปตรงๆ เป็นแน่!

“คำพูดของอิ้งซีไม่รื่นหูอยู่บ้าง แต่นางไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร เพียงท้อแท้ใจไปบ้างเท่านั้น!” เวลานี้จงฉิงเฟิงยังคงทำได้เพียงถือโอกาสพูดดีๆ แทนน้องสาวกับหยางรุ่ยเฟิง “อย่างไรนางก็เป็นผู้หญิง ยามที่พบเจอเรื่องย่อมไม่มั่นใจอยู่บ้าง แต่นางไม่อาจมีความคิดไม่ดีอะไรแน่ ข้าคิดว่าจะล้มเลิกในเวลานี้ย่อมเปล่าประโยชน์ แต่พวกเราก็ไม่มีความจำเป็นต้องแก้ไขเรื่องราวให้แล้วเสร็จในวันนี้เช่นกัน ไม่อย่างนั้นหลังจากพบเจอกับพ่อลูกซั่งกวนฮ่าว ดูท่าทีและปฏิกิริยาของพวกเขาว่าเป็นอย่างไร จากนั้นพวกเราค่อยปรึกษาหารือกันดีๆ หาวิธีที่ดีกว่าและเหมาะสมยิ่งกว่าออกมา”

“ดีกว่าและเหมาะสมกว่า?” หยางลุ่ยเฟิงเค้นเสียงมองจงฉิงเฟิง “ยังจะมีวิธีอะไรที่ดีกว่าและเหมาะสมกว่าอีกงั้นหรือ? ซั่งกวนฮ่าวเป็นคนแบบใด เป็นคนที่พวกเราสามารถวางแผนตามใจได้อย่างนั้นหรือ? พวกเราทำได้เพียงลงมือทางเยี่ยนมี่เอ๋อร์เท่านั้น ข้าวางแผนแล้วว่าสานสัมพันธ์กับญาติผู้นี้ต่อหน้าสองพ่อลูกซั่งกวนฮ่าวนั่นแหละ หากนางยังคงไม่ไว้หน้าเช่นนั้น…ข้าไม่เชื่อหรอกว่าซั่งกวนฮ่าวยังจะสามารถปล่อยลูกสะใภ้ที่ไร้น้ำใจและไร้คุณธรรมเช่นนั้นไว้ได้!”

หากไม่ได้รับความยินยอมจากพ่อลูกซั่งกวนฮ่าว เยี่ยนมี่เอ๋อร์จะแสดงท่าทีเช่นนั้นกับตัวเองทั้งสามคนหรือ? จงฉิงเฟิงมองหยางรุ่ยเฟิงทั้งส่ายศีรษะยิ้มขมขื่น หลังเยี่ยนมี่เอ๋อร์จากไปหวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็ปรากฏตัวทันที คำพูดเหล่านั้นยังคงวนเวียนในหู ท่าทีของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็ได้เป็นตัวแทนแสดงท่าทีของตระกูลซั่งกวนแล้ว หรือเขายังไม่ชัดเจนอีก?

“ข้ารู้ว่าพวกเจ้ารู้สึกไม่เหมาะสม แต่พวกเจ้ากลับไม่ได้คิดถึงปัญหาหนึ่ง!” หยางรุ่ยเฟิงเห็นท่าทีไม่เห็นด้วยของจงฉิงเฟิงก็กล่าวอย่างเรียบเย็น “พวกเจ้าถอยได้ แต่ข้าถอยได้หรือไม่? แม้รัชทายาทและข้าจะยังไม่ถึงขั้นที่อยู่ร่วมกันไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ไกลจากนั้นมากแล้ว หากข้าไม่มีกำลังเพียงพอโจมตีรัชทายาทให้แพ้พ่าย ครองตำแหน่งฮ่องเต้ละก็ หลังจากเขาได้บัลลังก์ ย่อมจะแต่งตั้งข้าเป็นเจ้าเมืองตามใจ จากนั้นก็ส่งข้าออกไปที่รกร้างว่างเปล่า นี่ยังเป็นผลลัพธ์ที่ดีเท่านั้น หากไม่ดี คงไม่ต้องพูดแล้วว่าเขาจะทำอย่างไร ย่อมกำจัดข้าทิ้ง…ข้าไม่อาจถอย ทั้งไม่มีทางให้ถอย”

เขาไม่มีทางให้ถอย ก็อยากจะบีบคนอื่นให้เดินทางตันไปพร้อมกับเขาอย่างนั้นหรือ? จงฉิงเฟิงยิ้มขมขื่น แต่เขารู้ว่าอ๋องรุ่ยไร้ทางที่จะถอย และตระกูลจงก็ไร้ทางที่จะถอยเช่นกัน ตระกูลจงเป็นตระกูลเดิมของสนมจงกุ้ยเฟย ยามที่สนมจงกุ้ยเฟยและอ๋องรุ่ยมีใจคิดชิงบัลลังก์ นอกจากตระกูลจงไม่ได้ตัดความสัมพันธ์กับพวกเขา ตรงกันข้ามยังช่วยพวกเขารวมอำนาจ นั่นก็เป็นคนที่ลงเรือลำเดียวกันแล้ว ทำได้เพียงต้องร่วมกันฝ่าฟัน ไม่อาจจะแยกทำใครทำมัน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าอยากจะเสี่ยงอันตรายเพราะเข้าตาจน สร้างศัตรูขึ้นมาอีกคนหนึ่ง

“เจ้าอย่าได้มากล่อมข้า!” หยางรุ่ยเฟิงมองหน้าจงฉิงเฟิง กล่าวอย่างหนักแน่น “ข้าไม่อาจเปลี่ยนความคิดและแผนการของข้า หากพวกเจ้าไม่เห็นด้วย จะไปตั้งแต่ตอนนี้ก็ได้ ทั้งจะเป็นเพียงผู้ชมอยู่ด้านข้าง ไม่ต้องออกเสียงก็ได้ แต่อย่าได้พูดเกลี้ยกล่อมอันใด ยิ่งอย่าได้พยายามขัดขวางข้า ข้าไม่อยากเลิกล้มกลางคัน!”

หยางรุ่ยเฟิงและจงฉิงเฟิงเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก เหมือนที่หยางรุ่ยเฟิงเข้าใจจงฉิงเฟิง จงฉิงเฟิงก็รู้ว่าตัวเองไม่อาจเปลี่ยนแปลงความตั้งใจของหยางรุ่ยเฟิงเช่นกัน เขาในยามนี้ทำได้เพียงต้องตัดสินใจ หากเลือกอยู่ฝ่ายเดียวกับหยางรุ่ยเฟิง ก็ต้องช่วยเหลือเขา ใช้ทุกโอกาสที่จะใช้ได้ พูดไล่ต้อนเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ให้นางจำต้องยอมรับความสัมพันธ์กับตระกูลจง ยอมรับความสนิทสนมกับสนมจงกุ้ยเฟย หวังให้ตระกูลซั่งกวนสามารถช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถ หรืออาจจะเลือกไม่ปริปากอันใด ให้หยางรุ่ยเฟิงแสดงละครเองเพียงคนเดียว

ไม่ว่าจะแบบใดล้วนไม่ใช่ทางเลือกที่จงฉิงเฟิงเต็มใจ เลือกอย่างแรก พวกเราอาจจะต้องล่วงเกินตระกูลซั่งกวน แม้จะไม่ถูกตระกูลซั่งกวนไล่ออกไปอย่างทันที แต่ก็อาจจะไม่ได้คบค้าสามาคมอันใดกับพวกเขาไปชั่วชีวิต ถึงกระทั่งอาจจะถูกตระกูลซั่งกวนลอบกัด ภายหลังแม้จะไม่อาจพูดได้ว่าก้าวเดียวก็เดินลำบาก แต่ย่อมไม่อาจราบรื่นดั่งตอนนี้ได้เช่นกัน เลือกอย่างหลัง อ๋องรุ่ยย่อมจะแค้นฝังใจ คงพยายามคิดทุกวิถีทางให้ตัวเองพบกับความลำบาก…แต่ว่า เขาจำเป็นต้องเลือก!

————————————

[1] ฝืนเด็ดแตงที่ยังไม่สุกจากต้น อุปมาว่า การกระทำเรื่องที่ฝืนมักจำนำผลลัพธ์ที่ไม่ค่อยดีมาให้