บทที่ 286: กรีดร้องเท่าที่คุณต้องการ ฉันต้องการมัน
สามวันผ่านไปแล้วนับตั้งแต่ที่โรเอลเริ่มตั้งค่ายในหอพักของเมลตี้ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของเมลตี้เลย ภายในระยะเวลาสามวันนี้ เธอยังคงมุ่งหน้าไปยังถนนสายการค้า ชมรมดนตรี ร้านกาแฟ และทุก ๆ ที่ที่เธอเคยไปขณะสืบสวนคดีของเชอริล
เป็นที่น่าสังเกตว่าสถานที่เหล่านี้เป็นสถานที่สาธารณะที่มีผู้คนพลุกพล่านจำนวนมากในช่วงวันหยุด และเมลตี้ก็จะทำให้แน่ใจว่าตนเองกลับมาพร้อมกับฝูงชนในตอนกลางคืนเสมอ
เพื่อความปลอดภัยของตัวเธอเอง เมลตี้ไม่สามารถอยู่คนเดียวได้ แต่ในขณะเดียวกันเธอก็ต้องทำตัวตามปกติเพื่อให้ศัตรูไม่เอะใจ นี่คือสิ่งที่โรเอลร้องขอจากเธอ
สิ่งนี้ได้สร้างความเครียดให้กับเด็กสาวที่ไม่เคยได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างมาก
หัวใจของเมลตี้เต้นระรัวอย่างไม่สบายใจ ขณะที่เธอเดินไปตามถนนการค้า นับตั้งแต่ที่เธอได้ยินเรื่องราวทั้งหมดจากโรเอล ความรู้สึกว่าตนเองกำลังถูกจับตามองก็รุนแรงขึ้นมา เธอพยายามอย่างเต็มที่ที่จะปล่อยให้มันผ่านไป แต่ในวันนี้สัญชาตญาณของเธอกลับกรีดร้องเตือนไม่หยุด
ลางสังหรณ์เกี่ยวกับลางร้ายได้เกิดขึ้นในใจของเมลตี้ เธอเข้าใจโดยสัญชาตญาณว่าพวกลัทธิชั่วร้ายนั้นกำลังจะเคลื่อนไหวในไม่ช้า
การรับรู้นี้ทำให้ใบหน้าของเด็กสาวแข็งทื่อ และมือของเธอก็ไม่ยอมหยุดสั่น เมลตี้อยู่ในสภาพที่ย่ำแย่จนเพื่อน ๆ ของเธอสังเกตเห็นสภาพผิดธรรมชาติ และเริ่มถามว่าเธอสบายดีรึเปล่า ช่วงเวลาแห่งความเงียบงันดำเนินไปในขณะที่ใบหน้าของโรเอลและเชอริล ผุดขึ้นในใจของเธอ จนในที่สุดเธอก็เอาชนะความกลัวและบอกว่าอาการของเธอเกิดจากประจำเดือน
มันเป็นคำอธิบายที่สมเหตุสมผล จึงไม่มีใครคิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ เนื่องจากสภาพที่ย่ำแย่ของเมลตี้ พวกเขาจึงตัดสินใจกลับหอพักไปด้วยกัน
ทันทีที่เมลตี้เข้าไปในห้องพัก เธอก็ล็อกประตูให้เร็วที่สุด วิ่งไปที่โซฟาและกอดหมอนแน่น เธอไม่อาจห้ามร่างกายไม่ให้สั่นสะท้านได้
“คุณโรเอล ยังอยู่ที่นี่รึเปล่า?”
“ใช่ฉันยังอยู่ที่นี่”
เสียงที่ดังก้องมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ทำให้เมลตี้โล่งใจอย่างท่วมท้นจนน้ำตาของเธอเริ่มไหลลงมา เธอเอาหน้าซุกหลังหมอนพร้อมกล่าวขอโทษด้วยน้ำเสียงสะอื้น
“ฉันขอโทษ คุณโรเอล ฉัน…”
ในมิติคู่ขนานสีเทา โรเอลนั่งบนโซฟาอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเธอ เมื่อมองไปยังเด็กสาวที่หวาดกลัวสะอื้นร้องไห้ เขาก็ถอนหายใจเบา ๆ
“… เข้มแข็งไว้ ฉันมีความรู้สึกว่าเขาจะปรากฏตัวในอีกไม่ช้า เราอยู่ในช่วงสุดท้ายของการแข่งขันแล้ว”
เสียงอ่อนโยนของโรเอลช่วยปลอบโยนเมลตี้ เด็กสาวพยักหน้าเล็กน้อย ใช้เวลาสักครู่ก่อนจะปาดน้ำตาบนใบหน้าและสงบสติอารมณ์ตัวเอง
“ขอโทษสำหรับความขี้ขลาดของฉันด้วย คุณโรเอล”
“ไม่หรอก เธอกล้าหาญมาก”
เพียงแค่มองไปที่เด็กสาวตรงหน้าก็ทำให้หัวใจของโรเอลเจ็บปวดเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าทั้งร่างกายและจิตใจของเมลตี้มาถึงขีดจำกัดแล้ว
ถึงเวลาแล้วที่จะจบเรื่องราวทั้งหมด
ด้วยความคิดเช่นนั้น โรเอลกำไม้เท้าของตนเอาไว้แน่นและให้คำมั่นสัญญา
“ถ้าฉันจำไม่ผิด คนร้ายจะเคลื่อนไหวในคืนนี้ ในนามของเทพีเซีย ฉันสาบานว่าฉันจะปกป้องเธอให้ปลอดภัยเอง”
…
ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรมากที่นี่
ในป่านอกเขตที่อยู่อาศัยที่สามทางตะวันตกเฉียงใต้เล็กน้อย ชายวัยกลางคนสวมเสื้อคลุมของอาจารย์กำลังมองดูห้องพักของเมลตี้อย่างตั้งใจ หัวใจที่ประหม่าในตอนแรกของเขาได้สงบลงแล้วหลังจากการสังเกตการณ์ร่วมสามวัน
คำสั่งอันเข้มงวดจากทูต ทำให้มาซีอุสประหม่ามาก เขาสงสัยว่าตนเองทำพลาดไปแล้วจริง ๆ รึเปล่า แต่เขาก็ไม่พบความผิดปกติใด ๆ กับการเคลื่อนไหวของเมลตี้ ตารางชีวิตส่วนใหญ่ของเธอยังเหมือนกับเมื่อก่อน และสถานที่ที่เธอไปก็เป็นจุดตามปกติของเธอเช่นกัน
เมลตี้กลับมาที่หอพักเร็วกว่าเดิมมากในช่วงสองวันที่ผ่านมา แต่นั่นก็ไม่มีอะไรต้องกังวล ในทางกลับกัน มาซีอุสจะกังวลมากกว่าหากคนที่ใช้เวลาหนึ่งสัปดาห์ในการค้นหาคนหายอย่างไร้ประโยชน์ ไม่ได้ดูวิตกกังวลและหมดแรง
เนื่องจากความหวาดหวั่นที่ทูตมีเกี่ยวกับผู้ถือแหวนกุหลาบน้ำเงิน มาซีอุสจึงใช้เวลาในการสังเกตสิ่งที่เรียกว่าชมรมสารพัดจ้าง และสิ่งที่เขาเห็นช่วยบรรเทาความกังวลของเขาลงได้
ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาสมาชิกของฝ่ายกุหลาบม่วง ได้แวะมาที่สำนักงานของชมรมสารพัดจ้าง เพื่อสร้างปัญหาทุกวัน มันเป็นไปไม่ได้เลยที่นักเรียนชั้นปีที่ 1 จะสามารถต่อต้านการกดขี่จากรุ่นพี่ปี 3 ได้
อันที่จริง มีข่าวลือว่ารองหัวหน้าสองคนของชมรมสารพัดจ้าง หยุดปรากฏตัวที่สำนักงานด้วยความกลัว ไม่ก็กำลังเก็บตัวอยู่ในคฤหาสน์สีกรมท่าค่ายของพวกเขา ภายใต้ข้ออ้างว่ากำลังคิดหามาตรการตอบโต้ร่วมกันกับโรเอล แอสคาร์ด หัวหน้าของพวกเขา
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกมองว่าเป็นคนขี้ขลาด ฝ่ายกุหลาบน้ำเงินถึงกับจ้างอาจารย์เพื่อขนก้อนหินไปสร้างสระว่ายน้ำ การกระทำที่ขี้ขลาดของพวกเขาทำให้มาซีอุสหัวเราะร่า
…
“จะไปกลัวตระกูลแอสคาร์ดทำไม? พวกเขาก็แค่ตระกูลขุนนางธรรมดา ๆ จากจักรวรรดิเซนต์เมซิท ท่านทูตกังวลเกินไปแล้ว”
มาซีอุสคิดว่าทูตและคนอื่น ๆ กลัวกันเกินไปเนื่องจากความพ่ายแพ้ที่พวกเขาเคยได้รับในอดีต มันก็จริงอยู่ที่ตระกูลแอสคาร์ดเคยเป็นภัยคุกคามต่อพวกเขาในอดีต แต่มันก็จบไปนานแล้ว
ตระกูลแอสคาร์ดอาจจะเจริญรุ่งเรืองมาหนึ่งชั่วอายุคน แต่ความเจริญรุ่งเรืองนั้นจะคงอยู่ได้นานสักแค่ไหนกันเชียว?
ในช่วงสองสามทศวรรษที่ผ่านมาไม่มีข่าวสำคัญใด ๆ จากตระกูลแอสคาร์ดเลย ดังนั้นมาซีอุสจึงไม่รู้อะไรมากเกี่ยวกับพวกเขา และไม่ใส่ใจที่จะเรียนรู้เพิ่มเติมเช่นกัน ในความคิดของเขาต่อให้เป็นตระกูลนักวิชาการระดับสูงในเลนสเตอร์ ซึ่งอ้างว่าตนมีผู้มีพลังเหนือธรรมชาติมากที่สุดในโลก เขาก็ยังสามารถบดขยี้พวกนั้นลงได้อย่างง่ายดาย
ยังไงซะโรเอลก็แค่ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 4 ไม่ว่าเขาจะมีความสามารถแค่ไหนก็ตาม เขาจะทำอะไรได้? โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้ที่เขากำลังถูกกดขี่โดยฝ่ายกุหลาบม่วง?
ขอบริมฝีปากของมาซีอุส ม้วนขึ้นขณะที่เขาหยิบกล่องเล็ก ๆ ออกมาแล้วเปิดขึ้น ทันใดนั้นวัตถุสีดำก็พุ่งออกมาจากกล่อง
มันคือดวงตาของมนุษย์
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมลัทธิชั่วร้ายของมาซีอุส ต้องหาเหยื่อรายใหม่อย่างต่อเนื่อง พวกเขาต้องการวัตถุดิบสำหรับการทดลอง อย่างไรก็ตาม ‘วัตถุดิบ’ นั้นต้องมาจากผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่แข็งแกร่ง
เนื่องจากพวกนั้นมีพลังเวทมากกว่า และไม่ได้ต้องการการประมวลผลเพิ่มเติมก่อนที่จะนำมาใช้
มาซีอุสสร้างการเชื่อมต่อพลังเวทกับดวงตามนุษย์อย่างรวดเร็วก่อนที่จะส่งมันเข้าไปในห้องพัก เขายกนิ้วหนึ่งนิ้วขึ้น ซึ่งส่องแสงจากพลังเวทที่ไหลเวียนเป็นจังหวะ วางมันไว้บนตาซ้าย
ขอบเขตการมองเห็นของมาซีอุสเปลี่ยนไปเป็นของดวงตามนุษย์ที่ลอยอยู่ทันที ผ่านหน้าต่างของห้องพัก เขาเข้าไปในห้องของเมลตี้บนชั้นสาม ไม่นานนักที่เขาพบกับเด็กสาวคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะและจดจ่ออยู่กับงานที่เธอได้รับมอบหมาย
ต้องขอบคุณการเคลื่อนไหวของดวงตามนุษย์ที่เงียบสนิท เมลตี้ไม่ทันสังเกตเห็นผู้บุกรุกในห้องของเธอเลยแม้แต่น้อย
“ไม่มีใครนอกจากเธอแล้ว”
มาซีอุสพึมพำขณะที่เขาสำรวจทุกซอกทุกมุมของห้องพัก
ไม่น่าแปลกใจเลยเนื่องจากเขาได้ซุ่มสังเกตเธอมาสอง สามวันแล้ว เมลตี้นั้นยังไม่มีอะไรน่าสังเกตเป็นพิเศษนอกจากความจริงที่ว่าดวงตาของเธอดูแดงและบวมขึ้นเล็กน้อย
เธอกำลังร้องไห้ให้กับเพื่อนที่หายไปของเธองั้นเหรอ?
มาซีอุสอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะในความโง่เขลาของเด็กสาว เขามั่นใจว่าทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของตนแล้ว และสั่งให้ตามนุษย์ออกมาจากบ้าน
“อย่ากังวลไป วันแห่งการค้นหาของเธอได้สิ้นสุดลงแล้ว มันถึงเวลาที่คนอื่นจะตามหาเธอแทนแล้ว”
มาซีอุสประกาศด้วยรอยยิ้มขณะที่เขาเหลือบมองไปบนท้องฟ้าที่ค่อย ๆ มืดลง
ขณะเดียวกันในมิติคู่ขนานสีเทาโรเอล เฝ้ามองขณะที่ดวงตาของมนุษย์ลอยออกจากบ้านไป พร้อมรอยยิ้มลึก ๆ ที่เต็มไปด้วยจิตสังหารที่ปรากฏบนริมฝีปากของเขา
“ในที่สุดก็มาแล้วสินะ”
…
ในช่วงค่ำ ทั่วทั้งหอพักตกอยู่ในความเงียบสงัด มาซีอุสรอคอยอย่างอดทนเพื่อให้แสงในห้องของเมลตี้ดับลง เขายืนยันอีกครั้งว่าไม่มีใครอยู่แถว ๆ นี้จริง ๆ ก่อนจะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว
มาซีอุสโบยบินอย่างชำนาญภายใต้ท้องฟ้าอันมืดมิด ทำให้ยากต่อการมองเห็นตัวเขาจากเงามืด เขาแทรกซึมเข้าไปในอาคารหอพักอย่างเงียบ ๆ และภายในเวลาไม่นาน เขาก็อยู่บนชั้นสาม ยืนอยู่หน้าประตูหอพักของเมลตี้
แทนที่จะเคาะประตูหรือพังล็อก ร่างกายของเขากลับกลายเป็นสารเหนียวเหนอะหนะ ทำให้เขาสามารถลอดผ่านรอยใต้ประตูได้
ร่างกายของมาซีอุสค่อย ๆ ไหลเข้าไปในห้องทีละนิด ก่อนที่จะกลับไปเป็นร่างเดิมอย่างรวดเร็ว มันเป็นการเคลื่อนไหวที่เงียบงันและไม่ทำให้เกิดความปั่นป่วนเลยแม้แต่น้อย เด็กสาวที่นอนหลับอยู่ในห้องนอนนั้นยังคงหลับสนิท และก็ไม่มีการเคลื่อนไหวได้ ๆ จากห้องใกล้ ๆ เช่นกัน
ภายในสภาพแวดล้อมอันเงียบสงบ มาซีอุส เดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นอันมืดมิด มองเข้าไปในห้องนอนที่เมลตี้อยู่บนเตียง ล้วงเข้าไปในกระเป๋าของตนและเตรียมที่จะเคลื่อนไหว
เขาวางแผนเอาไว้หมดแล้ว
หลังจากฆ่าเมลตี้ มาซีอุสจะระเหยร่างของเธอโดยใช้กรดกัดกร่อน เมื่อกลิ่นเหม็นจางไป เด็กสาวเจ้าปัญหาก็จะหายไปจากโลกนี้อย่างไร้ร่องรอย และเขาก็จะไม่ต้องเผชิญหน้ากับความโกรธของทูตอีกต่อไป
เนื่องจากสถานการณ์พิเศษรอบ ๆ เลนสเตอร์ในขณะนี้ มาซีอุสจึงตัดสินใจจะให้องค์กรของเขาหยุดการดำเนินงานทั้งหมดหลังจากแก้ไขปัญหานี้ พวกเขาจะรออีกสองสามปีเพื่อให้ทุกอย่างสงบลง ก่อนจะเริ่มการตามล่าหาวัสดุทดลองที่มีคุณภาพใหม่อีกครั้ง
ในมุมมองของเขา ความพยายามของเมลตี้เป็นเพียงแค่เรื่องตลกเท่านั้น เธอสามารถมีชีวิตที่มีความสุขและโง่เขลาได้ แต่เธอกลับแส่หาเรื่องโดนที่ไม่จำเป็น โดยไม่รู้เลยว่าความอยากรู้อยากเห็นนี่แหละที่ฆ่าแมว
มาซีอุสจะยังคงเป็นอาจารย์ที่ได้รับการยกย่องในสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า เป็นที่เคารพนับถือของนักเรียนทุกคน องค์กรจะยังคงดำรงอยู่และดำเนินการจากเงามืด คนเดียวที่จะหายตัวไปคือพวกที่แทรกแซง
ด้วยการเยาะเย้ยอย่างเยือกเย็น มาซีอุสเริ่มเดินเข้าไปในห้องนอนของเมลตี้ แต่ในทันใดนั้นเขาก็พบว่าสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ของเขาค่อย ๆ เย็นลง
หา? เกิดอะไรขึ้น? ทำไมอุณหภูมิในห้องถึงเย็นกว่าข้างนอกได้กัน?
ก่อนที่มาซีอุสจะเข้าใจสถานการณ์ จู่ ๆ ก็มีมือปริศนาปรากฏขึ้นมาและคว้าแขนซ้ายของเขาไว้ อากาศเย็นยะเยือกพุ่งเข้าสู่ร่างกายของเขา แช่แข็งเขาจากข้างในสู่ภายนอก ในชั่วพริบตาความมืดก็ปกคลุมไปด้วยหมอกสีขาว
จู่ ๆ เงาก็ปรากฏขึ้นข้าง ๆ มาซีอุส เขาหันศีรษะไปมองทันที ก่อนจะเห็นเด็กหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสีทองจ้องมองเขาด้วยรอยยิ้ม เสียงของเขาเบาแต่อันตราย ชวนให้นึกถึงเสียงกระซิบของเทพมรณะ
“ในที่สุดแกก็มาซะที”
“อ๊ากกกกกก!”
ความเจ็บปวดอันแสนสาหัสได้ปะทุขึ้นภายในร่างกายของมาซีอุส เขาบีบเสียงร้องแห่งความปวดร้าวออกมา ในเวลาเดียวกัน มันทำให้เขากระจ่างถึงข้อเท็จจริงอันไม่น่าเชื่อ
เราถูกหลอกงั้นเหรอ?
“บ้าเอ๊ย!”
มาซีอุสสาปแช่งในขณะที่เขาฟันแขนซ้ายทิ้งอย่างเด็ดขาดเพื่อหยุดการแพร่กระจายของน้ำแข็ง ทำให้มันตกลงบนพื้นด้วยเสียงดัง มันเป็นทางเลือกที่เหมาะสม เพราะแขนของเขายังคงถูกแช่แข็งต่อไปภายใต้ผลของพลังเวท ก่อนจะระเบิดอย่างกะทันหันกลายเป็นดอกไม้ไฟสีเลือด ทำให้เลือดและเนื้อกระจายไปทั่วทุกที่
ชิ้นส่วนที่มุ่งตรงไปยังห้องของเมลตี้ ถูกกั้นด้วยเกราะเวททำให้เธอไม่เป็นอันตราย
ใบหน้าของมาซีอุสซีดเผือดจากเลือดจำนวนมหาศาลที่เขาเพิ่งสูญเสียไป แต่เขาก็รีบถอยห่างจากศัตรูที่โผล่ออกมาจากความมืดในทันที เขากัดฟันแน่นเพื่อทนต่อความเจ็บปวดขณะที่กำแผลไหล่ซ้ายของเขาแน่น
ในทางกลับกัน เด็กหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสีทองก้าวผ่านซากแขนที่เหลืออยู่ของมาซีอุสและเดินขึ้นไปหาเขา เพื่อปิดระยะห่าง
“กรีดร้องเท่าที่ต้องการได้เลย ไม่จำเป็นต้องอดกลั้นไว้หรอก ”
โรเอล แอสคาร์ดกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เป็นกันเองจนน่ากลัว
“ฉันอยากได้ยินเสียงกรีดร้องของแก”