ตอนที่ 290 ส่งแขก

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

“ท่านอ๋องรุ่ย คุณชายใหญ่จง คุณหนูจงเชิญนั่งเถิด” ยังเร็วไปสำหรับเวลาอาหารเย็น ซั่งกวนฮ่าวจึงเชิญทั้งสามคนไปยังห้องรับแขก เขาไม่มีใจอยากจะร่วมโต๊ะอาหารกับทั้งสามคนนี้จริงๆ มี่เอ๋อร์พูดจนถึงขั้นนั้นแล้ว พวกเขาก็ยังหน้าหนารั้งตัวอยู่ เห็นได้ชัดว่ามีเจตนาไม่ดี แทนที่จะให้พวกเขาพูดเรื่องอะไรที่ทำให้คนไม่สบอารมณ์ กินอะไรไม่ลงบนโต๊ะอาหาร ยังมิสู้คลี่คลายเรื่องราวให้จบก่อน จะได้ไม่กระทบกับความอยากอาหาร

“ข้ามาเยี่ยมเยียนอย่างละลาบละล้วง หากมีสิ่งใดผิดพลาดไปขอผู้นำตระกูลซั่งกวนให้อภัยด้วย” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หยางรุ่ยเฟิงพบซั่งกวนฮ่าว ยามที่สองสามีภรรยาซั่งกวนฮ่าวไปเซิ่งจิงนั้นมีโอกาสได้พบสองครั้ง แต่ทำได้เพียงพยักหน้าทักทายเท่านั้น ดังนั้นแม้ว่าเขาอยากจะเรียกแบบเป็นกันเองเพื่อแสดงความสนิทสนม แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงใช้คำเรียกนี้ตามมารยาทไป

“ละลาบละล้วงนั้นมีอยู่บ้าง ท่านอ๋องไม่ได้ทักทายก่อนก็มาถึงหน้าประตูเสียแล้ว ยังคงไม่เหมาะสมเป็นอย่างมาก หวังว่าภายหลังท่านอ๋องจะไม่บุ่มบ่ามเช่นนี้อีก!” แต่ไหนแต่ไรซั่งกวนฮ่าวก็ไม่เคยให้ความสำคัญกับอ๋องรุ่ย ยิ่งไม่เคยเห็นลูกชายสนมคนโปรดที่คิดจะเป็นใหญ่ผู้นี้ในสายตามาก่อน ยามนี้กลับเกลียดชังขึ้นไปอีก เมื่อพูดออกมาจึงไม่ได้มีความเกรงใจมากมาย

“เอ่อ…” หยางรุ่ยเฟิงคาดไม่ถึงว่าซั่งกวนฮ่าวจะไม่ไว้หน้าเช่นนี้ ตกตะลึงอย่างแท้จริง ในใจนั้นอึดอัดเป็นอย่างมาก ทว่าใบหน้ากลับยังคงเผยยิ้มออกไป

“ไม่ทราบว่าท่านอ๋องมาที่ตระกูลซั่งกวนเพราะธุระอันใดหรือ?” ซั่งกวนฮ่าวกล่าวถามอย่างเรียบนิ่ง แม้จะกระจ่างใจถึงจุดประสงค์ที่มาของทั้งสามคน แต่ยามที่ควรแสร้งไม่รู้ ซั่งกวนฮ่าวย่อมทำไปตามนั้นเช่นกัน

“ข้าได้รับคำสั่งจากท่านแม่ให้มาเยี่ยมเยียนลูกสาวของลูกผู้น้องที่นางรักและเอ็นดูที่สุด สะใภ้ใหญ่ของตระกูลซั่งกวน เพราะว่าเวลากระชั้นชิด มาอย่างรีบเร่ง ดังนั้นจึงไม่ได้ส่งจดหมายมาบอกล่วงหน้าก่อน” หยางรุ่ยเฟิงรู้จักพูดไม่น้อย น่าเสียดายที่แม้เขาจะพูดอะไร ผลลัพธ์ก็เหมือนกันทั้งนั้น

“สายข่าวของจงกุ้ยเฟยคงถูกปิดกั้นกระมัง” ซั่งกวนฮ่าวถอนหายใจอย่างเรียบเย็น “ตอนงานแต่งของเจวี๋ยเอ๋อร์และมี่เอ๋อร์ คนส่วนมากล้วนรู้ว่ามี่เอ๋อร์ก็คือลูกสาวของจงเสวี่ยฉิงที่ถูกตระกูลจงทอดทิ้งในปีนั้น กลับคาดไม่ถึงว่าจงกุ้ยเฟยจะใช้เวลาถึงสามปีจึงค่อยทราบข่าวนี้ ไม่รู้จริงๆ ว่าเป็นเพราะประตูวังลึกดั่งมหาสมุทรหรือว่า…”

ถึงแม้หยางรุ่ยเฟิงจะหน้าหนาอย่างถึงที่สุด แต่ได้ยินคำพูดนี้ของซั่งกวนฮ่าวก็ยังคงอดหน้าแดงไม่ได้ รู้ว่าความคิดของพวกตนคงไม่อาจปกปิดต่อหน้าซั่งกวนฮ่าวได้ แต่บางเรื่องก็เป็นเช่นนี้ รู้นั้นรู้ ขอเพียงไม่ได้พูดออกมาอย่างชัดเจน เช่นนั้นทุกคนล้วนแสร้งเป็นไม่รู้ได้

“ข้าว่าไม่ใช่ประตูวังลึกดั่งมหาสมุทรอะไร แต่บางคนมีเจตนาร้ายแฝงอยู่ คิดว่ามี่เอ๋อร์ในยามนี้คุ้มค่าที่จะใช้ประโยชน์จึงโผล่หน้าออกมาสานสัมพันธ์!” ซั่งกวนเจวี๋ยประคองเยี่ยนมี่เอ๋อร์เข้ามาอย่างระวัง มองทั้งสามคนด้วยแววตาเย็นเยียบอย่างถึงที่สุด น้ำเสียงก็ไม่ได้ดีมากนัก

“เจวี๋ยเอ๋อร์อย่าได้บุ่มบ่ามเช่นนี้ ยามนี้มี่เอ๋อร์ก็สุขสบายดีไม่ใช่หรือ” ซั่งกวนฮ่าวตำหนิอย่างไม่จริงจังนัก “วันนี้มี่เอ๋อร์ทำเรื่องกระทบกับครรภ์ล้วนต้องโทษนางที่ไม่ระวัง อย่าได้พานโกรธคนอื่น!”

นางทำเรื่องกระทบกับครรภ์? ไฉนนางจึงไม่รู้? เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองสองพ่อลูกทั้งลอบขำในใจ หลังจากตื่นขึ้นมา ทราบว่าทั้งสามคนที่ไม่รู้จักความเหมาะสมยังไม่จากไปไหนก็รู้ทันที พวกเขายังไม่ยอมแพ้ ยังคิดจะพยายามครั้งสุดท้าย ปัญหาคือพวกเขาเคยคิดบ้างหรือไม่ว่า หากไม่ใช่เพราะตัวเองมั่นใจว่าตระกูลซั่งกวนจะหนุนหลังให้นาง นางอาจจะผลักภาระ ทั้งอาจจะหลบหลีก แต่ย่อมไม่อาจระบายโทสะด้วยคำพูดตรงๆ เช่นนั้นได้ รั้งอยู่ต่อไปก็จะได้รับแต่การเหยียดหยามมากขึ้นเท่านั้น!

“ท่านพี่ทำเรื่องที่กระทบครรภ์หรือ?” จงอิ้งซีเผยใบหน้ากังวลมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ กล่าวอย่างระวัง “ไม่ทราบว่าเป็นเพราะตอนบ่ายอิ้งซีพูดอะไรไม่สมควรจึงกระทบท่านพี่หรือไม่ หากเป็นเช่นนั้น อย่างไรขอท่านพี่ลงโทษด้วย!”

“ไม่ได้มีอะไร!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างเรียบนิ่ง “เดิมทีร่างกายของข้าก็ไม่ได้แข็งแรงมาก รับความเหน็ดเหนื่อยไม่ไหว ทั้งไม่อาจรับโทสะอะไรได้ ดังนั้นจึงไม่สบายอยู่บ้าง หมอก็มาดูแล้ว หลังจากกินยาพักครึ่งวัน ย่อมไม่มีปัญหาอันใดแล้ว”

“ยามที่สะใภ้ใหญ่จากไปยังดีๆ อยู่เลย เหตุใดเวลาชั่วพริบตาก็ไม่สบายเสียแล้ว?” หยางรุ่ยเฟิงที่เห็นพวกสนมใช้วิธีแสร้งป่วยเพื่อแย่งชิงความโปรดปรานจนชินตาไม่คาดคิดแม้แต่น้อยว่านี่จะเป็นคำพูดที่ซั่งกวนฮ่าวกล่าวออกมา เดิมทีคิดว่านั่นเป็นเพียงแผนการของเยี่ยนมี่เอ๋อร์เท่านั้น แสร้งกล่าวอย่างไม่เข้าใจ “อาการป่วยนี้เกิดได้แปลกประหลาดเกินไปแล้วกระมัง!”

“ข้าก็คิดเช่นนั้น!” ซั่งกวนฮ่าวเผยท่าทีราวกับคนแก่ออกมาอย่างหน้าไม่อายแม้แต่น้อย กล่าวเสียงเย็น “แม้ว่ามี่เอ๋อร์ดูเหมือนเปราะบาง แต่กลับน้อยครั้งที่จะเจ็บป่วย ปรากฏว่าหลังจากพบพวกท่านก็ล้มป่วยขึ้นมา ข้าอยากรู้ว่าตกลงเป็นเรื่องอะไรกันแน่ที่ทำให้มี่เอ๋อร์ไม่สบายใจขนาดนั้น แทบที่จะทำร้ายทายาทตระกูลซั่งกวนของข้า!”

“ข้าคิดว่าอาจจะเพราะพวกเรามาอย่างกะทันหันไปอยู่บ้าง สะใภ้ใหญ่จึงไม่อาจรับบางเรื่องได้ในช่วงเวลาสั้นๆ จิตใจว้าวุ่น จึงได้เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นมา!” จงฉิงเฟิงรู้ตั้งนานแล้วว่าพ่อลูกซั่งกวนฮ่าวย่อมปกป้องเยี่ยนมี่เอ๋อร์ และหลังจากพบทั้งสองคน ก็ยิ่งเข้าใจว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์มีตำแหน่งที่ไม่ธรรมดาในตระกูลซั่งกวน ไหนเลยยังจะร่วมพูดเหน็บแนมคนไปกับหยางรุ่ยเฟิง ถือโอกาสกล่าว ทั้งส่งสายตาเป็นนัยให้หยางรุ่ยเฟิงอย่างระมัดระวังไปพลาง ให้เขาอย่าได้ดึงดันทำตามใจตนเอง

“จิตใจว้าวุ่น? ข้าว่าไม่ใช่!” หยางรุ่ยเฟิงกลับไม่อยากคว้าโอกาสพูดตามน้ำไปกับจงฉิงเฟิงแม้แต่น้อย กล่าวทั้งรอยยิ้ม “ข้าว่าสะใภ้ใหญ่ย่อมกำลังครุ่นคิดว่าจะเตรียมของขวัญอะไรให้ในโอกาสพบหน้าท่านแม่จนปวดหัวกระมัง ที่จริงไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น แต่ไหนแต่ไรท่านแม่ก็ไม่ใช่คนที่คิดเล็กคิดน้อย ขอเพียงแค่เจ้าไปด้วยน้ำใจ ก็เพียงพอแล้ว”

“ข้าพูดไปแล้ว ข้าไม่อยากสานสัมพันธ์อะไรกับคนตระกูลจงรวมทั้งกุ้ยเฟย หรือตอนบ่ายท่านอ๋องได้ยินไม่ชัดเจน?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองหยางรุ่ยเฟิงอย่างเย็นเยียบ เขาคิดว่าตัวเองจะคล้อยตามคำพูดเขาเพราะพ่อลูกซั่งกวนฮ่าวอยู่ด้วยอย่างนั้นหรือ? หากเป็นเช่นนั้น ตัวเองคงทำให้คนผิดหวังจริงๆ แล้ว!

“หรือสะใภ้ใหญ่จะทำตัวเป็นคนรังแกอาจารย์ทรยศบรรพบุรุษ ยอมให้คนก่นด่าอย่างเหยียดหยามเช่นนั้นจริงๆ?” แม้ว่าหยางรุ่ยเฟิงจะไม่มั่นใจว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะถูกเขาจูงจมูก แต่ท่าทีเช่นนี้ของนางยังคงทำให้เขาเหนือความคาดหมายเป็นอย่างมาก แต่ก็เพียงตะลึงเล็กน้อยเท่านั้น ก่อนจะย้อนถามอย่างเจ็บแสบ ในเมื่อนางไม่ให้เกียรติเขา ตัวเองก็ไม่มีความจำเป็นต้องไว้หน้านางเช่นกัน

“รังแกอาจารย์ ทรยศบรรพบุรุษ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หัวเราะขึ้นมาอย่างเยียบเย็น “ผู้ที่ไม่เชื่อฟังคำสั่งบิดาไม่ใช่ข้าแต่เป็นคนอื่น คนผู้นี้เป็นใครทุกคนย่อมรู้อยู่แก่ใจ! ข้าเพียงแค่ทำตามความจริงที่ว่าท่านตาถูกขับไล่ออกจากตระกูลแล้ว ไม่ได้ร้องขอการดูแลจากตระกูลจงยามที่ไร้ที่พึ่งพา ทั้งไม่ยินดีที่จะถูกตระกูลจงใช้ประโยชน์หลังจากที่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขแล้วเช่นกัน อืม…ข้าทำเช่นนี้ นับว่าไม่เหมาะสมกับฐานะสะใภ้ใหญ่เท่าใด แม้ตระกูลซั่งกวนจะเป็นตระกูลเก่าแก่ แต่ก็ถือเป็นชาวยุทธภพเช่นกัน ชาวยุทธ์นั้นให้ความสำคัญเรื่องมีบุญคุณต้องทดแทน มีแค้นต้องชำระ ปีนั้นท่านแม่ถูกคนจับเป็นตัวประกัน ความแค้นที่ใช้ชีวิตมาบีบบังคับข้าดูเหมือนจะลืมไปเสียแล้ว!”

ยามที่หยางรุ่ยเฟิงไม่ทันดึงสติกลับมา ซั่งกวนฮ่าวก็แลกเปลี่ยนแววตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มกับซั่งกวนเจวี๋ย หากมี่เอ๋อร์อยากจะชำระแค้นในปีนั้นพวกเขาย่อมไม่คัดค้านแม้แต่น้อย

“นี่คือคำพูดที่สะใภ้ใหญ่ตระกูลซั่งกวนควรจะพูดอย่างนั้นหรือ?” หยางรุ่ยเฟิงมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด กล่าวทั้งถอนหายใจ “ท่านแม่เอาแต่พูดว่าท่านน้าใจกว้างเห็นแก่ส่วนรวมอย่างไร รักใคร่ครอบครัวอย่างไร ทั้งสนิทสนมกับนางอย่างไร คาดไม่ถึงว่าลูกสาวของนางกลับมีท่าทีเช่นนี้ หากท่านแม่รู้เข้า ย่อมต้องเสียใจผิดหวังเป็นแน่!”

“นางเสียใจผิดหวังก็ถูกแล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองเขาอย่างเยือกเย็น ทั้งมองสองพี่น้องตระกูลจงที่นอกจากพูดตอนแรกเพียงสองสามประโยคก็ไม่พูดอันใดอีกอย่างเย็นชา “เดิมทีคิดว่าสามารถใช้หมากที่อยู่ในการควบคุม เมื่อไม่อาจใช้ประโยชน์ได้ จงกุ้ยเฟยย่อมเสียใจผิดหวังเป็นธรรมดา อ๋องรุ่ย แม้ว่าท่านจะหน้าหนา ทั้งหูยังมีปัญหา กระนั้นข้าก็ไม่คิดมากที่ต้องพูดอีกครั้ง ข้าไม่ใช่หมากที่ท่านสามารถใช้งานได้ อย่างไรขอให้ยอมแพ้ต่อความคิดเพ้อฝันเช่นนั้นเถิด!”

“คำพูดนี้กล่าวได้ดี!” ซั่งกวนเจวี๋ยสนับสนุนภรรยาทันที กล่าวยิ้มๆ “คนของตระกูลซั่งกวน ไม่ได้เป็นหมากที่จะถูกคนใช้ประโยชน์ได้อยู่แล้ว ประโยคนี้ของมี่เอ๋อร์พูดตรงใจข้ายิ่งนัก!”

“เจ้า!” หยางรุ่ยเฟิงคล้ายจะโมโหจริงๆ แต่เขาที่พยายามส่งสายตาเป็นนัยให้จงฉิงเฟิงกลับถูกพวกซั่งกวนฮ่าวทั้งสามคนมองออกอย่างชัดเจน เขาเพียงพูดไม่ออกแต่หาข้ออ้างเท่านั้น

“ข้าคิดว่าสะใภ้ใหญ่คงเข้าใจผิดแล้ว!” เวลานี้จงฉิงเฟิงก็ไม่อาจเห็นแก่ตัวได้ เขาไม่สนใจสายตาของจงอิ้งซี กล่าวทั้งรอยยิ้มบาง “พวกเราเดินทางมาไกลถึงลี่โจวด้วยความจริงใจ สิ่งที่คิดก็คืออยากให้ครอบครัวของปู่น้อยอย่าได้มีเรื่องเสียใจอันใดหลงเหลืออยู่ คาดไม่ถึงว่าจะถูกสะใภ้ใหญ่เข้าใจผิดเช่นนี้ ท่านในยามนี้เป็นสะใภ้ใหญ่ตระกูลซั่งกวน ย่อมไม่มีความจำเป็นต้องนึกถึงตระกูลจง ยิ่งไม่มีความจำเป็นต้องนับตระกูลจงเป็นญาติ พวกเราก็ไม่อาจขอร้องเกินตัว เพียงแต่หวังว่าหากมีวันใดที่สะใภ้ใหญ่พบเจอกับเรื่องลำบาก อย่าได้ลืมว่าตระกูลจงก็คือตระกูลมารดาของท่าน แม้จะไม่แน่ว่าสามารถช่วยเรื่องให้ท่านสมปรารถนาทั้งหมดได้ แต่ขอเพียงแค่ตระกูลจงมีกำลังเพียงพอ ย่อมช่วยเหลือท่านแน่”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้กล่าวอะไร แต่ซั่งกวนเจวี๋ยกลับกล่าวอย่างเรียบเย็น “จุดนี้คุณชายใหญ่จงไม่จำเป็นต้องกังวล มี่เอ๋อร์เป็นภรรยาของข้า นางมีเรื่องอันใดย่อมอยู่ในความรับผิดชอบของข้าที่เป็นสามี ไม่มีความจำเป็นต้องรบกวนตระกูลจง…แต่ว่าคำพูดก็กล่าวออกมาแล้ว กระทั่งสะใภ้ใหญ่ซั่งกวนยังเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก ทำไม่ได้ แต่ตระกูลจงตระกูลเดียวกลับทำได้อย่างนั้นหรือ? คุณชายใหญ่จงประเมินตระกูลซั่งกวนต่ำเกินไปหรือประเมินตระกูลจงสูงเกินไปกันแน่? ข้านั้นสงสัยจริงๆ!”

“ข้าว่าตระกูลจงมองตัวเองสูงไปอยู่บ้าง!” ซั่งกวนฮ่าวมองจงฉิงเฟิงอย่างเยียบเย็น กล่าวตักเตือนอย่างเรียบนิ่ง “ได้ยินว่ายามนี้ตระกูลจงทระนงตนว่ายอดเยี่ยมในวรรณกรรมและประวัติศาสตร์เป็นอันดับหนึ่ง ไม่รู้ว่าหลังจากพี่หรูหลินทราบเรื่องจะรู้สึกอย่างไร?”

จงฉิงเฟิงเผยใบหน้าซีดเผือด จงอิ้งซีกลัยยังคงยิ้มอย่างไร้เดียงสา “ท่านลุงซั่งกวนและพี่เขยพูดอะไรกัน ตระกูลจงไหนเลยจะกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นอันดับหนึ่ง! กระทั่งตระกูลชุยยังถ่อมตัวว่าวรรณกรรมไม่ค่อยเท่าใด แล้วจะมีใครกล้าพูดเรื่อยเปื่อยเช่นนั้นได้ พี่ใหญ่เพียงคิดว่าท่านพี่อยู่ลำพังคนเดียว อยากจะให้กำลังใจและปลอบใจท่านพี่สักหน่อย ให้นางรู้ว่าตระกูลจงจะสนับสนุนนางอยู่เบื้องหลังเท่านั้น ไม่มีใจคิดอื่นใด!”

“ดีแล้วที่ไม่มี!” ซั่งกวนเจวี๋ยมองจงอิ้งซีอย่างเยียบเย็น จู่ๆ ก็ขมวดคิ้ว “เหตุใดคุณหนูจงจึงเรียกมี่เอ๋อร์ว่าท่านพี่อย่างไร้เหตุผล ข้าอยากจะให้คุณหนูจงกระจ่างชัดเสียหน่อย มี่เอ๋อร์สกุลเยี่ยนไม่ได้สกุลจง อย่าได้ตีสนิทตามใจเช่นนี้”

“ข้า…” รอยยิ้มของจงอิ้งซีแข็งทื่อเล็กน้อย แต่ก็คิดจะแก้ต่างให้ตัวเองทันที

“อีกอย่าง คนอย่างคุณหนูที่ไม่ได้รับการเชื้อเชิญ ทั้งไม่ส่งจดหมายมาก่อนล่วงหน้า ก็มาถึงหน้าบ้านคนอื่นเพื่อสานสัมพันธ์โดยพลการ เหตุใดจึงมีสิทธิ์เรียกมี่เอ๋อร์เป็นพี่น้อง ทำลายชื่อเสียงมี่เอ๋อร์อย่างไร้เหตุผลเช่นนี้” ซั่งกวนเจวี๋ยมองจงอิ้งซีอย่างรังเกียจ “คุณหนู อย่างไรอย่าได้ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนอย่างเรื่อยเปื่อยเช่นนี้จะดีกว่า มิเช่นนั้น ยังจะแต่งออกไปที่ไหนได้อีก!”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์กัดลิ้นเบาๆ ไม่ให้ตัวเองหลุดขำออกมา ความเห็นเช่นนี้ของซั่งกวนเจวี๋ย อย่าพูดเลยว่าจงอิ้งซีจะได้แต่งกับตระกูลดีๆ แต่กระทั่งอยากจะให้เป็นเหมือนเมื่อก่อนก็แทบเป็นไปไม่ได้แล้ว!

“เอาเถิด มากกว่านี้ข้าก็ไม่อยากพูดแล้ว!” ซั่งกวนฮ่าวรู้สึกว่าใช้เวลาไปพอสมควรแล้ว กล่าวอย่างเรียบเย็น “ท่าทีของมี่เอ๋อร์นั้นชัดเจน ไม่อยากจะอิงแอบผู้มีอิทธิพลหรือเกี่ยวข้องอันใด ยิ่งไม่อยากให้ตัวเองกลายเป็นสะพานของตระกูลซั่งกวนให้คนอื่นใช้ประโยชน์ เมื่อก่อนตระกูลจงเห็นมี่เอ๋อร์เป็นเหมือนคนแปลกหน้า ยามนี้ก็เหมือนกัน ข้าหวังว่าจะไม่มีการถือโอกาสอ้างเรื่องอะไรมาแสดงความเห็นของตัวเองอีก ทั้งพูดข่าวลืออะไรให้คนเข้าใจผิดไป ท่าทีของมี่เอ๋อร์ก็คือท่าทีของตระกูลซั่งกวน ข้าไม่อยากให้ทั้งสามคนรั้งอยู่ที่ลี่โจว ยิ่งไม่อยากให้พวกเจ้ารบกวนมี่เอ๋อร์และตระกูลซั่งกวนผ่านลู่ทางอันใดอีก หากพวกเจ้าไม่อยากจะยอมรับ ข้าคงทำได้เพียงพูดประโยคเดียว แต่ไหนแต่ไรตระกูลซั่งกวนก็ไม่ได้ใจดีมีเมตตา!”

“นี่ผู้นำตระกูลซั่งกวนกำลังข่มขู่อย่างนั้นหรือ?” หยางรุ่ยเฟิงแทบจะคลั่งอยู่รอมร่อ เขาคาดไม่ถึงว่าพวกเขาจะปกป้องเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย ยิ่งนึกไม่ถึงว่าซั่งกวนฮ่าวจะไม่ไว้หน้าขนาดนี้ นางก็แค่หญิงงามคนหนึ่งไม่ใช่หรือ?

“ใช่!” ซั่งกวนฮ่าวยอมรับอย่างตรงๆ “อ๋องรุ่ยจะไม่สนใจการข่มขู่ของตระกูลซั่งกวนก็ได้ แต่ผลในภายหลังจะเป็นอย่างไร ขอให้คิดเอาเองเถิด! เด็กๆ ส่งแขก!”

ไม่รอให้ทั้งสามคนได้มีปฏิกิริยาอะไรอีก พวกบ่าวใช้ที่รออยู่ด้านข้างก็ ‘เชิญ’ ทั้งสามคนออกจากตระกูลซั่งกวนอย่างไม่เกรงใจหลังจากพวกเขายืนมั่นคงแล้ว กลับเห็นว่าไม่ไกลมากมีอาจารย์อี้สื่อผู้หนึ่งกำลังตวัดพู่กันในมือเขียนหนังสืออย่างรวดเร็ว…